ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดระบุความเร็วของแก๊สน้ำตาทำอวัยวะฉีกขาดได้ ด้าน ร.ต.อ.ปลอมตัวมาถูก พธม.ตีจนสลบ

แพทย์ 3 โรงพยาบาลชี้สาเหตุบาดเจ็บมีมากกว่าแก๊สน้ำตา บางรายกระสุนยางฝังในร่างกาย อดีตผู้บัญชาการนิติวิทยาศาสตร์ สตช.ระบุความเร็วของแก๊สน้ำตาทำอวัยวะฉีกขาดได้ ส่วนการ์ด พธม.เหยื่อระเบิดมือขาดตำรวจอ้างเป็นผู้ร้ายปล้นฆ่า ด้านร.ต.อ.ปลอมตัวมาเผยถูกการ์ด พธม. จับได้ขณะหาข่าว ก่อนถูกตีหัวสลบ มัดขังข้ามคืนก่อนส่งคืนต้นสังกัด

 

แพทย์เสวนาหาคำตอบผู้ชุมนุมบาดเจ็บจากอาวุธชนิดใด

เมื่อวันพฤหัสบดี (9 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีการเสวนาวิชาการเรื่อง "อาการของผู้บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม" โดยมีศัลยแพทย์รักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะแพทย์จาก3 โรงพยาบาลเข้าร่วม คือ จุฬาลงกรณ์ รามาธิบดี และวชิรพยาบาล

 

ทั้งนี้ การเสวนาดังกล่าว มีการนำเสนอภาพในการรักษาผู้บาดเจ็บและผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมมาแสดง เพื่อชี้ให้เห็นถึงลักษณะบาดแผลที่เกิดขึ้นยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่บาดเล็กน้อยถึงบาดแผลที่เกิดจากการสูญเสียอวัยวะ ทั้งนิ้วมือ แขน ขา เท้า และอวัยวะส่วนอื่นๆ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ว่าเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตาหรืออาวุธชนิดใด

 

นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง หน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้าง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบการใช้แก๊สน้ำตาในสลายกลุ่มผู้ชุมนุมทั่วโลก จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม มีความแตกต่างกับประเทศอื่นๆ อย่างมาก เพราะเกิดบาดเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยถึงขั้นบาดเจ็บรุนแรง

 

นพ.อัจฉริยะ สาโรวาท ภาควิชาศัลยกรรม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ในส่วนของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ที่เสียชีวิตระหว่างการนำส่ง ลักษณะบาดแผลพบว่ามีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อบริเวณหน้าอก ต้นแขน เต้านมด้านซ้ายหายไป ซี่โครงด้านซ้ายหักทั้งหมด มีเลือดออกที่ช่องปอด ซึ่งทางนิติเวชสรุปว่าเกิดจากการกระแทกด้วยของแข็งความเร็วสูงและมีความร้อน อีกทั้งบริเวณแผลโดยรอบมีเขม่าดำ แต่ไม่พบวัตถุที่เป็นโลหะที่สะเก็ดระเบิดใดๆ ในร่างกาย

 

นอกจากนี้ จากการรักษาผู้บาดเจ็บรายอื่นๆ พบว่า บางรายมีบาดแผลสาหัสที่ข้อเท้า ขา มือ และแขน โดยเนื้อเยื่อเละเป็นชิ้นๆ บางรายลึกถึงกระดูก มีถึงขั้นกระดูกหักเป็นเศษเล็กเศษน้อย ทำให้ต้องมีการตัดอวัยวะส่วนนั้นออกไป เพราะไม่สามารถรักษาได้ ทั้งนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย ขณะนี้อยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยได้รับบาดเจ็บที่หน้าอกและบริเวณลำคอ ซึ่งพบว่าหลอดลมถูกตัดขาด ทำให้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และอีก 1 รายสูญเสียดวงตา 1 ข้าง

 

 

ศัลยแพทย์จุฬาฯ ตั้งข้อสังเกตบาดแผลจากการกระแทกอย่างแรง

นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ผู้ช่วยอำนวยการด้านผู้ป่วยวิกฤติ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ บอกว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา จากการรักษาผู้บาดเจ็บรายหนึ่งซึ่งมีบาดแผลเป็นรูที่หน้าขา รักษาไม่หาย ทำให้ต้องผ่าตัด และพบว่ามีกระสุนยางฝังตัวอยู่

 

"จะเห็นได้ว่าแม้เพียงการใช้กระสุนยางก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ดังนั้นเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมที่ผ่านมาคงไม่ต้องพูดถึง" นพ.รัฐพลีกล่าว

 

นายแพทย์ผู้นี้เปิดเผยว่า โรงพยาบาลจุฬาฯ ตั้งอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุ แต่มีการนำส่งผู้บาดเจ็บกว่า 10 ราย ซึ่งส่วนมีบาดแผลที่มีรอยฉีกขาด บางรายมีสะเก็ดทั่วร่างกาย รอยฟกช้ำที่หน้าตา บางรายสูญเสียเส้นเอ็น

 

"เท่าที่ดูเห็นว่าไม่น่าจะเกิดจากแก๊สน้ำตาได้ อีกทั้งแผลส่วนใหญ่ยังมีรอยเขม่าดำๆ โดยรอบ อีกทั้งจากฟิล์มเอกซเรย์บาดแผลยังชี้ว่าไม่ใช่เกิดจากแรงกระแทกโดยตรงจากของแข็งเช่นการทุบตี แต่เกิดจากแรงกระแทกในแนวบิดเฉียงที่แรงกระทำรุนแรง วิ่งไม่ตรงไปตรงมา"

 

นพ.รัฐพลีกล่าวอีกว่า จากภาพบาดแผลที่ปรากฏ ไม่คิดว่าอาวุธธรรมดาทำให้เกิดแผลเหล่านี้ได้ ไม่ใช่อาวุธปืน กระบอง ซึ่งในฐานะแพทย์คงบอกไม่ได้ว่าเป็นอาวุธใด และใครเป็นคนทำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นรู้สึกว่ารุนแรงมากที่เกิดขึ้นกับคนไทย เป็นภาพสะเทือนใจ ไม่ว่าใครถูกผิด อาวุธร้ายแรงแบบนี้ก็ไม่ควรนำมาใช้กับคนไทยทั่วไป บาดแผลมีกระดูกโผล่ กระดูกหัก ที่ถูกแรงกระทำรุนแรงมาก ไม่ใช่แค่กระดูกหักธรรมดา แต่เกิดจากแรงบิด แรงหมุน ทั้งเส้นเลือด กล้ามเนื้อ เส้นประสาท

 

"โดยบางรายหมอไม่สามารถรักษาอวัยวะผู้บาดเจ็บได้ ต้องตัดทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตผู้บาดเจ็บไว้ ผมคิดว่าสภาพแบบนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร และในฐานะบุคลากรแพทย์ ขอบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ดีเราคงต้องทำหน้าที่รักษาต่อไป" นพ.รัฐพลีกล่าว

 

 

อดีต ผบ.นิติวิทยาศาสตร์ สตช.ระบุความเร็วของแก๊สน้ำตาทำอวัยวะฉีกขาดได้

พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด กล่าวว่า จากการนำเสนอภาพของสื่อมวลชนในเหตุการณ์ เห็นว่าแก๊สน้ำตาที่ใช้มี 2 แบบ ลักษณะยาวประมาณ 6 นิ้ว ขนาดน้ำหนัก 2 ขีด เวลายิงจะเร็วมาก 200 Feet/session ดังนั้นจึงมีแรงกระแทกมหาศาล และเมื่อตกพื้นจะระเบิดออก มาจากประเทศจีน ต่างจากแก๊สน้ำตาที่ใช้ในกลุ่มประเทศรวย เมื่อตกพื้นจะไม่ระเบิด แต่แก๊สน้ำตาจะค่อยๆ ซึมออกมาแทน

 

"แก๊สน้ำตาที่ใช้ขว้างออกไป เมื่อกระทบพื้นจะระเบิดตูมและมีไฟลุกขึ้น ขณะที่แก๊สน้ำตาที่ผลิตจากสหรัฐอเมริกา เมื่อตกพื้นจะดังฟึบแล้วแก๊สค่อยๆ ซึมออกมา ดังนั้นบาดแผลของผู้บาดเจ็บที่เกิดการเผาไหม้ย่อมเกิดขึ้นได้ รวมถึงน้ำหนักและแรงความเร็วของแก๊สน้ำตา หากวิ่งมากระทบอวัยวะส่วนใดย่อมทำให้ขาด ชนขาขาก็ขาดได้ เช่นเดียวกับนิ้วและมือ และเมื่อเกิดการระเบิด ไฟลุก ก็ทำให้เนื้อส่วนนั้นรุ่งริ่ง มีรอยไหม้เหมือนภาพบาดแผลที่ปรากฏในข่าว" พล.ต.ท.อัมพรกล่าว

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดกล่าวต่อว่า สิ่งที่แพทย์พบในร่างกายผู้บาดเจ็บ จะมีชิ้นส่วนเล็กๆ ที่เป็นพลาสติกบางๆ นั้น เป็นพลาสติกที่ห่อหุ้มแก๊สน้ำตาไว้ และจากการสอบถามแพทย์ ไม่พบสะเก็ดระเบิดที่เป็นโลหะ ดังนั้นจึงตัดประเด็นการใช้ระเบิดที่เป็นระเบิดแท้จริงออกไป แต่น่าจะเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตานี้มากกว่า

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจระบุว่า น.ส.อังคณา หรือน้องโบว์ เสียชีวิตจากระเบิดที่พกมาเอง พล.ต.ท.อัมพรตอบว่า ไม่ว่าจะเป็นระเบิดปิงปองหรือระเบิดลูกเกลี้ยง หากระเบิดขึ้นจะต้องพบเศษโลหะในร่างกาย แต่การตรวจของแพทย์ไม่พบ ดังนั้นการที่จะพกระเบิดมาเองจากที่ตำรวจตั้งข้อสังเกตหรือไม่ ให้สังคมกลับไปคิดเอง และคิดว่าคงตอบเองได้ เพราะทุกคนมีสติสัมปชัญญะเท่ากัน อย่างไรก็ตาม จากเขม่าที่ติดตามร่างกายสามารถตอบได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ตอนนี้ต้องรอผลการชันสูตรก่อน

 

เมื่อถามว่า ตำรวจแถลงข่าวยืนยันใช้แก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุม และมีการสาธิตการใช้แก๊สน้ำตานั้น เป็นแบบเดียวกับในวันที่สลายผู้ชุมนุมหรือไม่ พล.ต.ท.อัมพรยืนยันว่า เท่าที่เห็นไม่เหมือนกัน แต่เป็นแก๊สน้ำตาที่ผลิตโดยสหรัฐ เป็นแบบเซฟตี้ เพราะเป็นลักษณะควัน เมื่อกระทบพื้นแล้วจะค่อยๆ ไหลออก อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบประเทศไทยมีการใช้แก๊สน้ำตาในทุกแบบ

 

ถามว่า เหตุใดเมื่อแก๊สน้ำตาที่ใช้มีความรุนแรงจึงมีการนำมาใช้สลายกลุ่มชุมนุม พล.ต.ท.อัมพรกล่าวว่า ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธ แต่รู้ไม่จริง ที่รู้จริงมีไม่กี่คน และหากรู้ว่ายิ่งแล้วทำให้เกิดความรุนแรงอาจไม่ทำแบบนี้ก็ได้ เพราะแม้แต่กระสุนยางที่ใช้ยังทะลุหน้าแข้งได้ ซึ่งตนก็ไม่เคยทราบ แต่เพิ่งทราบจากของแพทย์เมื่อครู่ อย่างไรก็ตาม การปราบจลาจล แม้ใช้กระสุนยางก็จะไม่ยิงโดยตรง แต่จะยิงที่พื้นให้กระเด้ง ดังนั้นในรายที่กระสุนยางทะลุนั้นไม่รู้ว่าเกิดจากตำรวจอ่อนซ้อมหรือตั้งใจกันแน่ ก็บอกไม่ได้

 

 

ผบ.ตร.หนุนคนกลางตรวจสอบ แนะพันธมิตรหยุดเคลื่อนไหวไปตลอดบ้านเมืองจะได้ดีขึ้น

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า การที่ให้คนกลางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นสิ่งถูกต้องที่สุด ในส่วนของตำรวจเราก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเราไป โดยตนกำลังร่างหนังสือเพื่อตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมาตรวจสอบในทุกแง่มุม ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ สาเหตุเป็นอย่างไรทำไมจึงมีการบาดเจ็บ

 

"ตำรวจหารือและประชุมกันทุกอย่างแล้วว่า การเปิดเส้นทางรัฐสภาจะใช้มาตรการเบาที่สุด ให้ตำรวจกับผู้ชุมนุมอยู่ห่างกันมากที่สุด เป้าหมายเพื่อเปิดเส้นทางอย่างเดียว ไม่มีจุดประสงค์อื่น" พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าว

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวต่อไปว่า การสูญเสียที่เกิดขึ้น การที่เราออกไปแก้ตัวโดยไม่มีผลพิสูจน์นั้น เป็นเรื่องลำบากที่ประชาชนยังเคลือบแคลงใจ ตนเห็นควรให้หาคนกลางมาดูแล ในส่วน ตร.ก็พยายามหาข้อเท็จจริงก่อนจึงจะแถลงเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าตอบโต้เลยจะดูเป็นการแก้ตัว ต้องการพิสูจน์จริงๆ ว่าคนบาดเจ็บล้มตายเกิดจากอะไร เป็นเรื่องที่เราต้องดู สังคมจะได้รับทราบข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงมีหลายระดับ

 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีพันธมิตรฯ หยุดเคลื่อนไหว 3 วันเพื่อไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า ควรหยุดไปตลอด สถานการณ์บ้านเมืองจะได้ดีขึ้น

 

 

ยัน "แก๊สน้ำตาสลายชุมนุม" แค่อุปกรณ์พื้นฐานคุมฝูงชน แย้มใกล้เวลา "เอาทำเีนียบคืน"

พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวถึงข่าวพันธมิตรฯ จะชุมนุมบริเวณ บช.น.ว่า ได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่จาก ตชด., บช.น.และ บช.ส.ไว้แล้ว แต่คงไม่มีการใช้แก๊สน้ำตา และอย่าใช้คำว่าใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมเพราะแก๊สน้ำตาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในการควบคุมฝูงชนไม่ใช่การสลายการชุมนุม

 

พล.ต.ท.สุชาติ อ้างว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ตำรวจทำหน้าที่เพียงเข้าไปเปิดทางเพื่อให้ตัวแทนปวงชนได้เข้าทำงาน ซึ่งมีทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. ทำไมต้องมองว่าตำรวจเข้าข้างรัฐบาล

 

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า มีกระแสข่าวว่าตำรวจจะยึดพื้นที่ทั้งสะพานมัฆวานฯ และทำเนียบรัฐบาลคืน พล.ต.ท.สุชาติกล่าวว่า น่าจะใกล้เวลาเอาคืนแล้ว และตำรวจจะทำให้ดีที่สุด ส่วนพันธมิตรฯ จะมีการแจ้งศาลโลกนั้นก็ไม่รู้สึกหวั่นใจแต่อย่างใด

 

 

น้อยใจตำรวจเป็นจำเลยสังคม วอนเชื่อมโยงถึงจี๊ปพกระเบิดซีโฟร์

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคม ถูกกล่าวหาว่าทำให้ประชาชนต้องเจ็บต้องตายเราต้องนำเสนอข้อเท็จจริง ยืนยันว่าข้อเท็จจริงตำรวจไม่ได้ทำ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คณะกรรมการฯ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาตรวจสอบจะได้แจ้งให้ประชาชนได้ทราบ ตำรวจไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหา สื่อมวลชนที่ลงไปทำงานในพื้นที่ก็เห็นว่าตำรวจปฏิบัติอย่างไร

 

พล.ต.ต.สุรพล อ้างด้วยว่า อยากให้มองความเชื่อมโยง กรณีระเบิดรถจี๊ปหน้าพรรคชาติไทยและพบระเบิดซีโฟร์ครึ่งปอนด์อยู่ในรถ เอามาทำอะไร และเขาก็เสียชีวิตกับสิ่งที่เขานำมาด้วย ซึ่งผลชันสูตรสภาพศพผู้ถูกระเบิดเบื้องต้น พบว่ามีการเปิดประตูรถแล้วหยิบระเบิดออกมา แต่เกิดระเบิดก่อนจะเอาออกไป อยากให้มองเชื่อมโยงต้นเหตุความรุนแรง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องได้รับการถูกลงโทษ

 

"มีข้อมูลมาก่อนว่าจะมีการบุกรัฐสภาและจะมีการปะทะกัน ก็รู้ว่ามีบางอย่างจะเกิดขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครเอาอาวุธร้ายแรงขนาดนี้เข้าไป เพียงเพื่อให้เกิดผลร้ายต่อประชาชน แล้วอ้างว่าเกิดจากรัฐบาลหรือตำรวจ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตนเอง เป็นการใช้ความล้มตายของประชาชนมาเป็นประโยชน์ ระเบิดมาจากคนที่นำรถเข้ามา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคนอยู่เบื้องหลังเป็นใคร 5 แกนนำพันธมิตรฯก็อาจจะไม่ทราบ การจะเชื่อมโยงต้องมีหลักฐานชัดเจนมากกว่านี้" พล.ต.ต.สุรพลกล่าว

 

 

ยันไม่ิคิดให้ร้ายน้องโบว์ ลั่นประชาชนล้มตายตำรวจไม่ได้ประโยชน์ ถ้าผิดยินดีรับโทษ

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง ซึ่งถูกระบุว่าให้ร้าย "น้องโบว์" ว่าหนีบระเบิดทำให้เสียชีวิต ยังปฏิเสธว่าไม่ได้แถลงข่าวว่าน้องโบว์พกระเบิด ไม่เคยพูดแบบนั้น ที่ผ่านมาไม่เคยพูดให้ร้ายใคร ยอมรับและให้เกียรติผู้ชุมนุมที่ปรารถนาดีต่อชาติ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ คิดด้วยเหตุด้วยผล ตำรวจไม่ได้รับผลประโยชน์จากการล้มตายของประชาชน ถ้าพบว่าตำรวจผิดก็พร้อมได้รับการลงโทษทั้งทางสังคมและกฎหมาย

 

 

 

การ์ดพธม.เหยื่อระเบิดมือขาด ตร.อ้างเป็นผู้ร้ายปล้นฆ่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบประวัติของนายสุชิน แสนรินทร์ อายุ 44 ปี หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับบาดเจ็บมือขวาขาดจากสะเก็ดระเบิด ต่อมาแพทย์จึงตัดข้อมือขวาออกเนื่องจากเป็นแผลฉกรรจ์มาก แต่ในช่วงค่ำนายสุชินได้ขออนุญาตแพทย์กลับไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดลพบุรี โดยนำข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดรวมถึงเวชระเบียน (ข้อมูลในการรักษาของแพทย์) ออกไปจากโรงพยาบาลทั้งหมด จากนั้นกลุ่มพันธมิตรได้รับตัวนายสุชินไปขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล



ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอนตูม จ.นครปฐม ได้รายงานเข้ามาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า นายสุชิน มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 15 ม.2 ต.ดอนรวก อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ซึ่งเป็นทะเบียนบ้านกลางที่ไม่มีตัวอาคารหรือบ้านพัก เคยก่อเหตุปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ในเขตพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และเพิ่งจะพ้นโทษออกมาอยู่กับกลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ นอกจากนี้นายสุชินยังเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.ดอนรวก และยังพัวพันกับคดีฆาตกรรม ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 อีกหลายคดี

 

 



ร.ต.อ.เผยถูกม็อบตีหัวสลบขณะหาข่าว
วันเดียวกัน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.1 นำตัว ร.ต.อ.สาริษฐ์ อักษร รอง สว.กก.สส.บก.น.1 ซึ่งถูกกลุ่มพันธมิตรจับกุมขณะมีการปะทะ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา และทำร้ายร่างกาย ควบคุมตัวก่อนปล่อยมาเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 8 ตุลาคมมาแถลงข่าว

 

ร.ต.อ.สาริษฐ์กล่าวว่า ได้รับคำสั่งให้ไปถ่ายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เพื่อหาข่าวที่แยกสวนมิสกวัน แต่เหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ จึงเดินออกมาที่แยกวังแดง ด้านหลัง บช.น. ปรากฏว่าประตูปิดออกไม่ได้ จึงตัดสินใจเดินผ่านทางสะพานมัฆวานฯ ระหว่างนั้นการ์ดพันธมิตรตะโกนว่า ตำรวจๆๆ ที่มารื้อเต๊นท์เราวันนั้นŽ จากนั้นมีชาย 7-8 คน มาควบคุมพาไปที่เต๊นท์กองทัพธรรม หน้าสวนมิสกวันจึงแสดงบัตรว่าเป็นตำรวจ และถูกดันให้นั่งลงกับพื้น

 

"ระหว่างนั้นมีประชาชนฮือเข้ามาจะทำร้าย และมีคนถือไม้กระบองแทรกตัวการ์ดคอยกระทุ้งตลอดเวลา ก่อนที่จะพาเข้าไปในเต็นท์กองทัพธรรม จึงชักปืนขนาด .38 ลูกโม่ออกมาขู่ แต่มีการ์ดคนหนึ่งชื่อสิงห์ หยิบระเบิดออกมา บอกว่ามึงกับกูตายพร้อมกัน อีกคนก็ถืออาวุธปืนยาวมาจ่อ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงบอกว่าผมยอมแล้ว ก่อนปลดโม่ เอาลูกออกและก้มตัวลงกับพื้น ก็ถูกของแข็งตีที่หัวและสลบไป" ร.ต.อ.สาริษฐ์กล่าวและว่า

 

พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าถูกปลดทรัพย์สินไป มีกล้องดิจิตอล 2 ตัว โทรศัพท์มือถือ และปืน ก่อนใช้ถูกรัดด้วยสายรัดพลาสติกและใส่กุญแจมือ โดยมีพยาบาลมาทำแผลให้ ก่อนจะมีการประสานได้รับปล่อยตัวเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 8 ตุลาคม โดยหมอบอกว่าแผลแตกเย็บ 6 เข็ม

 

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า ขนาดตำรวจยังทำแบบนี้ ตัวละครที่เกี่ยวข้องรู้ทุกตัวแล้ว จากนี้ไปจะดำเนินคดีถึงที่สุด ส่วนอาวุธปืนเพิ่งได้มาและถึงขนาดให้เซ็นหนังสือว่าไม่เอาเรื่องด้วยซ้ำไปหากมีการคืนอาวุธปืน ทำอย่างนี้มันเกินไป

 

 

พระราชทานพวงมาลาแสดงความอาลัย น.ส.อังคณา

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพวงมาลาแสดงความอาลัยต่อการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ ซึ่งเป็นผู้ชุมนุมพันธมิตร ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมบริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยท่านผู้หญิงฉัตรแก้ว นันทาภิวัฒน์ รองราชเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เป็นตัวแทนอันเชิญพวงมาลา มอบให้กับครอบครัว น.ส.อังคณาเมื่อเวลา 19.00 น. สร้างความปลาบปลื้มปีติให้กับครอบครัวระดับปัญญาวุฒิ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในวัดศรีประวัติ ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพว่าบรรยากาศ เป็นไปด้วยความโศกเศร้า และมีการจับกลุ่มวิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรฯ มาร่วมงานหลายกลุ่มคน ได้แก่ นักดนตรีวงโฮป นายศรัญญู วงษ์กระจ่าง นายสำราญ รอดเพชร นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และยังมีบุคคลสำคัญ ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประชาชนมาร่วมเป็นจำนวนมาก

 

ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล หลังพิธีกรบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศให้ผู้มาชุมนุมได้รับทราบข่าว ทุกคนต่างแสดงความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยทั่วกัน

 

 

ผู้บาดเจ็บเริ่มออกโรงพยาบาล หลายรายเจ็บสาหัส อาการยังน่าเป็นห่วง

ด้านอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บที่รักษาตัวตามจุดต่างๆ ที่โรงพยาบาลราชวิถี พญ.วารุณี จินารัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวถึงอาการผู้ได้รับบาดเจ็บว่า มีผู้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีจำนวนทั้งสิ้น 31 ราย ยังพักรักษาตัวจำนวน 2 ราย คือ นางรุ่งทิวา ธาตุนิยม อายุ 46 ปี และนายอดิศร สนใจแท้ อายุ 36 ปี โดยรายที่น่าห่วงที่สุดคือ นางรุ่งทิวา เนื่องจากได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ กะโหลกแตก และอวัยวะภายในสมองได้รับความเสียหาย แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมีภาวะสมองบวม ทั้งนี้ สาเหตุมาจากได้รับแรงอัดจากบางสิ่งบางอย่างอย่างรุนแรง ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากแรงอัดของระเบิดหรือจากแรงอัดของแก๊สน้ำตา

 

ขณะที่ความคืบหน้าผู้บาดเจ็บที่เข้ารักษาตัวยังโรงพยาบาลวชิรพยาบาล นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิชระ เปิดเผยว่า ยังมีผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล 14 ราย ในจำนวนนี้อยู่ในห้องไอซียู 3 ราย ที่เหลือกลับบ้านไปหมดแล้ว โดย 1 ราย คือ ส.ต.ต.มนตรี มุกสาร ซึ่งถูกยิงที่คอ ได้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนนายธันยา กุลแก้ว ผู้บาดเจ็บที่ขาขาดนั้น ได้รักษาโดยทำการตัดขาไปแล้ว และตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว น่าเป็นห่วง และต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ต่อไป

 

มีรายงานยอดผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ล่าสุดวันที่ 9 ตุลาคม ศูนย์นเรนทรได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มเป็น 478 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย และต้องนอนรักษาตัว 85 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 9 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล 32 ราย โรงพยาบาลกลาง 3 ราย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 3 ราย โรงพยาบาลศิริราช 5 ราย โรงพยาบาลราชวิถี 2 ราย โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 13 ราย โรงพยาบาลรามาธิบดี 17 ราย โรงพยาบาลตำรวจ 8 ราย และโรงพยาบาลเลิดสิน 2 ราย

 


ทั้งนี้ มี 9 รายที่ต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญ คือ แขนขาขาด นิ้วมือนิ้วเท้าขาด และสูญเสียดวงตา จะต้องฟื้นฟูสมรรถภาพและใส่อวัยวะเทียมเพื่อสามารถดำเนินชีวิต

 


 

 

 

 

………………………………………….

ที่มา: ไทยโพสต์ มติชน และผู้จัดการออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท