ศาลพิพากษา "วัฒนา" คุก 10 ปี ลือพบนั่ง ฮ.ในเขมร

จากคดีที่นายวัฒนา อัศวเหม ได้ใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการนั้น

 

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ส.ค. ศาลโดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ และองค์คณะ ได้ร่วมกันอ่านคำพิพากษาลับหลัง ในคดี อม.2/2550 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย  เป็นจำเลยฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืน จูงใจ ให้บุคคลมอบให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 148 157 33 และ 84 พ.ร.บ.ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 2 กรณีที่นายวัฒนาใช้อำนาจข่มขู่หรือชักจูงให้ เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองและถนนสาธารณประโยชน์ และที่ทิ้งขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ ก่อ สร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

 

ก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง  ผบ.ตร. ได้แถลงต่อศาลในเรื่องการติดตามจับกุมตัวนายวัฒนา มาฟังคำพิพากษาว่า หลังจากได้รับหมายจับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำการสืบสวนพบข้อมูลว่า นายวัฒนาหลบหนีไปประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ก่อนที่ศาลจะออกหมายจับ เนื่องจากนายวัฒนามีบ่อนการพนันอยู่ 2 แห่ง จึงไม่สามารถติดตามตัวมาได้ ศาลรับทราบและให้ทำบันทึกไว้

 

ตามคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 10 ส.ค. 31-23 ก.พ. 34 และระหว่างวันที่ 21 เม.ย. 35-15 มิ.ย. 38 นายวัฒนา ซึ่งดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมที่ดินทำการออกเอกสารสิทธิใน จ.สมุทรปราการ โดยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบบังคับข่มขืนใจ หรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินและบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิในที่ดินที่ตนเองกว้านซื้อไว้ ซึ่งเป็นที่ดินในเขตพื้นที่สงวนหวงห้ามทับที่สาธารณประโยชน์ รวม 5 แปลง ประกอบด้วยโฉนดที่ดินเลขที่ 13150, 13817, 15024, 15528 และ 15565 เนื้อที่รวม 1,900 ไร่ โดยให้ออกโฉนดในนามบริษัทปาล์มบีช เดเวลลอปเมนท์ จำกัด  

 

ต่อมากรมที่ดินได้เพิกถอนโฉนดที่ดินรวม 4 แปลง ยกเว้นเลขที่ 15565 เนื่องจากเป็นการออกโฉนดที่ดินทับคลองสาธารณะ และมีการนำหลักฐานที่ดินแปลงอื่นมาออกโฉนด โดยจำเลยได้มอบพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทองให้แก่ เจ้าหน้าที่ที่ดิน จ.สมุทรปราการ 3 คน คนละ 1 องค์ ต่อมานายพรชัย  ดิสกุล  ช่างรังวัด ได้นำพระเครื่องมาคืนให้แก่พนักงานสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ พร้อมให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าศาลฎีกาฯมีอำนาจพิพากษาคดีหรือไม่ ฟ้องโจทก์บรรยายความผิดตามฟ้องหรือไม่ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามความผิด มาตรา 157 หรือไม่ โดยองค์คณะมีมติเห็นว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายครบหลักเกณฑ์ในการกระทำความผิด และจำเลยสามารถเข้าใจในข้อหา โดยศาลได้เรียกพยานมาไต่สวนเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยแล้ว ดังนั้นฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการวินิจฉัยว่าจำเลยบังคับซื้อที่ดินจากราษฎรหลายรายตามฟ้องหรือไม่ องค์คณะมีมติ 5 ต่อ 4 เสียง เห็นว่า หากที่ดินจำเลยซื้ออยู่ในลักษณะปิดล้อมที่ดินแปลงอื่น ก็เป็นไปตามสภาพที่ตั้งของที่ดินแปลงนั้นๆหาใช่เป็นการซื้อเพื่อปิดล้อมที่ดินแปลงอื่น จนเจ้าของที่ดินแปลงนั้นต้องขายให้แก่จำเลย ไม่เป็นการบังคับให้เจ้าของที่ดินขายที่ดินให้แก่จำเลยแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยบังคับซื้อที่ดินตามฟ้อง

 

ปัญหาต่อมาการออกโฉนดที่ดินทั้ง 5 แปลงชอบด้วยระเบียบและกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงมีราษฎรใน ต.คลองด่าน ร้องไปตามหน่วยราชการหลายแห่งว่า มีการทุจริตโครงการจัดการน้ำเสีย เขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ เมื่อปี 2546 ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งชุดทำงานขึ้นทำการตรวจสอบ ได้ผลสรุปออกมาว่าการออกโฉนดที่ดินฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อรุกล้ำคลองสาธารณะ และปรากฎข้อพิรุธเมื่อมีการนำหลักฐานของที่ดินแปลงอื่นมาออกโฉนด กรมที่ดินจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดิน 4 แปลง นอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีความเห็นสรุปสำนวนเชื่อว่าที่ดินดังกล่าวยังมีสภาพเป็นที่ทิ้งขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม โดยที่ดินทั้ง 5 แปลงได้ทับที่คลองสาธารณะ องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติ 8 ต่อ 1 เสียง ว่าการออกโฉนดที่ดินทั้ง 5 แปลงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

สำหรับปัญหาว่าจำเลยข่มขืนหรือจูงใจเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ ให้ออกโฉนดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  พิจารณาว่าระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย จำเลยไม่ได้รับกำกับดูแลกรมที่ดิน  แต่ต่อมาเมื่อจำเลยกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ได้รับมอบหมายให้ดูแลกรมที่ดิน จึงได้กว้านซื้อที่ดินจากราษฎรที่รวบรวมมาได้ 1,900 ไร่ ในนามบริษัทเหมืองแร่ลานทอง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จำเลยมีหุ้นอยู่ ต่อมาบริษัทปาล์มบีชฯได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากบริษัทเหมืองแร่ลานทอง ประมาณ 900 ไร่ ในราคา 88 ล้านบาท แต่ไม่มีการชำระเงิน โดยให้จำเลยเข้าถือหุ้นในนามบริษัทนอร์เทอร์น รีซอส จำกัด องค์คณะผู้พิพากษามีความเห็นว่าจำเลยย่อมมีส่วนได้เสียในบริษัทปาล์มบีชฯ เชื่อว่าเป็นมูลเหตุให้จำเลยกว้านซื้อที่ดินและขอออกโฉนดให้แก่บริษัทปาล์มบีช

 

นอกจากนี้จำเลยยังได้ซื้อกล้องสำรวจและประมวลผล 2 เครื่อง ราคา 8 แสนบาท ให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าว แต่การออกโฉนดมีความล่าช้า จำเลยเคยเรียกนายไพศาล กาญจนประพันธ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี ให้รีบออกโฉนดให้ และเคยต่อว่าว่า "คุณไพศาล คุณพูดจาภาษาคนไม่รู้เรื่อง ผมเป็นรัฐมนตรี จะให้คุณดังก็ได้ให้คุณดับก็ได้" แต่เนื่องจากสภาพที่ดินล้ำเข้าไปในทะเล นายไพศาลจึงไม่กล้าออกโฉนดให้ จนเป็นเหตุให้ถูกย้ายไปเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน จ.ปัตตานี หลังจากนั้นในช่วงกลางปี 2536 จำเลยพ้นจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย และได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร จำเลยได้มอบพระเครื่องผงสุพรรณให้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน 3 คน ที่มีส่วนในการออกโฉนดที่ดิน เพื่อให้ออกโฉนดที่ดิน ตามพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว องค์คณะ ผู้พิพากษาจึงมีมติ 8 ต่อ 1 เสียง ว่าจำเลยใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจเจ้าพนักงานให้ออกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยมิชอบ

 

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งอันเป็นความผิดตาม ป. กฎหมายอาญา มาตรา 148 หรือไม่ เห็นว่าจำเลยมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ราชการกรมที่ดินและข้าราชการ เรื่องที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ดูแลกรมที่ดินนั้นฟังไม่ขึ้น และจำเลยต่อสู้ว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เนื่องจากไม่ยอมยุบพรรคไปรวมกับพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เห็นว่าแม้จะมีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่เกิดจากจำเลยมีจุดอ่อนที่ให้การเมืองเข้ามาสอดแทรกได้ อีกทั้งเมื่อ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาจำเลยแล้ว ก็ให้โอกาสจำเลยแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้นองค์ คณะผู้พิพากษาจึงมีมติ 8 ต่อ 1 เสียง ว่ากระทำของจำเลยมีความผิดตามมาตรา 148 ส่วนพระเครื่องผงสุพรรณ 1 องค์ ของกลาง องค์คณะผู้พิพากษามีมติ 5 ต่อ 4 เสียง ว่าเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้กระทำความผิด

 

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ให้ริบพระ เครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทองคำของกลาง คำขออื่นให้ยก เนื่องจากจำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาฯ ได้ออกหมายจับจำเลยและปรับจำเลยตามสัญญาประกัน แต่การที่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาฯ จึงออกหมายจับจำเลยมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป การที่จำเลยหลบหนี คดีนี้มีอายุความให้จับตัวมาลงโทษภายใน 15 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยหลบหนีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 98

 

หลังศาลอ่านคำพิพากษาสิ้นสุดลง นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความจำเลย เผยว่า ที่ผ่านมาไม่สามารถติดต่อนายวัฒนาได้ ตรงนี้ตนในฐานะทนายความได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ซึ่งโทษในการหลบหนีมีอายุความ 15 ปี ทั้งนี้ คงไม่ต้องแจ้งให้ลูกความทราบเพราะข่าวคงกระจายไปแล้ว

 

ด้านนายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ซึ่งเดินทางไปฟังคำพิพากษา กล่าวว่า ต่อไปคงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องติดตามจับกุมจำเลยมาลงโทษ ส่วนที่มีข้อมูลว่านายวัฒนาหลบหนีไปอยู่ ประเทศกัมพูชา ก็ต้องประสานอัยการกองคดีต่างประเทศ เพื่อขอตัวนายวัฒนา ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยต่อไป

 

เมื่อเวลา 10.15 น.วันเดียวกัน มีผู้พบเห็นเฮลิคอปเตอร์ แบบ 3 ใบพัด รุ่น XU555 สีน้ำเงิน ด้านซ้าย ติดธงชาติกัมพูชา บินมาจากฝั่งปอยเปต อ.โอวโจวโรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา มาลงที่ดาดฟ้าของ โรงแรมบ่อนกาสิโนแกรนด์ไดม่อนซิตี้ ฝั่งปอยเปต ตรง ข้ามด่านพรมแดนอรัญประเทศ โดยมีชายสูงอายุ ผมออกสีขาว 1 คน ลงมาจาก ฮ.ลำดังกล่าว พร้อมชายอีก 1 คน ผู้หญิง 2 คน และเด็กเล็กอีก 1 คน ลงไปยังบ่อนกาสิโน จากนั้นประมาณ 20 นาที ชายสูงอายุคนดังกล่าวก็กลับไปขึ้น ฮ.ตามลำพัง จนเกิดข่าวลือสะพัดทั่วบ่อน แกรนด์ไดม่อนซิตี้ ว่านายวัฒนา อัศวเหม นั่ง ฮ.มาส่งลูกชาย ลูกสะใภ้และหลาน ก่อนเดินทางกลับไปพักที่กรุงพนมเปญ

 

ด้าน พ.ต.ศลิษฏพงษ์ แก้วพิลา ผบ.ร้อย ทพ.ที่ 1201 ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา เปิดเผยว่า เห็นมีเฮลิคอปเตอร์ สีน้ำเงิน รุ่น XU555 ของกัมพูชา บินมาจอดบนดาดฟ้าของโรงแรมบ่อนกาสิโนแกรนด์ไดม่อนฯจริง แต่ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง เนื่องจากอยู่สูงเห็นไม่ถนัด รู้แต่เพียงว่ามีชาย 3 คน มารอรับ แล้วมีชาย 2 คน ลงมาจาก ฮ. โดย 1 คน เป็นชายสูงอายุต้องมีคนช่วยพยุง และมีหญิงอีก 2 คน เดินตามลงมาโดยอุ้มเด็กมาด้วยอีก 1 คน รวม มีคนลงจาก ฮ.ลำนี้ รวม 5 คน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ดังนั้น ข่าวลือว่าเป็นนายวัฒนา อัศวเหม นั้น ไม่สามารถยืนยันได้ และได้รายงานให้หน่วยเหนือทราบแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ สามารถตรวจสอบได้เพราะอยู่ในฝั่งกัมพูชา

 

ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท