Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

บทนำ
ในรอบสามสี่ปีมานี้ นักวิชาการและพันธมิตรฯ มักจะนำเสนอ "วาทกรรม"หรือ "ถ้อยคำ" แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ฟังผิวเผินแล้วดูดี ขลัง น่าสนใจ ชวนติดตาม ฯลฯ ต่อสังคมไทย ตัวอย่างของวาทกรรมหรือถ้อยคำเหล่านี้ได้แก่ "ตุลาการภิวัตน์" "อารยะขัดขืน" "ขาดความชอบธรรม" "การใช้สิทธิชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ" "ห้ามใช้ความรุนแรง" "การเมืองภาคประชาชน" และล่าสุด "การเมืองใหม่" การเสนอวาทกรรมหรือถ้อยคำที่ฟังดูดีนั้นถูกนำเสนอและผลิตซ้ำไปมาบ่อยๆ ซึ่งหากพิจารณาตั้งคำถามลงไปในรายละเอียดจริงๆ แล้ว ผู้พูดก็ไม่แน่ใจหรือไม่ทราบว่าความหมายที่แท้จริงของคำดังกล่าวคืออะไร แต่ดูเหมือนหลายครั้งผู้พูดพูดเพราะกระแส หรือดูเท่ห์ และเมื่อมีการผลิตซ้ำกันบ่อยๆ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "กรอกหู" ทุกวี่ทุกวันแล้ว ก็ส่งผลให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งนำไปอ้างต่อๆ กันไปแบบเฮละโลสาละพาจนกลายเป็นกระแสขึ้นมา สังคมไทยเป็นสังคมโหนกระแสอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่มักจะมีการนำไปอ้างกันอย่างพร่ำเพรื่อ แม้ว่าคนอ้างจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำนั้นก็ตาม

การที่ผมได้ยินถ้อยคำที่กล่าวมาข้างต้นทุกวี่ทุกวันตามสื่อต่างๆ จนผมรู้สึกว่า วาทกรรมหรือถ้อยคำประเภท "ตุลาการภิวัตน์" "อารยะขัดขืน" "การใช้สิทธิชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ" "การเมืองภาคประชาชน" และ "การเมืองใหม่" นั้นมิได้เป็นอะไรมากไปกว่า "ถ้อยคำที่พูดติดปากจนน่าเบื่อ" (cliché) ไป อย่างนั้นเอง แต่ผลร้ายที่ตามมาที่ผู้พูดจะตระหนักหรือไม่ก็สุดแท้คือวาทกรรมหรือถ้อยคำ เหล่านี้ได้มีส่วนทำลายความสงบเรียบร้อยและบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยรวม ทั้งกระบวนการยุติธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม

ผมขอยกตัวอย่างการใช้วาทกรรมที่น่าเบื่อเหล่านี้ ดังนี้

1. การห้ามใช้ความรุนแรง (Non-violence)
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่เข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ก็คือ การใช้วาทกรรมเรื่อง ห้ามใช้ความรุนแรง (Non-violence) ในการสลายการชุมนุม โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์การสลายผู้ชุมนุม บรรดาองค์กรทั้งหลายต่างพากันประณามและใช้วาทกรรมห้ามการใช้ความรุนแรงอย่างถี่ยิบ โดยที่ผู้ประณามเองมองข้ามการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าก็มีส่วนในการทำให้เกิดความรุนแรงดังกล่าวด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลุกระดม การยั่วยุ การพาผู้ชุมนุมไปยึดทำเนียบและจะไปปิดล้อมรัฐสภาอีก

ไม่มีประเทศใดในโลกที่ยอมให้ผู้ชุมนุมปิดล้อมสถานที่ราชการที่สำคัญอย่าง ทำเนียบรัฐบาล หรือรัฐสภา กฎหมายการชุมนุมของหลายประเทศกำหนดว่า ผู้ชุมต้องชุมนุมห่างจากสถานที่ราชการเป็นระยะห่างไม่น้อยกว่า 150 เมตรบ้างหรือ 300 เมตรบ้าง หรือกฎหมายการชุมนุมของเนเธอร์แลนด์บัญญัติว่า หากมีการชุมนุมในลักษณะเป็นการขัดขวางการปฎิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาศาลโลก ก็ดี เจ้าหน้าที่ของสถานทูตและกงสุลก็ดี เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสลายการชุมนุมได้ทันที เป็นต้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้อะลุ่มอะล่วยแก่กลุ่มพันธมิตรฯ มากแล้ว ถึงกับยอมให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลานานร่วม 1 เดือน แต่คราวนี้กลุ่มพันธมิตรฯ จะปิดล้อมรัฐสภาอีก

การที่กลุ่มองค์กรต่างๆ มากมายได้ประณามการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อสลายผู้ชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น มีข้อสงสัยว่า ทำไมไม่มีใครประณามผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงโดยการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำไมไม่มีใครตั้งคำถามหรือสงสัยว่า ทำไมผู้ชุมนุมต้องไปชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อขัดขวางมิให้คณะรัฐมนตรีแถลง นโยบายต่อสภาได้ ทั้งๆ ที่ การแถลงนโยบายเป็นภารกิจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

ประเด็นมีว่า มาตรการการใช้แก๊สน้ำตานั้นเป็นมาตรการที่สมควรแก่เหตุหรือไม่ การพิจารณาจากว่ามาตรการใดสมควรแก่เหตุหรือไม่นั้นให้พิจารณาจากว่ามี มาตรการอื่นๆ ที่ยังเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่โดยมาตรการเช่นว่านั้นหากใช้แล้วก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งในที่นี้คือการเปิดทางเข้าสู่รัฐสภา แต่หากพบว่าไม่มีมาตรการอื่นใดที่ยังหลงเหลืออยู่พอที่จะให้บรรลุเป้าหมาย การใช้มาตรการดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเกินสมควรแก่เหตุ หมายความว่า หากเจ้าหน้าที่พูดจาหว่านล้อมให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงยอมให้เปิดทางเข้าสู่ สภาแล้ว แต่มาตรการเจรจาไม่ได้ผล อีกทั้งไม่มีมาตรการอื่นใดที่ยังเปิดช่องให้ทำได้อยู่ยกเว้นการใช้แก๊สน้ำตา มิฉะนั้นแล้ว เป้าหมายคือการเปิดทางเข้าสู่สภาไม่อาจทำได้ การใช้แก๊สน้ำตาถือว่าเป็นมาตรการที่สมควรแก่เหตุ ในประเทศฝรั่งเศส ตำรวจสามารถเลือกใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการชุมนุมโดยขึ้นอยู่กับระดับของ ความรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจใช้ไม้กระบอง (Batons) การฉีดน้ำที่เรียกว่า (water cannon) และแก๊สน้ำตา (Tear gas) ส่วนกระสุนยาง (Rubber bullets) นั้นเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเนื่องจากเป็นอันตรายหากมีการยิงด้วยระยะใกล้ [1]

คำถามมีว่า ทำไมผู้ประณามการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมนี้ไม่เคยเห็นตำรวจเขาใช้ แก๊สน้ำตา หรือบางครั้งใช้กระบองหรือกระสุนยางหรือน้ำฉีดในต่างประเทศอีกหลายประเทศดอก หรืออย่างที่ตำรวจต่างประเทศสลายการชุมนุมหรือประท้วงของพวกฮูลิแกนในประเทศ อังกฤษและอิตาลี หรือการสลายผู้ชุมนุมของพวกต่อต้านโลกาภิวัตน์ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น หรือผู้ประณามกำลังจะบอกว่า ต่างประเทศมีมาตรฐานในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่ำกว่าประเทศสารขันฑ์ หรือมาตรการในการสลายผู้ชุมนุมของต่างประเทศไม่ได้มาตรฐานสากลกระนั้นหรือ หรือผู้ชุมนุมจะประท้วงชุมนุมอย่างไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ยาวนานเท่าไหร่ก็ได้ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยไม่สามารถสลายผู้ชุมนุมได้เลยกระนั้นหรือ

ประเด็นหนึ่งที่ผู้ประณามหยิบมาเป็นประเด็นโจมตีการทำหน้าที่ของตำรวจและใช้เป็นข้อ อ้างในการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลก็คือ การสลายผู้ชุมนุมครั้งนี้ยังผลให้มีคนตายสองคน บาดเจ็บหลายร้อยคน แต่ภาพและข่าวที่ปรากฎรวมทั้งคำชี้แจงของ รอง.บชน พบว่า การยิงแก๊สหรือขว้างแก๊สน้ำตานั้นไม่มีอานุภาพเพียงพอที่จะทำให้อวัยวะส่วน หนึ่งส่วนใดของร่างกายฉีกขาด การฉีกขาดของขาของผู้ชุมนุมน่าจะเกิดจากการนำระเบิดปิงปองติดตัวไปเอง หรือกรณีคาร์บอมที่หน้าพรรคชาติไทยนั้นมีการพิสูจน์ได้ว่าเป็นหนึ่งในแกนนำของกลุ่มพันธมิตรฯ เอง หรือกรณีที่มีการขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้อเท็จจริงเหล่านี้สื่อและบรรดาองค์กรต่างๆ ต่างพากันนิ่งเงียบไม่หยิบมากล่าวถึงเลย

อย่างไรก็ดี เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ผมเห็นว่าประเด็นนี้รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมาธิการค้นหาข้อเท็จจริงที่เรียกว่า Fact Finding Committee ขึ้นมาเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติว่าใครเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้นมา


2. การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

ผู้ชุมนุมมักจะอ้างอยู่บ่อยๆ ว่าการชุมนุมของตนได้เข้าเงื่อนไขการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญคือเป็นไปโดยความสงบและปราศจากอาวุธ ประเด็นก็คือคำว่า "โดยสงบ" (Peaceful) นั้น มีความหมายว่าอย่างไร ผู้ชุมนุมและประชาชนกลุ่มหนึ่งอาจคิดเอาเองว่า คำว่า "โดยสงบ" นั้นหมายถึง การชุมนุมอยู่ ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งหรือการเดินขบวนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นแนวแถว โดยไม่มีการโห่ร้อง อะไรทำนองนี้

แต่ผมคิดว่า คำว่า "โดยสงบ" นั้น มิได้จำกัดเพียงแค่กิริยาท่าทางภายนอก แม้การชุมนุมหรือเดินขบวนจะเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่แตกแถว เพราะเชื่อฟังคำสั่งของแกนนำอย่างเคร่งครัด แต่การพิจารณาว่าการชุมนุมหรือการเดินขบวนนั้นมีลักษณะโดยสงบหรือไม่ ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขอย่างอื่นประกอบด้วย เช่น เงื่อนไขด้านสถานที่ เงื่อนไขด้านเวลาที่กำลังมีการชุมนุม และองค์ประกอบอย่างอื่น โดยในแง่ของเงื่อนไขด้านสถานที่ หากมีการชุมนุมหรือเดินขบวนไปยังสถานที่บางแห่ง เช่น สถานที่สำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน ศาล โรงพยาบาล รวมทั้งสถานที่เป็นอันตรายโดยสภาพเช่น สถานีโรงกลั่นน้ำมัน คลังสรรพาวุธ เป็นต้น

หรือในแง่เงื่อนไขของเวลาก็จะต้องมีการพิจารณาว่าเวลาขณะที่มีการชุมนุมนั้นมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด เช่น มีการชุมนุมในยามวิกาล (กฎหมายการชุมนุมของบางประเทศกำหนดว่าห้ามมีการชุมนุมหลังเวลา 5 ทุ่ม หรือ 3 ทุ่ม) หรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ประกอบกันด้วย เช่น กฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของอังกฤษห้ามมิให้ผู้ชุมนุมแสดงกริยาอาการ หรือแสดงสัญลักษณ์ทางการเมือง ศาลอังกฤษเคยตัดสินว่า ผู้ชุมนุมแสดงกริยาเคารพแบบฮิตเลอร์นั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น การที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้รถติดภาพนำจับของอดีตนายกฯ และภริยาในลักษณะเชิงประจานนั้นจะเข้าข่ายเป็นการยั่วยุอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เป็นประเด็นที่น่าคิด

ด้วยเหตุนี้ การพิจารณาเงื่อนไขด้านสถานที่ เวลาและองค์ประกอบอื่นประกอบกันน่าจะเป็นเกณฑ์ในการประเมินได้ว่า การชุมนุมหรือการเดินขบวนของผู้ชุมนุมนั้นเป็นไปโดยสงบหรือไม่ แต่เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายการชุมนุมโดยตรง จึงปล่อยให้ผู้ชุมนุมต่างอ้างสิทธิชุมนุมกันอย่างไร้ขอบเขต โดยอ้างแต่คำว่า "โดยสงบและปราศจากอาวุธ" เป็นสรณะโดยคิดเอาเองว่า หากตนเองชุมนุมโดยสงบและไม่มีอาวุธแล้ว จะชุมนุมหรือปิดล้อมที่ใดก็ได้ทุกแห่งในประเทศไทย การใช้ตรรกะแบบนี้เป็นการใช้ตรรกะที่ผิด หากสังคมไทยยอมรับให้มีการอ้างสิทธิการชุมนุมแบบนี้ได้ กลุ่มอื่นเช่น นปก.ก็ย่อมใช้ตรรกะแบบเดียวกันทำอย่างที่พันธมิตรฯ ทำบ้าง ยกตัวอย่างเช่น นปก.ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธโดยยึดหรือปิดล้อมที่ทำการของศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนโดย นปก.อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญหมดความชอบธรรมเพราะมีตุลาการบางท่านเป็น "ลูกจ้าง" ทำให้ขาดคุณสมบัติ หรือ นปก.อาจปิดล้อมที่ทำการของ ปปช. โดยอ้างว่า ปปช. ขาดความชอบธรรมเพราะไม่ได้รับการโปรดเกล้า หรือ นปก.อาจ ปิดล้อมที่ทำการของพรรคประชาธิปัตย์เนื่องจากขาดความชอบธรรมในฐานะที่เป็น พรรคการเมืองเพราะไม่ยอมปฎิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านหรือไม่ยอมรักษาระบอบ ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือข้ออ้างอีกสารพัดที่ นปก.จะอ้างในอนาคต

คำถามมีว่าสังคมไทยพร้อมที่จะเจอกับวิธีการแบบนี้หรือไม่ การประณามรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยละเว้นที่จะไม่กล่าวถึงพันธมิตรฯ (ไม่ต้องพูดถึงเรื่องประณามกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะสื่อและบรรดานักวิชาการต่างสนับสนุนอยู่แล้ว) นั้น อาจดูเหมือนว่า สังคมไทยรักสันติ เกลียดชังความรุนแรง ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แต่หากพิจารณาในเบื้องลึกลงไปแล้ว สังคมไทยโดยเฉพาะพวกชนชั้นกลางและกลุ่มนักวิชาการกลุ่มหนึ่งเป็นพวก "มือถือสากปากถือศีล" (Hypocrite) ที่ เห็นความรุนแรงเฉพาะภาครัฐแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกรณีที่พันธมิตรฯ ใช้ความรุนแรง การแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นของคนกลุ่มนี้ย่อมส่งผลให้สังคมไทยได้บั่น ทอนกระบวนการยุติธรรม กำลังทำลายหลักกฎหมายอื่นๆ อีกมากมาย กำลังส่งเสริมให้ใช้ "กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย" และในที่สุดสังคมไทยจะเข้าสู่ยุค "อนาธิปไตย" (Anarchy) ที่ไร้ขื่อแปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ในระยะสั้น สังคมไทยอาจยอมรับกับใช้วาทกรรมเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรงและการใช้สิทธิ ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ในระยะยาว สังคมไทยมีปัญหาแน่นอนเพราะหากสังคมไทยยอมรับหรือรับได้กับการกระทำของกลุ่ม พันธมิตรฯ ในการยึดทำเนียบรัฐบาล บุกสถานีเอ็นบีที และปิดล้อมรัฐสภาเท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้กับกลุ่มอื่นๆ ว่าสามารถกระทำในลักษณะคล้ายกันได้เพียงหาข้ออ้างขึ้นมา นั่นเท่ากับว่าในอนาคตหากกลุ่ม นปก.ทำในลักษณะทำนองเดียวกันบ้าง สังคมย่อมไทยไม่อาจประณามการกระทำของ นปก.ได้ เพราะจะเป็นการเลือกปฎิบัติหรือมีการใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน


3. การอ้างอารยะขัดขืน (Civil disobedience)

ขณะนี้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งประท้วงต่อเหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมโดยการอ้างอารยะขัดขืนโดยการไม่ยอมสอบ! นอกจากนี้ยังมีกลุ่มแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ให้การรักษาตำรวจรวมทั้งการ ร้องขอมิให้มีการสวมเครื่องแบบหรือการแสดงตนว่าเป็นตำรวจหากต้องมารักษาตัว ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง รวมถึงกรณีของนักบินการบินไทยท่านหนึ่งได้ปฎิเสธมิให้ผู้โดยสารที่เป็น สส.จากพรรคพลังประชาชนขึ้นเครื่องบิน ผมไม่แน่ใจว่ากรณีของหมอและนักบินนั้นอ้างอารยะขัดขืน (ในใจ) เพื่อเป็นข้ออ้างในการไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ในประเด็นนี้ผมมีข้อสังเกตว่า ประการที่หนึ่ง นักศึกษาที่อ้างอารยะขัดขืนนั้น เข้าใจสาระเนื้อหาของอารยะขัดขืนมากน้อยเพียงใด ประการที่สอง นักศึกษากลุ่มนี้ฟังข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการสลายผู้ชุมนุมอย่างรอบ ด้านครบถ้วนหรือไม่ ก่อนที่จะรีบประกาศอ้างอารยะขัดขืนโดยการไม่เข้าสอบ เรื่องที่น่าห่วงของสังคมไทยในอนาคตก็คือ เกรงว่าจะเกิด "ลัทธิเอาอย่าง" ขึ้น เลียนแบบ กรณีนักศึกษา แพทย์และนักบินโดยอ้างอารยะขัดขืนเพื่อปฎิเสธการกระทำบางอย่างอันอาจนำไปสู่ความไร้ระเบียบความวุ่นวายตามมา

บทส่งท้าย
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมเพื่อวางระเบียบเกี่ยวกับการใช้สิทธิชุมนุมอย่างประเทศอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ผู้ชุมนุมอ้างสิทธิชุมนุมอย่างไร้ขอบเขตและใช้ สิทธิชุมนุมบังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองจนเป็นการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ส่วนรวมและขณะเดียวกันก็ กำลังสถาปนา "ลัทธิอนาธิปไตย" ขึ้นในสังคมไทยไปด้วยในตัว

 


..................................
เชิงอรรถ

[1] ดู Democratic Dialogue ,Politics in Public Freedom of Assembly and the Right to Protest: France

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net