Skip to main content
sharethis




ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดศรีสะเกษรายงานว่า เมื่อเวลา 14.10 น.วันที่ 15 ต.ค. 2551 ที่บริเวณผามออีแดง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะที่ พล.ต.ท.กฤษดา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภาค 3 ได้เดินทางขึ้นไปเพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลบนผามออีแดง โดยมีพ.อ.ชยันต์ หวยสูงเนิน รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปถึงสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา พร้อมได้นำเยี่ยมชมตรงจุดบริเวณเสาธง ที่ติดตั้งกล้องส่องทางไกล ส่องดูความเคลื่อนไหวของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ซึ่งพบมีการวางปืนใหญ่รายรอบผามออีแดงและหันปลายกระบอกปืนเข้ามาทางฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก


 


ขณะเดียวกันภายหลังจากที่คณะได้เดินทางขึ้นรถและกำลังจะเดินทางกลับ ในเวลา 14.10 น.ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น บริเวณวัดแก้วสิกขาศิริสวาระ จึงได้เร่งรีบเดินทางกลับลงมา จากนั้นได้รีบขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เดินทางกลับที่ จ.นครราชสีมา เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ


 


จากนั้นในพื้นที่ทางฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ และทหารได้สั่งเสริมกำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทหารได้เสริมกำลังขึ้นไปบริเวณผามออีแดงหลายร้อยนาย โดยใช้รถบัสลำเลียงนายทหารประมาณ 3 คันรถบัส พร้อมอาวุธครบมือ เพื่อไปเสริมกำลังในพื้นที่ จากนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้นทุกระยะ โดยคาดว่าจะเป็นปืนกลเล็กที่ทางกัมพูชาได้ยิงต่อสู้กับทางทหารไทย


 


เมื่อเวลา 14.50 น.ได้มีการลำเลียงผู้บาดเจ็บลงมา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารที่บาดเจ็บ 1 นาย ที่ถูกสะเก็ดระเบิด นำส่งที่โรงพยาบาลกันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เดินทางมาเพื่อช่วยเหลือ และให้การรักษาเตรียมพร้อมในภาวะสงครามเต็มที่


 


เมื่อเวลา 15.00 น. ได้มีการอพยพชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนแล้ว โดยจุดแรกที่มีการอพยพคือชาวบ้าน 7 หมู่บ้าน ต.เสาธงชัย โดยใช้โรงเรียนบ้านตาแท่น ต.เสาธงชัย เป็นศูนย์ที่รองรับผู้อพยพ โดยมีชาวบ้านที่ถูกอพยพเบื้องต้นประมาณ 100 ครอบครัว ประมาณ 500 คน โดยมีการทำเพิงพัก และเต็นท์เพื่อรองรับชาวบ้าน และมีน้ำดื่มและอาหารเอาไว้รองรับครบมือ


 


เชิญผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชามาประณาม


ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แสดงความห่วงใยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมสั่งการให้ตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจน พร้อมกำชับกำลังพลตอบโต้อย่างเหมาะสม เพราะไม่ต้องการให้ขยายวงความรุนแรง ด้านเจ้ากรมการข่าวทหารบกเชิญผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชา มาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


แม่ทัพภาคที่2สั่งตอบโต้เขมรทุกรูปแบบ


เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้( 15 ต.ค.) ที่กองยุทธการ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ผู้สื่อข่าวได้ไปปักหลักพร้อมกับประสานกับ พ.อ.(พิเศษ)ชินกาจ รัตนจิตติ ผอ.กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 เพื่อสัมภาษณ์พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2


 


ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เวลา 08.00 น.ได้มีการประชุมกำลังพล เพื่อประเมินสถานการณ์ทุกๆ 5 ชั่วโมง และในช่วงบ่าย ก็ร่วมประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด พร้อมด้วย พล.ท.โสภณ ดิษฐ์แย้ม แม่ทัพน้อยที่ 2 โดยมี พล.ต.วีรวลิต จรสัมฤทธิ์ รอง มทภ. 2 , พล.คมสัน มานวกุล รอง มทภ.2 , เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 , รองแม่ทัพน้อย , เสนาธิการกองทัพน้อย , ผบ.กอ.รมน.ภาค 2 , ผบ.กำลังพล , ผบ.กองบังคับการกองพันทหารม้า(รถถัง)ที่ 8 , ผบ.กองร้อยรถถัง รวมกว่า 50 นาย โดยไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องรวมทั้งสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด


 


บรรยากาศก่อนการประชุมไม่ว่าจะเป็น มทภ.2 , แม่ทัพน้อยที่ 2 และรอง มทภ.2 , รองแม่ทัพน้อย และนายทหารระดับสูงต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด แข็งกร้าว และค่อนข้างวิตกกังวลต่อสถานการณ์


 


พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวก่อนจะมีเหตุการณ์ทหารกัมพูชายิงถล่มฝ่ายไทยว่า สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อวานนี้(14 ต.ค.) เพราะมีการกำลังปรับกำลังใหม่ และกำลังจะประสานไปยังฝ่ายกัมพูชา ในเรื่องการประชุมเจรจาที่ได้ตกลงกันไว้ในวันนี้( 15 ต.ค.) แต่ได้มีการเลื่อนเวลาออกไปเป็นวันพรุ่งนี้( 16 ต.ค.) คงมีเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นคงไม่มีสถานการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงที่น่าหนักใจ  ซึ่งสถานการณ์ทั่วไปดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้( 14 ต.ค.) ยังปกติตลอดแนวชายแดน กำลังทหารที่อยู่ตามแนวชายแดนก็อยู่ในสภาพที่ขวัญดีอยู่ และพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน ก็ได้มีการเตรียมการณ์แจ้งเตือน และมีความพร้อมในการที่รับสถานการณ์


 


พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ กล่าวว่า ได้ซักซ้อมการปฏิบัติไว้ตามช่องทางสำคัญๆ เพื่อพร้อมที่จะตอบโต้การปฏิบัติได้ทันที และยืนยันว่าจะไม่ถอนทหารออกโดยเด็ดขาด เราได้รับมอบภาระหน้าดูแลรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งทาง ผบ.ทบ.ได้ให้กำกับดูแลกำลังที่อยู่ในพื้นที่จะต้องเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชา ซึ่ง ผบ.ทบ.ได้ให้ขวัญและกำลังใจและให้ตนติดตามสถานการณ์ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนทุกอย่างที่เราต้องการไปให้กำลังพล


 



ทหารเขมรขนอาวุธนักพร้อมกำลังพลตรึงเข้มแนวชายแดน


แหล่งข่าวสายทหารเผยเขมรขนกำลังพล- ปืนยิงจรวดประชิดเขตชายแดนไทย ชี้ยุทธศาสตร์ 2 จุดใหญ่เขมร ตั้งอยู่ที่ บ.สวายจะลูง และบ้านโกมุย ระบุจุดล่อแหลมอยู่บริเวณปราสาทตาควาย ย้ำกองกำลังกัมพูชาหนุนสมทบกว่า 3 กองร้อย


 


แหล่งข่าวสายทหารรายงานว่า สถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา บริเวณ อ.อัลลองเวง จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา พบว่ามีทหารมากกว่า 3 กองร้อยปักหลักอยู่บริเวณฐานเขมรแดงเก่า มีการขนปืนคอ และปืนใหญ่ เข้าไปจำนวนมาก โดยพื้นที่ดังกล่าวหากมองแล้วสมรภูมิรบ ทางไทยจะได้เปรียบเพราะเป็นเขาสูง หากมีการโจมตีกันเกิดขึ้น ทางเขมรจะรบได้วิธีเดียวคือการยิงปืนใหญ่เข้ามาเท่านั้น


 


นอกจากนี้ทหารเขมรยังได้เคลื่อนทัพมาทางช่องโดนเอาว์เข้ามาทางภูมะเขือ ซึ่งอยู่ห่างจากทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร 4 กม. โดยยุทธศาสตร์การตั้งฐานของเขมรมีอยู่สองจุดยุทธศาสตร์ใหญ่ คือ บริเวณบ้านสวานจะรูง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทพระวิหาร 6 กม. และจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเขมร ที่กระสุนปืนใหญ่ของไทยไม่สามารถโจมตีได้ เพราะกระสุนของเราเข้าไม่ถึง ซึ่งถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทางเขมรได้เปรียบมาก จุดดังกล่าวตั้งอยู่ที่บ้านโกมุย อยู่ทางทิศใต้ของปราสาทพระวิหาร 2 กม. ทั้ง 2 จุดทางทหารเขมรได้มีการขนปืนยิงจรวด 30 ลำกล้อง หรือที่เรียกกันว่า บีเอ็ม 40 ซึ่งเป็นปืนของรัสเซียเข้ามา


 


ทั้งนี้บริเวณจุดที่ล่อแหลมที่น่าจับตามองคือปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ มีกองกำลังของทหารเขมรประมาณ 3 กองร้อย ตั้งฐานทัพอยู่ทางทิศใต้ปราสาทตาควาย ในเขต จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา  โดยการนำของ ผบ.ภูมิภาคที่ 4


 


สื่อต่างประเทศตีข่าวสนั่น


อย่างไรก็ตามสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กองกำลังของไทยและกัมพูชา ยิงปะทะกันตามแนวชายแดนแล้ว โดยนายชอร์ โซคุนเธีย ช่างภาพของรอยเตอร์ กล่าวว่า ได้ยินเสียงปืนทั่วบริเวณ อีกทั้งมีจรวดลูกหนึ่งพุ่งมาจากฝั่งไทย ซึ่งขณะนี้ได้เปิดฉากยิงกันแล้ว


 


ด้าน พล.อ.เตีย บัน รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ได้มีการยิงตอบโต้กันแล้ว และรายงานจากเจ้าหน้าที่ของกัมพูชาด้วยว่า ไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน


 


ทั้งนี้ นายชอร์ โซคุนเธีย ช่างภาพของรอยเตอร์ ที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า ได้เกิดการปะทะกันเป็นเวลาประมาณ 10 นาทีในบริเวณปราสาทพระวิหารตามแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาในวันนี้ โดยเฉพาะที่ภูมะเขือ เชิงปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ม.11 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีษะเกษ ซึ่งเป็นจุดที่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อนหน้านี้ โดยทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ทหารไทยจึงตอบโต้กลับไป


 


"ผมได้ยินเสียงปืนทั่วบริเวณนี้ จรวดลูกหนึ่งพุ่งมาจากไทยเหนือศีรษะของผม ขณะนี้คุณสามารถได้ยินเสียงการสู้รบ พวกเขาได้เปิดฉากยิงแล้ว ผมจำเป็นต้องหาที่หลบภัย" ช่างภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์กล่าว


 


ด้านเจ้าหน้าที่กัมพูชารายหนึ่งกล่าวในวันนี้ว่า ทหารไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน "ผมยืนยันได้ว่ามีการปะทะกันระหว่างกัมพูชาและไทย ฝ่ายไทยได้ยิงเราก่อน" นายเพรียบ ตาน ผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหารของกัมพูชากล่าว


 


ฝ่ายไทยยันเขมรยิงก่อนด้วยจรวดอาร์พีจี


ขณะเดียวกันรายงานในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษว่า ทหารกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงปะทะมาทางทหารไทยก่อนด้วยจรวดอาร์พีจีทำให้ทหารไทยต้องยิงตอบโต้


 


ล่าสุดเมื่อเวลา 15.40น.มีรายงานว่าทหารพรานของไทยได้รับบาดเจ็บ 4 นาย และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 นาย หนึ่งในจำนวนนี้คือทหารพรานกิติศักดิ์ เพชรภักดี หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 ได้รับบาดเจ็บชายโครงด้านขวา จากเสก็ดระเบิดจรวดอาร์พีจีที่บริเวณสะตราว เชิงเขาพระวิหาร โดยสะเกิดระเบิดที่ยิงมาตกลง และไปถูกท่อนเหล็กตกลงมาใส่ ขณะนี้ได้รับการนำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลกันทรลักษณ์



ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ส่งรถขึ้นไปเพื่อลำเลียงผู้บาดเจ็บลงมาอีก ขณะที่ทางฝ่ายกัมพูชามีทหารบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบจำนวน


 


ทหารไทย 10 นายยอมมอบตัวต่อแล้ว


อย่างไรก็ตาม ช่างภาพของสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทหารไทย 10 นาย ที่ประจำการอยู่ในพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร ยอมแพ้ โดยชูมือขึ้นเหนือศีรษะ และเข้ามอบตัวต่อทหารกัมพูชา ขณะที่ยังคงได้ยินเสียงปืนอยู่อย่างต่อเนื่อง


 


มีรายงานว่า ทหารกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงปะทะมาทางทหารไทยก่อน ทำให้ทหารไทยต้องยิงตอบโต้ สำนักข่าวเอพีรายงานล่าสุด อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ที่ยืนยันในเบื้องต้นว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังตรวจสอบหาข้อมูลรายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารพรานที่ 23 ประกาศให้เจ้าหน้าที่ทุกนายเตรียมความพร้อมเสริมกำลังที่บริเวณเขตชายแดนปราสาทพระวิหาร ต่อการรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ประกาศเตือนไปยังประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสียงภัย เตรียมอพยพ ส่วนพื้นที่ใกล้เคียงก็ให้เตรียมตัวไว้ และยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ


 


อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ที่เกิดการยิงปะทะ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่ พล.ต.กนก เนตระคะเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้สั่งการผ่านเครื่องขยายเสียง ระดมทหารชุดเคลื่อนที่เร็ว พร้อมรถยีเอ็มซี ขึ้นไปที่บริเวณภูมะเขือ ขณะที่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชา เริ่มอพยพเก็บข้าวของหลบภัยแล้ว


 


นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนที่บริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว ยังคงเป็นปกติไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ส่งผลกระเทบเศรษฐกิจการค้าบริวณนี้ทำให้การค้าเงียบเหงา แต่ยังไม่มีมารปิดด่าน ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่เสริมกำลังเข้าไป แต่ยังไม่ได้นำรถหุ้มเกราะเข้าไป


 


สมพงษ์เตือนธุรกิจกลับไทยด่วนเตรียมแผนอพยพ


นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ต่างประเทศ เตือนนักธุรกิจไทยในกัมพูชาว่า หากไม่จำเป็นขอให้รีบเดินทางกลับประเทศไทย โดยขณะนี้มีแผนอพยพคนไทยในกัมพูชารองรับแล้ว


 


"นักธุรกิจไทยในกัมพูชา ถ้าไม่จำเป็น ขอให้รีบกลับประเทศ...ถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยเราพร้อมอพยพทันที มีแผนอยู่แล้ว" นายสมพงษ์ กล่าว


 


บัวแก้วเชิญอุปทูตเขมรรับหนังสือประท้วงเย็นนี้


นายธฤต จรุงวัฒน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ เวลา 18.00 น. กระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญ นายอุก โสพอน อุปทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย มาชี้แจงและรับหนังสือประท้วงเหตุการณ์ทหารกัมพูชา เปิดฉากยิงปะทะกับกองกำลังทหารไทย บริเวณพื้นที่พิพาทเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา


 


ทูตไทยบอกกัมพูชายังไม่มีคำตอบถึงสาเหตุปะทะ


นายวีระพันธ์ วัชราทิตย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ให้สัมภาษณ์ทางเนชั่นทีวีถึงการปะทะระหว่างทหารไทย และ กัมพูชาว่า ขณะนี้ทางทางการไทยและกัมพูชา ได้ประสานกันตลอดถึงเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ขณะที่กัมพูชาชาเองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนถึงสาเหตุการปะทะที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีความจำเป็นต้องอพยพเจ้าหน้าที่ในสถานทูตกลับมายังประเทศไทย หากจะอพยพก็จะเริ่มที่ครอบครัว ขณะที่สถานการณ์ บริเวณชายแดนที่เกิดการปะทะผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะนี้ยังมีเสียงปืนเล็กดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 



"สุขุมพันธุ์"หนุนคงกำลังพื้นที่4.6


ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ(เงา) พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลกัมพูชา ที่ยื่นคำขาดให้ฝ่ายไทย ถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่ทราบว่านายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหงุดหงิดเรื่องอะไร เพราะทหารไทยเข้าไปเพื่อกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากหลักฐานที่ได้มาเป็นทุ่นระเบิดใหม่ ทำในรัสเซีย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ขอให้กำลังใจรัฐบาลและกองทัพในการปฏิบัติภารกิจที่ถูกต้อง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นพื้นที่ของไทยที่มีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน จึงถือว่าไทยมีสิทธิที่จะมีกองกำลังในพื้นที่นี้


 


แต่ขณะเดียวกันจะต้องหาวิธีที่จะให้ความสัมพันธ์กลับไปสู่ภาวะปกติ โดยใช้กลไกที่มีอยู่ คือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี เจรจากัน เพราะตนเองเป็นห่วงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อการที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ในวันที่ 15-18 ธันวาคมนี้


 


ส่วนกรณีที่กัมพูชาให้ข่าวต่อสำนักข่าวต่างประเทศว่า ไทยถอนทหารแล้วนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เชื่อว่า รัฐบาลกัมพูชาต้องการลองของ เพราะไทยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหน้าใหม่ จึงบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าไทยถอนทหาร ส่วนที่พยายามโยงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นั้นขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ แต่ที่สำคัญ ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน


 


พ่อค้าเขมรด้านช่องจอมปิดร้านกลับประเทศ


ทันทีที่มีข่าวว่าเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ที่ภูมะเขือ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาที่ค้าขายอยู่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ก็เร่งรีบปิดร้านและอพยพครอบครัว โดยนำข้าวของเครื่องใช้จำเป็นติดตัวกันไปอย่างเร่งรีบ เดินทางผ่านด่านช่องจอม เข้าไปในพื้นที่บ้านโอร์เสม็ด  อ.สำโรง จ.เสียมราฐ ซึ่งห่างจากประเทศไทยประมาณ 7-8 กิโลเมตรทันที เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย ทำให้บรรยากาศร้านค้าต่างเงียบเหงา มีเพียงพ่อค้าคนไทยที่ยังจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคอยรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิดเท่านั้น


 


ส่วนบริเวณบ่อน 2 แห่งที่ตั้งอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา คือ โอร์เสม็ดรีสอร์ท และ รอยัลฮิลล์ นักพนันชาวไทยและคนไทยที่ทำงานอยู่ในบ่อน ต่างเร่งรีบอพยพกลับประเทศไทยเช่นกัน


 


ส่วนสถานการณ์ชายแดนบริเวณ ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ มีกระแสลืดสะพัดว่า ทหารกัมพูชาจะเผด็จศึกยึดให้ได้ภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ และจะเคลื่อนพลเข้าเปิดศึกในช่วงค่ำวันที่ 15 ตุลาคม ทำให้ฝ่ายไทยได้เสริมกำลังทหารพรานจู่โจม 206 จำนวนหนึ่ง เข้าไปคุมพื้นที่และเฝ้าระวังเหตุอย่างใกล้ชิดแล้ว


 


ที่มา: http://www.komchadluek.com

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net