Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


"สุขุมพงศ์"ยันร่นเวลาส.ส.ร.เหลือ120วันไม่ใช่มติ (22ต.ค.) เวลา 08.10 น. นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่ครม.มีข้อเสนอให้ลดระยะเวลาการทำงาน ส.ส.ร.เหลือ 120 วันว่า ความจริงยังไม่ใช่มติครม.เป็นการหารือหลังประชุมครม. โดยมีรัฐมนตรีบางคนเสนอว่าระยะเวลา 240 วันมันยาวนานเกินไป จึงได้คุยกันว่าถ้าเป็นไปได้ควรร่นเวลาให้เหลือ 120 วัน


 


อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้ส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่างแรกไปให้ทุกพรรคการเมืองดูแล้วเมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา และในวันเดียวกันนี้ ( 22 ต.ค.) ถ้าเป็นไปได้ก็จะเชิญตัวแทนยกร่างของแต่ละพรรค รวมถึงตัวแทนวุฒิสภามาพิจารณาอีกครั้งว่าจะเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องระยะเวลาในการการยกร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร.


 


คณะกรรมการฯ ยังต้องฟังความเห็นจากทุกฝ่ายว่าระยะเวลา 120 วันจะเพีองพอหรือไม่ ถ้าไม่พอก็ต้องเพิ่มระยะเวลา เพราะการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก่อนเวลาที่กำหนดได้ แต่จะทำเสร็จทีหลังไม่ได้ " รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว และว่าการทำงานเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ราบรื่นดีทุกอย่าง และเท่าที่ทราบก็มี ส.ส. และส.ว.บางส่วนได้มาลงชื่อสนับสนุนให้มีการแก้ไขแล้ว


 


เมื่อถามว่า ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการที่มีตัวแทนวุฒิสภาเข้าไปร่วมประชุมกับรัฐบาล นายสุขุมพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย ต้องรอให้มีการลงชื่อก่อนส่วนเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมนั้น ก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะเรามีเสียงเพียงพออยู่แล้ว


ที่มา: http://www.komchadluek.com


 


นายกฯ เรียกถกผบ.เหล่าทัพ ปัญหาพื้นที่พิพาทไทย-เขมร


(22ต.ค.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เชิญ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมหารือ ทั้งประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับข้อพิพาทกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทั้งสองประเทศยังไม่ได้ข้อยุติที่ชัดเจน


 


ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะสรุปประเด็นให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลในการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของสองประเทศ ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวันนี้ข้าราชการระดับสูงฝ่ายไทย ที่ประกอบไปด้วยผู้แทน 4 จังหวัดที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา ฝ่ายเสนาธิการทหาร และยุทธศาสตร์ กองทัพภาคที่ 2 ออกเดินทางด้วยรถยนต์ ใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 67 จากจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ผ่าน อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย เข้าเมืองเสียมราฐระยะทาง 139 กิโลเมตร เพื่อเตรียมการประชุมร่วมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา หรือ อาร์บีซี


 


ที่กำหนดจัดการประชุมระหว่างวันที่ 23-24 ตุลาคมนี้ ตามกรอบการเจรจาของ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคทหารที่ 4 ที่ได้ประชุมร่วมกัน หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกันในพื้นที่พิพาทปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความสนใจในเนื้อหาของการประชุม และข้อสรุปอย่างสันติวิธี จากเหตุความรุนแรงและความตรึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังคงเกิดขึ้น


 


ที่มา: http://www.komchadluek.com


 


สตง.รับลูก-ตั้ง2ปม สอบราคาฝายแม้ว ไม่ได้จ้าง"ชาวบ้าน"


สตง.รับลูกสอบฝายแม้ว ตั้ง 2 ปม คนสร้างไม่ใช่ชาวบ้าน-ราคาวัสดุก่อสร้าง ขู่กรมอุทยานฯตรวจใบเสร็จ รูปถ่ายแล้ว ไม่ตรงกันต้องรับผิดชอบ พะเยายันไม่ได้ซื้อวัสดุก่อสร้างเอง แต่หน่วยงานจัดหาให้


 


กรณีผู้สื่อข่าวเข้าสำรวจโครงการก่อสร้างฝายต้นน้ำแบบผสมผสาน หรือ "ฝายแม้ว" ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ที่อุทยานแห่งชาติปางแดง อ.เชียงดาว ใน จ.เชียงใหม่ พบว่า ฝายแม้วหลายแห่งน่าจะใช้วัสดุและค่าก่อสร้างรวมแล้วไม่ถึง 5,000 บาทตามที่ได้ตั้งงบฯไว้นั้น


 


นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาศ รองผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า จากข้อมูลที่ "มติชน" เข้าไปตรวจสอบที่ จ.เชียงใหม่ พบความน่าสนใจ 2 ประเด็น คือ 1.คณะบุคคลที่สร้างฝายไม่ใช่ชาวบ้าน แต่เป็นลูกจ้างของกรมอุทยานฯ และ 2.วัสดุที่นำมาใช้ในการก่อสร้างว่าสมเหตุผลกับราคามากแค่ไหน เรื่องนี้ สตง.กลางจะสั่งให้ สตง.ภูมิภาคตรวจสอบเป็นพิเศษว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร เพื่อนำมาใช้ในส่วนการสอบสวนของ สตง.ด้วย


 


"กรณีการตรวจพบว่า กลุ่มบุคคลที่ไปสร้างคือลูกจ้างของกรมอุทยานฯ ต้องพิจารณาว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของโครงการหรือไม่ เท่าที่ทราบโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ หากเป็นลูกจ้าง ต้องเข้าไปดูว่าค่าตอบแทนเป็นเงินค่าจ้าง หรือเงินค่าล่วงเวลา และมีหลักฐานการเบิกจ่ายเงินครบถ้วนหรือไม่" นายพิศิษฐ์กล่าว และว่า สตง.กำลังรอข้อมูลการสร้างฝายแม้วจากกรมอุทยานฯ ที่ยังส่งมาไม่ครบ เพื่อใช้ประกอบการสอบสวน อย่างไรก็ตาม เมื่อหน่วยงานส่งข้อมูลมาให้ เช่น การเบิกจ่าย รูปถ่าย หาก สตง.เข้าไปตรวจแล้วไม่ตรงกัน หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย


 


ด้านนายวิทยา นวปราโมทย์ นักวิชาการป่าไม้ 8 ว. หัวหน้าศูนย์ภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการต้นน้ำ กล่าวว่า ผืนป่าดอยสุเทพมีความสำคัญมากเพราะอยู่ใกล้เมืองที่สุด แม้ปัจจุบันในช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว ป่าไม้จะอุดมสมบูรณ์ แต่หน้าแล้งบริเวณป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังจะค่อนข้างแย่ เพราะนอกจากต้นไม้ผลัดใบแล้วยังเกิดไฟป่าต่อเนื่องจากฝีมือนักท่องเที่ยวและชุมชนที่มีหมู่บ้านรอบๆ อุทยานฯ ที่เข้าไปท่องเที่ยว เดินป่าและล่าสัตว์ จึงเป็นที่มาของโครงการที่ต้องการเร่งสร้างความชุ่มชื้นกลับคืนผืนป่าเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยข้อมูลปี 2548-2549 มีการสร้างฝายกว่า 1,600 ฝาย แต่อยากบอกว่าการสร้างฝายในพื้นที่ป่าต้องดูความเหมาะสมของสภาพป่าด้วยว่ามีความลาดชันแค่ไหน เหมาะกับการสร้างฝายแบบใด เพราะการเข้าไปสร้างฝาย โดยเฉพาะฝายถาวรที่ไม่คำนึงถึงสภาพแท้จริงของป่าอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมทั้งสัตว์ป่าในลำห้วย หรือกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร


 


นายวิทยากล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ 5,400 ไร่ของน้ำตกห้วยแก้ว ถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่ดีมาก เพราะสร้างทั้งฝายกึ่งถาวร ฝายหิน ฝายตาข่าย เพื่อชะลอการไหลของน้ำ แต่น้ำยังสามารถลอดออกมาได้ เพื่อเก็บกักไว้ใช้ในฤดูแล้ง แต่มูลค่าการก่อสร้างแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ถ้าสร้างบริเวณลำห้วยด้านล่างซึ่งต้องแข็งแรงเพราะลำน้ำกว้าง ราคาจะประมาณ 1-2 หมื่นบาท แต่หากเป็นฝายตอนบนของลำห้วย ก็สร้างขนาดเล็ก ราคา 5 พันบาท จึงเป็นราคาเฉลี่ยในแต่ะพื้นที่


 


นายเตชะภัฒน์ มะโนวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.พะเยา กล่าวว่า ขณะนี้องค์กรเหมืองฝายภาคเหนือได้ตรวจสอบการก่อสร้างฝายชะลอน้ำของ ทส. ที่กำหนดให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ต่างๆ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้สร้างในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานที่สังกัดกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช แต่ละแห่งจะได้รับจัดสรรสร้างฝายจำนวนเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน แต่พบว่ามีการสร้างไม่ครบตามจำนวน บางแห่งสร้างโดยเจ้าหน้าที่ แต่เวลาเบิกเงินจะใช้เอกสารหลักฐานของประชาชนในพื้นที่โดยรอบประกอบการเบิกจ่าย


 


"ฝายชะลอน้ำตามโครงการของรัฐเป็นเพียงกระแสการสร้างเพื่อหวังเงินงบประมาณเท่านั้น ไม่ใช่โครงการที่เกิดจากภูมิปัญญาและการมีส่วนร่วมภาคประชาชนอย่างแท้จริง ที่สำคัญเป็นโครงการที่ส่อการทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดินกันอย่างมโหฬาร ซึ่งทั่วประเทศต้องใช้งบฯมหาศาล ขัดกับหลักการของฝายชะลอน้ำ องค์กรเหมืองฝ่ายภาคเหนือจึงจะเดินหน้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง" นายเตชะภัฒน์กล่าว


 


นายสมบูรณ์ ขันทะธง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ อ.จุน จ.พะเยา กล่าวว่า ทางเขตดำเนินการก่อสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่รับผิดชอบ จำนวน 280 ลูก ลูกละ 5,000 บาท โดยมอบให้คณะกรรมการหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านมีส่วนร่วมด้วย ส่วนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้จัดหา


 


นายพิชิต ปิยะโชติ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า อุทยานฯภูซางได้รับมอบหมายให้ดำเนินการก่อสร้างฝายชะลอน้ำ 280 ลูก ลูกละ 5,000 บาท ค่าวัสดุก่อสร้างทางอุทยานฯ เป็นผู้จัดหาแรงงานในการก่อสร้างจ้างประชาชนในพื้นที่เป็นรายวัน วันละ 140 บาท


 


นายปรีชา วลีพิทักษ์เดช ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เปิดเผยกรณีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ชี้แจงการสร้างฝายแม้วในเขตอุทยานแห่งชาติผาแดง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ว่า ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ฝาย 300 แห่งยังอยู่ครบ โดยมีฝาย 5-7 แบบตามลักษณะภูมิประเทศ และทุกฝายมีพิกัดจีพีเอสและติดป้ายทุกจุด สภาพฝายมั่นคงแข็งแรง แต่บางฝายอาจพังทลายเพราะฝนตกหนัก จึงให้เจ้าหน้าที่ไปซ่อมฝายที่เสียหายเท่านั้น และไม่ได้ใช้งบประมาณเพิ่ม


 


"พื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแดง มีภูเขาลักษณะซับซ้อน แต่ละฝายไม่เหมือนกัน บางแห่งอยู่ไกลมีค่าขนส่งสูง แต่ใช้แรงงานในพื้นที่ พื้นที่ดังกล่าวไม่เคยสร้างฝายมาก่อน เป็นครั้งแรกที่สร้าง ฝายละ 5,000 บาท เพราะได้งบประมาณ 1.5 ล้านบาท ส่วนที่ชาวบ้านเห็นเจ้าหน้าที่ไปทำฝายนั้น เป็นการซ่อมฝายที่ชำรุดหรือพังทลายเท่านั้น ไม่ได้สร้างใหม่ มีคณะกรรมการตรวจสอบ มีหลักฐานเบิกจ่าย สามารถตรวจสอบได้ หากมีร้องเรียนจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง" นายปรีชากล่าว และว่า หลังสร้างเสร็จจะให้ชุมชนมีส่วนร่วมดูแลรักษา และนำตะกอนทรายไปใช้ประโยชน์ในชุมชน ไม่ให้ฝายตื้นเขินและดักตะกอนรอบใหม่ได้ ส่วนพื้นที่อุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย ได้กระจายงบฯไปสร้างหลายจุด ช่วยชะลอน้ำป่าไหลหลากเชิงเขา ตะกอนดินไหลลงแม่น้ำปิง ช่วยป้องกันน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ทางหนึ่ง


 


ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon


 


 






คุณภาพชีวิต-สิ่งแวดล้อม


 


"อภิรักษ์"ทุ่ม 2 หมื่นล้านพัฒนากรุง เล็งเก็บภาษี"น้ำมัน-โรงแรม-ยาสูบ"


เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.ว่า ที่ประชุมได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 จำนวน 20,386 ล้านบาท จาก 60,420 ล้านบาท สำหรับพัฒนากรุงเทพฯ ตามยุทธศาสตร์หลัก 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบบูรณาการ เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางภูมิภาค 6,657 ล้านบาท 2.พัฒนาศักยภาพเมืองเพื่อก้าวทันการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และเป็นมหานครแห่งการเรียนรู้ 3,585 ล้านบาท 3.พัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครแห่งสิ่งแวดล้อม 4,764 ล้านบาท 4.พัฒนากรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีและมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม 2,654 ล้านบาท และ 5.พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อเป็นต้นแบบด้านการบริหารมหานคร 2,724 ล้านบาท


 


นายอภิรักษ์กล่าวว่า สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีในปีหน้านั้น ได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณ และสำนักการคลัง จัดทำกรอบการกระจายอำนาจเรื่องการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม เช่น ภาษีน้ำมัน ภาษีโรงแรม ภาษีบุหรี่ เป็นต้น ว่าสามารถดำเนินการได้เมื่อใด เนื่องจากต้องมีการออกข้อบัญญัติรองรับ รวมทั้งให้ศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และประเมินความเสี่ยงการจัดเก็บรายได้จากผลกระทบเศรษฐกิจโลก ส่วนการจัดสรรงบฯกลางปี 2552 ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนด แต่ที่ผ่านมาในทุกปี แต่ละสำนักจะเสนอเป็นโครงการและเสนอของบประมาณ ซึ่งจะพิจารณาตามความสำคัญและความจำเป็น


 


ที่มา: http://www.matichon.co.th/matichon


 


เดินหน้าสร้างศูนย์สิ่งแวดล้อมบางซื่อ แหล่งรวมความรู้งบฯเกือบ5พันล้าน


นายชาญชัย วิทูรปัญญากิจ ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ(สนน.) รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียบางซื่อ ต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า กรุงเทพมหานครได้มีการศึกษา ประชาพิจารณ์ และเตรียมการก่อสร้างศูนย์การศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางซื่อ ภายใต้งบประมาณ 4,732 ล้านบาท ให้เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ต่างๆ เช่น ความรู้เกี่ยวกับระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ความรู้เกี่ยวกับพืชน้ำทั่วไปและพืชน้ำที่สามารถบำบัดน้ำเสียได้ ทั้งยังเป็นศูนย์บำบัดน้ำเสียที่รองรับปริมาณน้ำเสียจากพื้นที่โดยรอบ จากคลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองเปรมประชากร แก้ปัญหามลภาวะทางน้ำในบริเวณเขตบางซื่อ และบางส่วนของเขตจตุจักร เขตดุสิต และเขตพญาไท


 


ศูนย์ดังกล่าวตั้งอยู่ในสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) บริเวณสระน้ำด้านเหนือ ติดกับโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ และ ถ.กำแพงเพชร บนพื้นที่ 12 ไร่ ออกแบบให้เป็นระบบบำบัดน้ำเสียใต้ดิน มีขีดความสามารถบำบัดน้ำเสียได้ 120,000 ลบ.ม./ วัน ลักษณะโครงสร้างเป็นรูปเรือครึ่งซีก การใช้สอยพื้นที่ภายในอาคารประกอบด้วยห้องจัดแสดงนิทรรศการ ห้องประชุม ขนาดความจุ 200 ที่นั่ง ห้องแสดงประวัติและห้องสมุดทางด้านสิ่งแวดล้อม รูปลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรมได้ออกแบบลักษณะให้กลมกลืน กับสวนและธรรมชาติ ซ่อนตัวอาคารอยู่หลังผนังโค้งขนาดใหญ่ มีการปล่อยผืนน้ำตกยาวถึง 100 เมตร โดยนำน้ำส่วนหนึ่งที่ผ่านกระบวนการบำบัดตามปกติมาบำบัดต่อด้วยกระบวนการบำบัดขั้นสูงให้ได้มาตรฐานแล้วนำกลับมาปล่อยเป็นม่านน้ำตก รถน้ำต้นไม้ในสวนวชิรเบญจทัศ สวนจตุจักร และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เพื่อทดแทนการใช้น้ำบาดาลในปัจจุบัน


 


สำหรับการดำเนินการขณะนี้ได้ผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารศูนย์ฯ แล้ว เมื่อ 30 กรกฎาคม 2551 ส่วนผู้รับจ้างก่อสร้างท่อนำส่งน้ำเสียมาบำบัด และรายละเอียดอื่น อีก 2 สัญญารอ e-Auction จากนั้นก่อสร้างในเวลา 2 ปี เป้าหมายแล้วเสร็จภายในปี 2553


 


ที่มา: แนวหน้า


 


พอช.ขยายบ้านมั่นคงจากเหนือสู่ใต้


น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา ผอ.สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)เปิดเผยว่า พอช.ร่วมกับชุมชนเมืองภาคเหนือ เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกภาคเหนือ "ปฏิวัติสลัมไทยต้องแก้ไขกันทั้งเมือง" รวมทั้งร่วมกับเครือข่ายชุมชนเมืองสงขลา เทศบาลนครสงขลา จัดกิจกรรม "วันเพื่ออยู่อาศัยภาคใต้" รณรงค์การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนเมืองตามโครงการบ้านมั่นคงและขยายผลเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ


 


ร.อ.(หญิง)เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ กล่าวว่า จากการสำรวจ มีชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ 85 ชุมชน มีผู้เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย 65 ชุมชน 3,713 ครัวเรือน มีชุมชนเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงแล้ว 30 ชุมชน 2,398 ครัวเรือนผู้รับผลประโยชน์ 10,800 คน ซึ่งเทศบาลจะร่วมผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยให้ได้ทั้งเมืองภายในปี 2554 และเชื่อมั่นว่าภาคประชาชนเป็นต้นทุนการพัฒนา เป็นผู้สร้างความสำเร็จด้วยชุมชนเอง


 


ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ


 


องคมนตรีมอบหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์และอยู่อาศัย


นายพลากร สุวรรณรัฐองคมนตรี มอบหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์และอยู่อาศัยภายในเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.1) ให้แก่ประชาชน ในโครงการพัฒนาพื้นที่อำเภอดอยเต่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่


 


นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการ กปร. เปิดเผยว่า สำนักงาน ก ป ร. ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและจังหวัดเชียงใหม่ ได้ร่วมดำเนินการโครงการพัฒนาพื้นที่อำเภอดอยเต่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริโดยได้มีพิธีมอบหนังสืออนุญาตการทำประโยชน์และอยู่อาศัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ(สทก.1) ในโครงการ พัฒนาพื้ตนที่อำเภอดอยเต่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา โดยมีนายพลากร สุวรรณรัฐองคมนตรีเป็นประธานในพิธี ณ โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่


 


โครงการพัฒนาพื้นที่อำเภอดอยเต่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการพัฒนาพื้นที่ รวมทั้งคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของกลุ่มประชาชนที่ได้มีความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ละทิ้งถิ่นฐานไปอยู่ในที่ดินผืนใหม่ที่มีสภาพร้างแล้งและทุรกันดารจากการสร้างเขื่อนภูมิพล ประกอบกับที่ผ่านมาต้องประสบกับปัญหาภัยแล้ง และพื้นที่ต้นน้ำลำธารถูกบุกรุกทำลาย ในการนี้จึงได้มีกระบวนการพัฒนาที่มอบโอกาสหนทาง เครื่องมือ และองค์ความรู้พร้อมกับการแก้ไขปัญหารากฐานของชีวิต ครอบครัวและชุมชนให้มีความมั่นคงพัฒนาคุณภาพชีวิตและจัดระเบียบที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว


 


ทั้งนี้สำนักงาน กปร. ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการบริการโครงการและคณะอนุกรรมการดำเนินงานในระดับพื้นที่ จำนวน 3 คณะ ดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับปัญหาในเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินทำกินกรมป่าไม้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยดำเนินการอนุญาตออกหนังสือให้บุคคลเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (สทก.1) ในบริเวณพื้นที่โครงการฯ


 


โดยมีประชาชนในพื้นที่อำเภอดอยเต่าที่จะได้รับมอบเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน(สทก.1) จำนวนทั้งสิ้น 702 รายจำนวน 891 แปลง เนื้อที่ 4.701 ไร่ในพื้นที่ 4 หมู่บ้านประกอบด้วยบ้านแม่บวนเหนือหมู่ที่ 8 บ้านแม่ตูบ หมู่ที่ 9 บ้านแม่บวนใต้ หมู่ที่ 10 และบ้านโป่งโค้ง หมู่ที่ 11 ตำบลโปงทุ่ง อำเภอดอยเต่าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอย่างที่สุดแล้ววันนี้จึงนับได้ว่า เป็นผลสำเร็จแห่งการพัฒนาที่ทุกภาคส่วนได้ระดมสติปัญญาและสรรพกำลังสืบสานพระราชปณิธานงานพัฒนาช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนร่วมปกปักรักษาธรรมชาติแวดล้อมให้ยั่งยืนสืบไปเลขาธิการ กปร. กล่าว


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


 


ดันซาเล้งตั้งสหกรณ์เก็บขยะเพิ่มรายได้


นายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันการจัด การบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ปี 52 สถาบันจะขยายโครงการ จัดตั้งศูนย์คัดแยกวัสดุ  รีไซเคิลสินค้าประเภทพลาสติก กระดาษ แก้ว กระจก เหล็ก และอะลูมิเนียม ของกลุ่มอาชีพซาเล้ง กับองค์กรส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมซาเล้งให้มีรายได้เพิ่ม และลดปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วในกองขยะทั่วประเทศลง โดยผลักดันให้ซาเล้งรวมกลุ่มเป็นอาชีพหรือสหกรณ์ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการขายวัสดุรีไซเคิล เบื้องต้นภาครัฐและเอกชนสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการแยกวัสดุในการสร้างมูลค่าแก่สมาชิก


 


ขณะเดียวกัน จะขยายโครงการคัดแยกและจัดเก็บวัสดุรีไซเคิล กับหมู่บ้านจัดสรร 30 หมู่บ้าน เพื่อส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านได้คัดแยกวัสดุ โดยสถาบันฯ จะประสานงานให้ร้านรับซื้อของเก่านำรถเข้าไปจัดเก็บสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แล้วนำรายได้มาหักเป็นส่วนลดค่าส่วนกลางของหมู่บ้าน และพัฒนาสิ่งแวดล้อมของหมู่บ้าน ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายของผู้อาศัย เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มซาเล้งไม่สามารถเข้าไปรับซื้อของจากหมู่บ้านจัดสรรได้


 


"ภาคเอกชนต้องการที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจึงได้รวมกลุ่มของอุตสาหกรรมและเก็บเงินรวมกัน 40 ล้านบาท พร้อมทั้งหาพันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยที่ผ่านมาได้ทำโครงการรีไซเคิล 4 โครงการ คือธนาคารรีไซเคิลชุมชน, จัดการวัสดุรีไซเคิลในสถาบันอุดมศึกษา, ศูนย์คัดแยกวัสดุรีไซเคิลในหมู่บ้านจัดสรร และศูนย์วัสดุรีไซเคิลกลุ่มอาชีพซาเล้ง มีเป้าหมายให้ปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วในกองขยะทั่วประเทศลดลง ให้เหลือ 19% ของขยะทั้งหมดภายใน 5 ปี"


 


เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 22 ต.ค. 2551


 






เศรษฐกิจ


 


ห่วงคลัง-ธปท.ไร้พลังกู้ ศก. "สมคิด-ทนง" แนะบริหารนโยบายการเงินให้รัดกุม


"สมคิด" แนะ "คลัง-ธปท." หารืออย่างใกล้ชิด-บริหารนโยบายการเงินให้รอบคอบ จี้รัฐสร้างความเชื่อมั่น ด้าน "สุชาติ" ย้ำกำหนดเป้าค่าบาทเป็นแค่แนวคิดให้ทุกฝ่ายร่วมถกหาข้อสรุปด่วน ขณะที่ "ทนง" หวั่นเกิดการเก็งกำไรหากบิดเบือนค่าบาท แบงก์ชาติต้องคิดให้ดี เอกชนบี้ดูแลค่าบาทให้อ่อนค่าลง 5-10% และช่วยประกันเงินฝากให้ประชาชนเพื่อเพิ่มความมั่นใจ


 


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าค่าที่แท้จริงประมาณ 5% เพื่อหนุนการส่งออก การขยายเวลาการค้ำประกันเงินฝาก 3 ปี และเลื่อนการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของธนาคารพาณิชย์นั้น เห็นว่าคงเป็นเจตนาที่ดีในการแสดงความคิดเห็นดังกล่าว โดยจากนี้ไปควรจะให้เวลากระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการหารือกันให้ครบรอบด้านอย่างใกล้ชิด เพื่อได้ข้อสรุปและเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นเห็นว่าขณะนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุป ขณะที่เชื่อมั่นว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะสามารถตกลงกันได้ เพราะการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง จะต้องผสมผสานและดำเนินให้สอดคล้องกัน เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้


 


ทั้งนี้เห็นว่าความสามัคคีเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะลำบาก ประชาชนต้องการความมั่นใจ โดยรัฐบาลและหน่วยงานราชการจะต้องมีความสามัคคีกัน โดยเชื่อว่าทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท. ไม่มีเจตนาจะขัดแย้งกัน แต่ก็ควรหารือและพูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง เพื่อเตรียมมาตรการต่างๆ เอาไว้รองรับกับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าขณะนี้ปัญหายังอยู่อีกไกลก็ตาม


 


สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2552 นั้น เห็นว่าจะต้องประสบกับความย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภคและการลงทุนที่ชะลอตัว รวมไปถึงภาคการส่งออกขยายตัวในอัตราชะลอลง และด้านการท่องเที่ยวจะหดตัวอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญอยู่ 3 ประการ คือ 1.สภาพการณ์บ้านเมืองที่เหมือนประเทศปกครองไม่ได้ การเมืองไม่มีเสถียรภาพ สังคมแตกแยก 2.มีรัฐบาลที่เปราะบาง ปฏิบัติงานไม่ได้ และ 3.สภาพการณ์ที่บ้านเมืองเป็นประเทศที่ไม่มีความหมายใดๆ ในเวทีโลก เป็นเหมือนช้างหลับ ซึ่งสภาพการณ์ทั้ง 3 ประการนี้ เห็นว่าจะนำไปสู่จุดเสี่ยงที่ไม่ใช่จุดเสี่ยงด้านเสถียรภาพอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงความมั่นคงทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศด้วย


 


ด้าน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องการให้เงินบาทอ่อนค่ากว่าค่าที่แท้จริงเพื่อกระตุ้นการส่งออกนั้น เป็นเพียงแนวคิดต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำไปถกเถียงกันต่อในเชิงนโยบายต่อไป สำหรับแนวคิดที่ต้องการให้ค่าเงินบาทลดลง 5% ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวและประสบความสำเร็จ เช่น สิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น โดยจากการที่หลายฝ่ายออกมาคัดค้าน ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะต้องรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่ายอยู่แล้ว จากนี้ไปจะมีการนำเรื่องดังกล่าว ไปหารือกับนายกรัฐมนตรีและนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีต่อไป


 


นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวคิดการดูแลเงินบาทให้อ่อนค่าลง 5% เพื่อผลักดันการส่งออก เห็นว่าการบิดเบือนค่าเงินบาท อาจส่งผลทำให้เกิดการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ขณะที่ ธปท.จะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์หรือไม่อย่างไร


 


ขณะที่วิกฤติการเงินโลกส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และด้านการส่งออก เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งหามาตรการออกมาเพื่อพยุงตลาดหุ้น รวมทั้งมีนโยบายดูแลผู้ส่งออก อีกทั้งทุกกระทรวงเศรษฐกิจควรจะหารือร่วมกัน เพื่อหามาตรการรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ขณะที่สหรัฐยังเร่งปั๊มเงินดอลลาร์ออกมาแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง จึงวิตกว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จะเลวร้ายมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้หรือไม่ จึงต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน โดยแนวทางในการรับมือวิกฤติสถาบันการเงิน คือ รัฐบาลต้องจัดระเบียบกลไกการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้เน้นบริหารจัดการดูแล และ ธปท.จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ รัฐจะต้องมีนโยบายบริหารเศรษฐกิจแบบใหม่รับมือกับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง การปรับโครงสร้างทางการเงินและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต้องสอดคล้อง เพื่อให้ภาคเอกชนมีศักยภาพในการแข่งขัน


 


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การส่งออกสินค้าไทยปี 2552 จะต้องเจอกับการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยจะเริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป เพราะกำลังซื้อในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นลดลงมากตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ทุกประเทศต้องพยายามแข่งขันด้านราคา ดังนั้น ภาครัฐควรดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงอย่างน้อย 5-10% เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะหากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงก็จะช่วยทำให้สินค้าเกษตรส่งออกได้จะเป็นผลดีต่อประเทศ และการที่จะหาตลาดใหม่ก็ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ภาครัฐควรออกมาประกาศการประกันเงินฝากให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและให้ผู้ฝากเงินสบายใจ


 


ที่มา: บ้านเมือง


 


ศอก.นส. กระทรวงการคลังเดินหน้าให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน


ปัญหาหนี้สินของประชาชน เป็นหนึ่งในหลายปัญหาของสังคมที่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศกำลังประสบอยู่และควรจะได้รับการแก้ไข ด้วยความห่วงใย รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี จึงมีนโยบาย ในการแก้ไข ปัญหาหนี้สินโดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังเข้ามาบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ( ศอก.นส. ) ขึ้น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน มีหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ได้แก่ สำนักงานคลังจังหวัด และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ5แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย


 


ล่าสุด ศอก.นส.ได้เดินทางเยี่ยมประชาชนผู้มีภาระหนี้ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อรับฟังปัญหาหนี้สินของประชาชนและได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนเป็นจำนวนมากพร้อมกับสะท้อนปัญหาการเป็นหนี้ในหลายกรณี


 


นายวีระศักดิ์ จันทร์เวียง เกษตรกรทำนา อายุ 45 ปี กล่าวว่า ตนทำนาบนพื้นที่นา 25 ไร่ ประกอบกับทำไร่แตงกวาและถั่วฝักยาว สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ดี ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาด้านการเงินจนถึงช่วงที่เห็นว่าวัวมีราคาดี จึงกู้เงินซื้อวัวเพื่อมาเลี้ยงจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปวัวราคาตกประกอบกับผลผลิตข้าวไม่ดีทำให้ไม่มีเงินพอชำระหนี้


 


"ปกติผมเป็นคนไม่นิยมการกูหนี้ยืมสินจะทำนาเก็บเงินและทำสวนผักเล็กๆน้อยๆหาเงินเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ แต่เมื่อตัดสินใจผิดพลาดกู้เงินมาซื้อวัวเลี้ยงปรากฏว่าวัวราคาตกทำให้ประสบปัญหาขาดทุนอีกทั้งปีนี้ผลผลิตข้าวเจอกับภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง ทำให้ข้าวเก็บเกี่ยวได้เพียง 5 ไรเท่านั้น จึงมีความกังวลเกี่ยวกับการชำระหนี้ที่กู้มาจาก ธกส. เมื่อทราบข่าวว่าจะมีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนเข้ามาช่วยเหลือในการเจรจาไกล่เกลี่ยการชำระหนี้ จึงเข้ามาพูดคุยเพราะปัญหาต่างๆที่กล่าวมาทำให้ตนไม่สามารถชำระหนี้ได้ ส่วนนี้เป็นช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่มีความรู้น้อยได้เจรจากับทางธนาคารเพื่อหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งในอดีตไม่เคยมีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือ" นายวีระศักดิ์ กล่าว


 


ด้านนางสมหมาย ลาวรรณา เกษตรกรทำนา เลี้ยงวัวและค้าขาย อายุ 46ปี กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่มีหน่วยงานด้งกล่าวเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เพราะขณะนี้ตนต้องประสบกับปัญหาหนี้นอกระบบที่กู้มาเพื่อใช้หนี้ของธนาคารให้ตรงเวลา เมื่อปีไหนไม่สามารถหาเงินจากการทำเกษตรได้ จึงต้องไปหยิบยืมเงินกู้นอกระบบมาเพื่อใช้หนี้ จนขณะนี้มีหนี้นอกระบบอยู่ 160,000บาทและผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยเดือนละ6,000บาท


 


"ปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนเป็นหนี้กันมาก เท่าที่รู้จากคนในหมู่บ้านเกือบครึ่งล้วนเป็นหนี้กันทั้งนั้น ส่วนตัวแล้วมีหนี้กับทาง ธกส.อยู่ 100,000 บาท ที่กู้มาซื้อที่นาเพื่อทำมาหากิน จนมาถึงช่วงหนึ่งทำนาไม่ค่อยได้ผลผลิต จึงนำที่นาที่ตนเองซื้อไว้ไปกู้เงินนอกระบบมาเพื่อใช้หนี้ส่วนหนึ่งกับธนาคารและอีกส่วนหนึ่งนำมาลงทุนต่อ แต่รายได้ที่นำมาลงทุนก็ไม่ดีขึ้น ทำให้ต้อนนี้ไม่สามารถชำระหนี้ของทั้ง ธกส. และหนี้นอกระบบได้ วันนี้ที่ตนมาร่วมงาน อยากเจรจากับทางธนาคารให้นำหนี้นอกระบบมาสู่ในระบบเพื่อลดปัญหาเรื่องดอกเบี้ย ถ้าหน่วยงานสามารถช่วยแก้ปัญหาได้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต นางสมหมายกล่าว


 


นายพงษ์เทพ ถิฐาพันธ์ เลขารนุการศูนย์อำนวยการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน กล่าวว่าสำหรับประชาชนที่มีปัญหาเรื่องหนี้สินสามารถเข้าร้องเรียนเพื่อขอรับคำปรึกษาและช่วยเหลือได้ที่ ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอหรือคลังจังหวัด เรามีหน่วยงานที่คอยประสานงานเรื่องแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชนเพื่อเป้าหมายในการแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชนได้อย่างยั่งยืนพร้อมกับการพัฒนาและฟื้นฟูลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือ เสริมสร้างวินัยในการใช้จ่ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่นขึ้น บนพื้นฐานของความสมดุล และความพอประมาณอย่างมีเหตุผลภายใต้ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง" เลขานุการ ศอก.นส.กล่าวทิ้งท้าย


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 - 26 ต.ค. 2551


 


ถึงคิว "ก๊าซแอลพีจี" ขึ้นตามกลไก


นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคนและครม.ยังเห็นชอบจะเดินหน้ามาตรการขนสิ้นสุดระยะเวลา 6 เดือน หรือสิ้นสุดในวันที่ 31 ม.ค. 52 อีกทั้งยังได้มอบให้กระทรวงพลังงานไปพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าการปรับลดภาษีสรรพสามิตจากมาตรการดังกล่าวเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน สำหรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มเติมนั้นได้ให้กระทรวงพลังงานไปพิจารณา รวมถึงไปพิจารณาปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ให้สอดคล้องกับกลไกตลาด เนื่องจากขณะนี้ราคาก๊าซแอลพีจีในประเทศยังไม่สอดคล้องกับราคาตลาดโลก เพราะรัฐบาลยังคงอุดหนุนอยู่ เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วให้เสนอในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะมีการประชุมบอร์ด กพช.ในเร็วๆ นี้


 


ทั้งนี้ ประเมินว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันใจตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างมาก จากในช่วงที่ออกมาตรการ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคนนั้น ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 170 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 60-70 เหรียญฯต่อบาร์เรลเมื่อรวมกับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตส่งผลให้มีการปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 95 ลงถึง 13.70 บาทต่อลิตรดีเซลลง 20.20 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาก๊าซแอลพีจีในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงจาก 923 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ 798 เหรียญฯต่อตัน ส่วนราคาขายปลีกในประเทศ คงราคาอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัมมาตั้งแต่เดือน มี.ค. 51


 


นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติตามข้อเสนอของ สศช.ที่ให้กระทรวงพลังงานปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้องเพลิงให้เหมาระสมกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงเพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดมาตรการของรัฐบาลจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ม.ค. 52 และรัฐบาบจะกลับมาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันในอัตราปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยลิตรละ 2-3 บาท


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


 


จับมือแพทย์ทั่วโลก  ดันไทยสู่ฮับสุขภาพ


ดร.ราจีฟ มารวาฮา (Dr.Rajeev Marwah) ประธานคณะกรรมการจัดงาน WHHS กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจสุขภาพและแพทย์ทางเลือกว่า มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมาตลาดในประเทศอเมริกาเพียงประเทศเดียว จากสถิติพบว่ามีอัตราการเติบโตประมาณ 36% ในกลุ่มผู้ใหญ่และเยาวชนอายุ 18 ปีขึ้นไป มีการใช้ธรรมชาติบำบัดสูงมาก และถ้ารวมถึงกลุ่มที่มีการสวดมนต์ อธิษฐาน หรือใช้การวิธีการบริหารจิต อัตราการโตจะสูงถึง 62% แนวโน้มของประเทศไทยก็มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจภายในประเทศและเม็ดเงินที่หลั่งไหลมาจากต่างประเทศ จึงได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวสู่ Hub of Health and Holistic Healing จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการจัดงาน Worldwide Holistic Healing Seminar หรืองานสัมมนาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมนานาชาติ ในระหว่างวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2552 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติเอ็มเพรส (ECC) จังหวัดเชียงใหม่


 


ทั้งนี้งานสัมมนาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมนานาชาติ ถูกจัดขึ้นโดย International Research Center of Natural Science (IRCNS) หรือศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพนานาชาติ โดยการจัดงานดังกล่าวนับเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับเหล่าพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรระดับนานาชาติ อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงสาธารณสุข บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB) และ International Parliament for Safety and Peace (IPSP) ซึ่งเป็นองค์กรในระดับสากล


 


ที่มา: บ้านเมือง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net