Skip to main content
sharethis

ในที่สุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย ก็ตกเป็นของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และเป็นน้องเขยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป้าหมายอันดับหนึ่งของกลุ่มผู้ถูกต่อต้าน คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


 


นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเติบโตมาการเป็นข้าราชการในสายตุลาการเป็นหลัก ที่สำคัญเขาเป็นคนใต้จากหมู่บ้านสวนขัน ตำบลสวนขัน อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช


 


ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายเข้ามาปักหลักอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร ด้วยโชคชะตานำพา ทำให้ได้แต่งงานกับ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร


 


ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองสูงซึ่งเริ่มต้นในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ผู้สืบทอดอำนาจต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในฐานะรัฐบาลหรือในพรรคพลังประชาชน ถูกกล่าวหาว่าเป็นนอมินีหรือตัวแทน ที่เข้ามาครองอำนาจด้วยเพราะต้องการฟอกความผิดหรือช่วยเหลือพลพรรคกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเดิม 111 คน ที่ถูกศาลสั่งเว้นวรรคทางการเมือง


 


สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ถูกกล่าวหาเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน แม้ว่าด้วยความเป็นคนประนีประนอมของเขา ทำให้เสียงบางส่วนเชื่อว่า จะสามารถประสานรอยร้าวและสร้างความปรองดองในชาติได้ อันจะช่วยให้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบรรเทาลงได้ แต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ยังเดินหน้าต่อต้านคนที่มาจากพรรคพลังประชาชนเข้ามาครองอำนาจสูงสุดของประเทศอยู่ดี


 


แน่นอนเมื่อคนในหมู่บ้านได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อนบ้านรวมทั้งญาติๆ ก็ย่อมต้องดีใจและยินดีกับนายสมชายไปด้วย แต่ก็อดห่วงไม่ได้กับหลายปมที่อาจทำให้เขาจะถูกโจมตีหรือถูกต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าการเป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคพลังประชาชน


 


อย่างเช่นนายสมนึก ปรีชา รองผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสวนขัน เพื่อนบ้านของสมชาย บอกว่า อย่าไปมองที่ว่าเขามาจากพรรคพลังประชาชน แต่ให้มองที่ตัวตนของเขาและมองถึงผลประโยชน์ของชาติที่จะได้รับจากการที่คนดีๆได้เข้ามาบริหารประเทศ


 


"ต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ใครผิดถูกก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่อย่างนั้น ก็จะด่ากันทั้งโคตร เพราะคนที่ไม่พอใจก็จะหาเรื่องด่ากันจนได้อยู่แล้ว เชื่อว่ากระแสความขัดแย้งทางการเมืองที่มีอยู่จะบรรเทาลงเพราะความเป็นคนประนีประนอมนั่นเอง"


 


เช่นเดียวกับจรินตร์ ศีรอินทร์ อายุ 48 ปี เพื่อนบ้านอีกคน บอกว่า เมื่อคนในหมู่บ้านได้เป็นใหญ่เป็นโตก็จะเป็นประโยชน์กับหมู่บ้านด้วย เชื่อว่าไม่เฉพาะคนในหมู่บ้านเท่านั้น แม้แต่คนในจังหวัดนครศรีธรรมราชหรือทั้งภาคใต้ก็คงยินดีด้วย เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นคนใต้แล้ว แม้จะอยู่ที่ไหนก็ตาม คนใต้ก็จะไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว มีอะไรก็ช่วยเหลือกันอยู่แล้ว


 


จรินตร์ บอกว่า ถ้าคนใต้ยินดีและเห็นด้วยกับนายสมชายมาก ก็ไม่น่าจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ที่กุมฐานเสียงหลักในภาคใต้มีปัญหาทำให้คะแนนเสียงลดลงไปด้วย คิดว่าไม่น่าจะทำให้คนใต้ถึงกับเปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคพลังประชาชน


 


ส่วนนางเสงี่ยม อยู่พินโย เพื่อบ้านอีกคน บอกว่า ดีใจที่สมชายได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังต่อต้าน บอกว่าสมชายก็ยังอยู่กับทักษิณ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้นก็อยากให้โอกาสสมชายได้ทำงานก่อน


 


ขณะที่แหล่งข่าวในแวดวงราชการซึ่งเคยทำงานร่วมกับนายสมชายอย่างใกล้ชิด บอกว่า นายสมชายเป็นคนประนีประนอม รับฟังทุกคน ไม่บริหารบ้านเมืองด้วยอำนาจ จากประสบการณ์การทำงาน พบว่าเป็นคนที่มีความเป็นกลาง ที่ผ่านมายืนตรงกลาง ไม่เคยแสดงว่าไปข้างไหน มองสังคมเป็นหลัก เป็นคนแยกแยะออกว่าอะไรถูก อะไรผิด ส่วนเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นน้องเขยคุณทักษิณจะมีผลต่อการบริหารบ้านเมืองหรือไม่นั้น ตนมองว่า ต้องมองว่าถ้าญาติพี่น้องเราทำความผิด โดยที่เราเป็นตำรวจหรือผู้พิพากษา ขึ้นอยู่กับเราว่าจะยึดหลักการที่ถูกต้อง หรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล ซึ่งตนคิดว่าข้อนี้คุณสมชายแยกแยะออก


 


แต่ในส่วนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภาคใต้ อย่าง "สุนทร รักษ์รงค์" ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 14 จังหวัดภาคใต้ บอกว่าไม่เกี่ยวว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นคนภาคใต้หรือที่ไหน ตราบใดที่เขายังรับใช้ระบบทักษิณอยู่ก็ต้องขับไล่ต่อไป


 


"แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในภาคใต้ มีความเห็นไม่ต่างจากพันธมิตรฯ ส่วนกลางที่เห็นว่า นี่คือการสืบทอดอำนาจ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ แต่คำนึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเป็นเป้าหมายหลัก เพราะถ้าเขามีเจตานาที่ดี เขาก็จะยึดถือความจริงที่เกิดขึ้นมากกว่าสิ่งที่ตัวเองยึดถือคือเสียงข้างมากนั่นเอง"


 


สุนทร บอกว่า ที่ผ่านมามีทั้งกรณีการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ กรณีที่เกิดขึ้นกับนายจักรภพ เพ็ญแข หรือแม่แต่กรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ถูกศาลพิพากษาว่าขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ทำไมไม่มองว่าพวกเขากำลังทำผิดอยู่ จึงไม่คิดที่จะแก้ไขในส่วนนั้น แต่สิ่งเหล่านี้กลับปรากฏขึ้นจากการพิสูจน์โดยระบบตุลาการภิวัฒน์ ที่ทำให้หลายคนในคณะรัฐบาลต้องลาออกหรือหลุดจากตำแหน่งไป


 


"นี่คือสิ่งที่พันธมิตรฯ เห็นว่าเป็นจุดรอยต่อสำคัญของระบอบการเมืองที่ใช้เงินเป็นหลักโดยการซื้อเสียงเข้ามา กับการนำไปสู่ระบบการเมืองใหม่ที่ดีกว่า ตรงนี้จึงยังอยู่ตรงข้อต่อ ดังนั้นพันธมิตรฯภาคใต้จะยังต้องต่อสู้ต่อไปโดยไม่ย่อท้อ โดยจะยืนหยัดต่อสู้กับพันธมิตรส่วนกลางเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย พร้อมๆกับการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน"


 


"แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เพราะหากปล่อยไว้ปัญหาจะพอกพูนต่อไป และจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายทั้งต่อการเมือง สังคมและเศรษฐกิจของชาติมากยิ่งขึ้น เราจะต่อสู้ต่อไปเพื่อมุ่งสร้างประชาธิปไตยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับประเทศไทย ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ใช้เงินทุนซื้อเสียงเข้ามา ซึ่งนั่นคือจะชูเรื่องประชาภิวัฒน์" นั่นคือคำยืนยันของสุนทร

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net