Skip to main content
sharethis

ชำนาญ จันทร์เรือง


                       


ในความเชื่อของพวกอภิชนาธิปไตย(aristocracy)นั้น เชื่อว่าระบอบการปกครองที่ดีจะต้องมาจากคนที่มีความสามารถ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สมควรมีสิทธิในการปกครองเท่านั้น โดยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ไม่สามารถหาคนที่มีความรู้ความสามารถมาปกครองประเทศได้อย่างแท้จริง ดังนั้น ในความคิดของพวกอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้จึงต้องการให้คนกลุ่มน้อยที่มีความสามารถเข้ามาปกครองประเทศ บางคนเลยเถิดไปถึงกับเสนอให้มีระบบ "การเมืองใหม่" ที่เสนอสูตรผสมของผู้เข้าสู่อำนาจในสัดส่วน 70:30 กล่าวคือเพิ่มกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น ร้อยละ 70 และลดที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งโดยวิธีการเลือกตั้งลงเหลือร้อยละ 30 ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องของบุคคลที่อ้างว่าทำเพื่อ "ประชาธิปไตย" แต่กลับมีข้อเรียกร้องในเชิง  "อภิชนาธิปไตย" เช่นนี้


 


คำว่าประชาธิปไตย มาจากคำว่า democracy ซึ่ง demos มาจากคำว่า people หรือประชาชน และคำว่า kratein มาจากคำว่า to rule หรือปกครอง กล่าวโดยสรุป คือ democracy หรือประชาธิปไตย แปลว่า การปกครองโดยประชาชน (rule by people) หรืออาจกล่าวได้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน(popular sovereignty) นั่นเอง


 


ความหมายของประชาธิปไตยนั้นนอกเหนือจากนิยามที่ทราบโดยทั่วไปว่า "เป็นรูปแบบการปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีสิทธิ อำนาจ และโอกาสในการเข้าควบคุมกิจการทางการเมืองของชาติ" แล้ว ยังหมายความรวมถึงปรัชญาของสังคมมนุษย์ หรือวิถีชีวิตที่ยึดถืออุดมคติ หรือหลักการที่กำหนดพฤติกรรมระหว่างมนุษย์ในสังคม ในกิจการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม คือ


 


1)การเมือง ประชาชนแต่ละคนมีส่วนในการกำหนดนโยบายในการปกครองประเทศ  ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น


 


2)เศรษฐกิจ ประชาชนมีเสรีภาพในการประกอบการทางเศรษฐกิจ หรือให้บุคคลได้รับหลักประกันในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ หรือทางเศรษฐกิจที่ตนเองได้ลงแรงไป


 


3)สังคม ประชาชนได้รับความยุติธรรมในสังคม ไม่มีการกีดกันระหว่างชนชั้น กลุ่มชน หรือความแตกต่างใดๆ หรือเกิดระบบอภิสิทธิ์ชนหรือระบบอุปถัมภ์


 


4)วัฒนธรรม ส่งเสริมค่านิยม แบบแผน หรือประเพณีที่ยึดมั่นในหลักการประนีประนอม การใช้เหตุผล การยอมรับนับถือคุณค่าและศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ มีความเข้าใจและเห็นประโยชน์ในการร่วมมือกันเพื่อส่วนรวม โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนเพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งการยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ชอบธรรมและเหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนให้ความสำคัญกับสมาชิก  ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน


 


ประชาธิปไตยจึงมีความหมายทั้งในรูปแบบการปกครองและปรัชญาในการดำรงชีวิตของมนุษย์ โดยเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนรวม รัฐบาลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเสมือนเครื่องมือในการช่วยให้ประชาชนได้บรรลุจุดหมายปลายทางของสังคม นั่นคือความผาสุกของประชาชนทั้งปวง ซึ่งหมายถึง


 


1)เสรีภาพ ที่บุคคลมีและใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสอดคล้องกับหลักการเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสวัสดิการของส่วนรวม


 


2)โอกาส ที่บุคคลจะสามารถดำเนินกิจการต่างๆตามความต้องการ ทุกคนจะได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการที่จะพัฒนาศักยภาพต่างๆตามความสามารถของตนเอง


 


3)ความเจริญ ที่บุคคลมีโอกาสพัฒนาตัวอง มีความเจริญก้าวหน้าทั้งในด้านสติปัญญา ความสามารถและบุคลิกภาพของแต่ละคน ศักดิ์และสิทธิ์ในการปกครองประเทศ หรือการมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจปกครองตนเอง


 


จากหลักการเบื้องต้นของประชาธิปไตยที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้เป็นหลักการสากลไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของโลก ไม่จำเพาะว่าจะต้องเป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่งหรือประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ผู้คนชอบอ้างเข้าข้างตนเอง เมื่อต้องการออกนอกลู่นอกทางของหลักการประชาธิปไตย


ดังนั้น การที่พวกอภิสิทธิ์ชนที่ต้องการให้คนกลุ่มน้อยที่เชื่อว่ามีความสามารถเหนือประชาชนธรรมดาสามัญเข้ามาปกครองประเทศ จึงขัดต่อหลักความเสมอภาค เพราะเท่ากับการไม่ยอมรับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อสภาพอันแท้จริงของมนุษย์


 


ในบางครั้งการปกครองแบบประชาธิปไตยอาจไม่สามารถคัดเลือกคนที่มีความสามารถเข้ามาปกครองประเทศได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การที่ให้บุคคลซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน นำความต้องการของประชาชนมาใช้ได้ ย่อมดีกว่าการที่ได้คนดีมีความสามารถแต่ใช้ความสามารถนั้นหาประโยชน์เข้าสู่ตัวเอง โดยไม่ฟังเสียงของประชาชน


 


พวกอภิชนาธิปไตยมักชอบอ้างว่ามนุษย์โดยทั่วไปนั้นไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความเข้าใจและไม่ทราบความต้องการของตัวเอง ฉะนั้นประชาธิปไตยหรือการปกครองโดยประชาชนจึงเป็นการปกครองที่ไม่มีประโยชน์เพราะประชาชนเป็นกลุ่มคนที่ไร้คุณภาพ ไม่สมควรที่จะมาปกครองประเทศ คนที่ดีที่เหมาะสมที่จะมาปกครองประเทศก็คือชนชั้นนำ


 


ซึ่งแนวความคิดของพวกอภิชนาธิปไตยนี้กล่าวได้ว่าไม่ตรงกับความจริงสักเท่าใด เพราะในแต่ละประเทศก็มีคนที่มีความรู้ความสามารถอยู่ทั่วไป และคนต่างๆเหล่านี้ก็เป็นบุคคลธรรมดาที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน และทำให้ประชาธิปไตยสามารถดำเนินไปด้วยดี ในทางปฏิบัติระบอบอภิชนาธิปไตยกลับสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศมาหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นหรือเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  เป็นต้น


 


ในหลายครั้งเราอาจได้ยินข้อกล่าวหาที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ไม่มีประสิทธิภาพ ล่าช้า ไม่รวดเร็ว ซึ่งก็อาจจะเป็นความจริงอยู่บ้าง เพราะกระบวนการของประชาธิปไตยต้องอาศัยความเห็นชอบ ต้องศึกษาความต้องการและรับฟังเสียงต่างๆจากประชาชน แต่ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มีความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ตรงข้ามกับระบอบอภิชนาธิปไตยหรือเผด็จการซึ่งอาจจะสัมฤทธิผลต่างๆในเวลาอันสั้น แต่ความก้าวหน้าต่างๆนั้นไม่ยั่งยืน อาทิ อาณาจักรไรซ์ของเยอรมันสามารถคงอยู่ได้เพียง 6-7 ปี ส่วนประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาที่ยึดถือประชาธิปไตยเป็นหลักยังคงมีความก้าวหน้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่เยอรมันหรือญี่ปุ่นที่เปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีความเจริญก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด


 


ประวัติศาสตร์สอนเรามาโดยตลอด แต่หลายคนไม่รู้จักเข็ดหลาบ กลับพยายามหมุนเข็มนาฬิกากลับไปอยู่ยุคดึกดำบรรพ์ที่มีอภิสิทธิ์ชนไม่กี่กลุ่มนำพาประเทศไปพบจุดจบอันน่าอเนจอนาถ


 


กรุงโรมไม่สามารถสร้างเสร็จได้ภายในวันเดียว ฉันใด ระบอบการเมืองไทย ก็ย่อมไม่อาจแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่มักง่ายด้วยการให้คนเพียงไม่กี่กลุ่มปกครองประเทศ  โดยไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ก็ฉันนั้น


 


 


 


หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2551

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net