"ความจริงวันนี้" ครั้ง2 คนเสื้อแดงแห่ร่วมแน่นสนามกีฬา (update)


เมื่อวันที่ 1 พ.ย.51  กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระดมพลใหญ่จัดงาน "ความจริงวันนี้สัญจร ครั้งที่ 2" ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยผู้จัดต้องเปิดประตูให้ประชาชนเข้าไปภายในตั้งแต่เวลาประมาณ 12.00 น. และมีประชาชนเข้าร่วมจนเต็มสนามแน่นขนัด รวมถึงบริเวณข้างเคียงนับแสนคน ทั้งนี้ ประชาชนจากหลายจังหวัดเดินทางมาร่วมตั้งแต่เมื่อคืนตลอดจนเช้าวันนี้  อาทิ จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำพู เชียงใหม่ เพชรบุรี ฯลฯ

 

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะผู้จัดรายการ "ความจริงวันนี้" กล่าวเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะปราศรัยสดเข้ามาในรายการ "ความจริงวันนี้" เวลา 20.00 น.อย่างแน่นอน โดยจะเน้นพูดเรื่องการต่อต้านการรัฐประหารการรักษาประชาธิปไตย และการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจที่จะลุกลามเป็นปัญหาของประเทศ ซึ่งจะไม่มีการจำกัดเวลาการโฟนอิน ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพ.ต.ท. ทักษิณจะโฟนอินมาจากประเทศฮ่องกงนั้นไม่ทราบ เพราะมีหน้าที่รับสาย

 

เวลา 13.45 น. นายจตุพร พรหมพันธ์ นายวีระ มุสิกพงษ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง พิธีกรรายการ "ความจริงวันนี้" และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัญมนตรี ได้ออกมาโชว์ตัวที่หน้าเวทีประมาณ 10 นาที เพื่อรับดอกไม้ให้กำลังใจ จากประชาชนที่มาร่วม นอกจากนี้นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเดินออกมาทักทาย ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงโห่รับเช่นเดียวกัน

 

ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จะต่อสายเข้ามาในรายการหรือไม่นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ยังไม่ได้รับคำยืนยัน ขึ้นอยู่กับตัวนายสมัครเองและหลังจากเสร็จการจัดงานในเวลา 22.00 น. ก็จะกลับบ้านทันที ไม่มีการเคลื่อนกำลังไปที่ใด

 

ส่วนในช่วงปราศรัย นายจตุพร ได้นัดกับบรรดาผู้มาร่วมชุมนุมเรือนแสนว่าหากมีประกาศคณะรัฐประหารฉบับแรกออกมาเมื่อไหร่สัญญากันว่าให้ไปรวมกันที่สนามหลวงทันที และให้คนเสื้อแดงไปล้อมรถถังไว้เพื่อป้องกันพันธมิตรฯเอาดอกไม้ไปมอบให้ และระบุว่าต่อไปรายการความจริงวันนี้จะมีการสัญจรไปตามจังหวัดต่างๆแน่นอนโดยไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ภาคใต้

 

เขายังระบุอีกว่า ต่อไปนี้คนส่วนใหญ่จะขอออกเสียงบ้างและเสียงส่วนใหญ่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังยืนยันจะใช้ตีนตบเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้กับมือตบ แต่จะเหลือทางออกให้กับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งหากวางมือตบก็จะวางตีนตบ แต่หากไม่วางมือก็จะไม่วางตีน

 

ต่อมา นายจาตุรนต์ ฉายแสงได้ขึ้นมาปราศรัยต่อพร้อมกับร้องเพลง "เดือนเพ็ญ" จากนั้นจึงกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีมีข่าวลือต่างๆว่าจัดการชุมนุมนี้เพราะต้องการเผชิญหน้ากับพันธมิตรฯ ต้องการให้เกิดความรุนแรงและการรัฐประหาร แต่ตั้งแต่เริ่มรายการเมื่อตอนสายจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรรุนแรงเลย มีแต่เรื่องสนุกบันเทิง และให้ความรู้ และอยากย้ำหัวข้อของการจัดการวันนี้ว่าคือการค้านรัฐประหาร ปกป้องประชาธิปไตย

 

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า ต้องพูดเรื่องพันธมิตรฯให้สื่อมวลชนฟัง การชุมนุมนี้บอกว่าไม่เผชิญหน้า หมายถึงไม่ยกขบวนเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ พอเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้าน แต่ในส่วนเนื้อหานั้นไม่อาจประนีประนอมได้ เพราะเป็นเรื่องขาวกับดำเป็นความสันติปราศจากอาวุธ แต่พันธมิตรฯกลับจะขออนุญาตพกอาวุธแล้วจะสันติได้อย่างไร พันธมิตรฯต้องการเผด็จการและการเมืองใหม่จึงไม่มีอะไรต้องประนีประนอมในทางเนื้อหาสาระ

 

นายจาตุรนต์กล่าวว่าทำไมต้องพูดเรื่องการรัฐประหาร หลายคนบอกว่าคงไม่มีอีกแล้ว การรัฐประหารคือความเลวร้ายที่สุดต่อระบอบประชาธิปไตย ทำลายนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศ ทำให้ประเทศถอยหลังจากประเทศอารยะกลายเป็นประเทศไร้อารยะป่าเถื่อน

 

ทั้งนี้ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ภาพพจน์ประเทศเสียหายย่อยยับ ถูกจัดอันดับให้เท่าประเทศพม่าและประเทศเล็กๆในอาฟริกา การลงทุนลดลงอย่างชัดเจน การรัฐประหารยังได้ทำลายหลักนิติรัฐ หลักนิติรัฐคือการปกครองด้วยกฎหมายและปฏิบัติตามอย่างเท่าเทียมกัน แต่คณะรัฐประหารทำตัวเหนือกฎหมาย ความเท่าเทียมถูกทำลาย การรัฐประหารยังบอกว่าความถูกต้องชอบธรรมอยู่ที่ใครมีกำลังอาวุธมากกว่าซึ่งประเทศป่าเถื่อนเท่านั้นที่ทำ

 

นอกจากนี้ ยังตั้งตุลาการมาลงโทษคนผ่านศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งคตส.มาตรวจสอบคน แต่ในส่วนตนเองที่ทำผิดกลับออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองมาจนถึงวันนี้ อีกทั้งยังใช้กฎหมาย คมช. ย้อนหลังได้ในคดี 111 นี่คือการทำลายหลักนิติธรรม

 

เขากล่าวอีกว่า การรัฐประหารยังให้ความชอบธรรมกับ ASTV ซึ่งจะขอชำแหล่ะให้ฟังว่า ไม่มีประเทศประชาธิปไตยใดในโลก ไม่มีประเทศที่ปกครองโดยสันติใดในโลก ที่ปล่อยให้มีโทรทัศน์ช่องหนึ่งรายงานความเท็จได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างประเทศไทย และไม่มีประเทศสงบสุขใดในโลกปล่อยให้มีการปลุกปั่นให้มีคนฆ่ากันอย่าง ASTV แต่การรัฐประหารมาวางระบบคุ้มครองไว้ทั้งที่เป็นสื่อที่อาจทำคนไทยฆ่ากันเองได้และยังออกอากาศ 24 ชั่วโมง นี่คือผลงานของการรัฐประหาร

 

ในส่วนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายจาตุรนต์กล่าวว่า จนถึงปัจจุบันไม่มีรัฐมนตรีคนใดในรัฐบาลทักษิณถูกตัดสินในคดีดังกล่าว ในขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อกำลังถูกอัยการเตรียมสั่งฟ้องในคดีหมิ่นฯแต่คณะ คมช. บอกว่าเพื่อความสมานฉันท์จึงสั่งให้อัยการถอนฟ้อง ที่พูดก็เพื่อเป็นการดักคอ เพราะทหารสั่งให้รัฐบาลดูแลเว็บไซต์ที่หมิ่นฯ ซึ่งรัฐดูแลเต็มที่แล้วในคดีหมิ่นฯจึงอย่านำไปอ้างในการรัฐประหารอีก

 

"ในชีวิต ผมเจอการยึดอำนาจ 3 ครั้ง คือ 6 ตุลา รสช. และ 19 กันยา อ้างคดีหมิ่นฯเหมือนกันหมด แต่เมื่อยึดอำนาจแล้วไม่เคยดำเนินการใดๆ ดังนั้นอย่าอ้างอีก เพราะรัฐดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วในคดีหมิ่นฯ" นายจาตุรนต์กล่าว และว่า เหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นโทษใครไม่ได้นอกจากพันธมิตรฯและการรัฐประหาร 19 ก.ย.

 

การเกิดรัฐประหาร 18 ครั้งในประเทศไทย เป็นการแสดงว่าประเทศนี้ไม่ยึดรัฐธรรมนูญไม่มีกฎหมายสูงสุด ไม่มีหลักนิติรัฐและนิติธรรม ถ้าต้องการให้มีจำเป็นต้องคัดค้านการรัฐประหารไม่ให้มีขึ้นอีกในประเทศไทย เพราะแม้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่าไม่มีการรัฐประหาร แต่หลังปี 2534 -2535 ก็ว่ากันว่าจะไม่มีการรัฐประหารอีก ผ่านไป 15 ปี ก็เกิดการรัฐประหาร ตอนนี้หลังจาก 19 ก.ย.เพิ่งผ่านไป 2 ปีเท่านั้นจึงไม่มีหลักประกันใดๆว่าการรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีก

 

การรัฐประหาร 19 ก.ย.เกิดจากพันธมิตรฯ มีนักวิชาการและพรรคการเมืองบางพรรคหนุนอยู่ ปัจจุบันยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองและมีบทบาทเรียกร้องทุกวันให้ทหารทำยึดอำนาจ จะบอกว่าไม่มีรัฐประหารได้อย่างไร การเมืองใหม่และนายกรัฐมนตรีคนนอกก็เป็นเรื่องขัดรัญธรรมนูญ ถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญก็ต้องยึดอำนาจ หรือการดาวกระจายก็ล้วนสร้างเงื่อนไขความรุนแรง คนพูดว่าถ้านองเลือดต้องรัฐประหาร ผบ.ทบ.ว่าถ้านองเลือดต้องหยุดการใช้อำนาจ คนในสถาบันพระปกเกล้าบอกว่าถ้านองเลือดรัฐบาลต้องรับผิดชอบ ซึ่งพันธมิตรฯเดินไปที่นั่นที่นี่เป็นเงื่อนไขทุกวันที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจ

 

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นายจาตุรนต์กล่าวว่า ขอกล่าวหาตามตรง การดำเนินการทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ 2-3 ปีทีผ่านมาส่งเสริมและสนับสนุนการรัฐประหารมาตลอด เมื่อยึดอำนาจแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า "การรัฐประหารมีรูปแบบเป็นเผด็จการ แต่มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตย" ซึ่งอย่าบอกว่าไม่ได้พูดเพราะวันนั้นนั่งข้างกัน ออกทีวีพร้อมกัน

 

ในช่วงท้ายการปราศรัย นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ถ้าค้านรัฐประหารได้จะแก้วิกฤติได้ หากไม่ยอมให้สำเร็จ คนรัฐประหารเป็นกบฎต้องติดคุกติดตะราง ทำให้กลายเป็นความพยายามครั้งสุดท้าย เพราะถ้าไม่มีการรัฐประหารพันธมิตรฯก็ไปไหนไม่ได้เพราะการรัฐประหารเป็นทางเดียว ถ้าไม่มีรัฐประหารเท่ากับปิดทางชนะของพันธมิตรฯไปแล้ว และต้องใช้เหตุผล ช่วงแรกๆคนเสื้อแดงไม่มีใครกล้าโต้ เพราะพันธมิตรฯจะนำไปถลกหนังหัวบนเวที แต่ตอนนี้คนเสื้อสีแดงไม่มีใครกลัว ต้องส่งเสียงไปทั่วประเทศว่าไม่เอาพันธมิตรฯ พันธมิตรฯจะแพ้เพราะโดดเดี่ยวขึ้นทุกวัน แต่คนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นทุกวัน และพันธมิตรฯจะแพ้เพราะตอนนี้ผู้นำที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้เสียสติไปเรียบร้อยแล้ว

 

"ทันที่ที่รัฐประหาร ไปพร้อมกันที่สนามหลวง และแม้จะมีรัฐประหาร ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต้องยึดมั่นในสันติวิธี สร้างประเทศอารยะ ใช้วิธีผิดกฎหมายและใช้ความรุนแรงอย่างพันธมิตรฯไม่ได้เป็นอันขาด " นายจาตุรนต์ ขอสัญญาใจจากผู้ชุมนุม และว่า เราต้องยืนยันหลักการประชาธิปไตยสากล รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งต้องมีอำนาจบัคับบัญชาอยู่เหนือกองทัพไม่ว่ากรณีใดๆ ยืนหลักการทำตามเสียงข้างมาก เคารพเสียงข้างน้อย เคารพกฎหมย อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการต้องถ่วงดุลย์กัน พรรคการเมืองและรัฐบาลต้องเข้มแข็งแต่ตรวจสอบได้โดยประชาชน

 

"ความหมายทางประวัติศาสตร์ในวันนี้ลึกซึ้งและยาวไกล หมายความว่าประชาชนไทยจะไม่ยอมให้มีการยึดอำนจและรัฐประหารอีกต่อไป" นายจาตุรนต์กล่าวทิ้งท้าย     

 

กระทั่งเวลาประมาณ 20.25 น. นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและผู้ดำเนินรายการ "ความจริงวันนี้" ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ได้ขึ้นมาเกริ่นนำไปสู่การ "โฟนอิน" ตามด้วยการฉายวีทีอาร์เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื้อหาระบุว่ามีกลุ่มคนคอยกล่าวหาให้ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นนายกของประชาชนจนต้องตัดสินใจยุบสภา (เมื่อต้นปี 2549) เมื่อมีแนวโน้มว่าจะกลับมาเป็นนายกอีก ก็ถูกพยายามลอบสังหาร เมื่อสังหารไม่สำเร็จ ก็ทำการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งที่คนไทยและทั่วโลกไม่ยอมรับ ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย 2 ล้านล้านบาท อนาคตประเทศที่กำลังเดินหน้าก็หยุดชะงัก ตามด้วยการยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการยึดอำนาจ เพราะ คมช.กลัวว่า ถ้าปล่อยให้ลงสนามอีกก็จะยังชนะท่วมท้น จึงสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 111 คน

      

เสียงบรรยายในวีทีอาร์ดังกล่าว ระบุว่า เมื่อเจตนารมณ์ของ คมช.ทำได้สำเร็จจึงตามด้วยตุลาการภิวัฒน์ นำไปสู่การดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้ คตส.ดำเนินการเพื่อบรรลุตามธงที่ตั้งไว้ มีการตั้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่เป็นธรรมตามที่ คมช.และผู้สูญเสียประโยชน์ต้องการให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณให้ได้รับความมัวหมองจนถูกตัดสินจำคุกในที่สุด นอกจากนี้ ยังอายัดทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านบาทที่หามาอย่างสุจริต ทั้งที่ก่อนเข้าสู่การเมือง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอยู่แล้ว ส่วนฐานะที่ร่ำรวยขึ้นหลังจากเป็นนายกฯ ก็มาจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มตามสภาพเศรษฐกิจ

      

นอกจากนั้น การที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ต้องโทษหนักจากการที่ คตส.ส่งฟ้องศาลอาญา ในคดีที่นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ คุณหญิงพจมาน และเลขาณุการ จงใจเลี่ยงภาษี จนถูกตัดสินจำคุก 3 ปี สั่งจองจำ พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดาชี้ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณทักษิณตกเป็นเหยื่อทางการเมือง นับแต่นี้ เส้นทางชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณคงดำเนินไปตามที่ฝ่ายต่อต้านต้องการแล้ว แต่เส้นทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินมาและดำลังเดินไปได้สะสมชัยชนะไว้มากยิ่งกว่า คือความต้องการให้คนไทย เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน และจะรักษาประชาธิปไตยไว้ตลอดไป

      

เสียงบรรยายในวีทีอาร์ ยังบอกว่า เวลาได้พิสูจน์แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาสาเข้ามาทำงานการเมืองโดยยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทุ่มเท อาสาทำงานไม่รู้เหน็ดเหนื่อย สร้างประโยชน์ให้ชาติและประชาชนอย่างมากมาย สมควรแล้วหรือที่จะถูกเอาชีวิต ถูกดำเนินคดี จนต้องหนีภัยไปจากแผ่นดินเกิด ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ถึงเวลาแล้วที่คนไทยที่รักชาติ รักความเป็นธรรม ที่จะทวงถามความถูกต้อง เพื่อนำความสงบสุขกลับสู่คนในชาติ และไม่ให้ประชาธิปไตยสูญหายไปจากประเทศไทย พร้อมกับหยิบยื่นความยุติธรรมคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

      

วีทีอาร์ดังกล่าว จบเวลาในประมาณ 20.50 น. ด้วยเสียงเพลงของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และเมื่อเพลงจบ ก็มีเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังขึ้น โดยมีนายวีระ กล่าวทักทาย

อ่าน "ทักษิณ" โฟนอิน ตัดพ้อความอยุติธรรม ห่วงไทยรับมือเศรษฐกิจไม่ทัน ขออยู่ต่างแดนดูบทพิสูจน์ ปชต.ไทย

      

สำหรับบรรยากาศภายในบริเวณงานมีการตั้งเต้นท์จำหน่ายหนังสือและซีดี "พันธมิตรฯ ฆ่าประชาชน" "พันธมิตรฯ ฆ่าประชาชน" มีการจำหน่ายเสื้อแดงสกรีนข้อความว่า "รักประชาธิปไตย 100%" โดยมีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาร่วมออกบูธจำหน่ายและแจกลายเซ็นต์ด้วย ขณะที่นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำหนังสือ "ผมไม่ได้เป็นคนขายชาติ" พร้อมแจกลายเซ็นต์

 

ส่วนนายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้นำซีดีเพลงอัลบั้ม "ลูกทุ่งในหัวใจ" ที่ขับร้องด้วยตัวเอง มาจำหน่ายพร้อมแจกลายเซ็น โดยได้รับความสนใจจากประชาชนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้มีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อประชาชน เพื่อยื่นถวายฎีกาให้นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครด้วย นอกจากนี้ยังมีจุดลงชื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารโลกไซเบอร์ซึ่งมีผู้สนใจมาลงชื่อและอีเมลล์แอดเดรสจำนวนมาก อีกทั้งระหว่างรายการต่างๆมีการถ่ายทอดสดผ่าน www.newskythailand.com

 

ทั้งนี้ในช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโทรศัพท์เข้ามาร่วมในรายการ เว็บที่ไซต์ที่ถ่ายทอดสดหลายแห่งก็สัญญาณล่ม ขาดหายเป็นระยะ จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.40 น. เมื่อจบการโฟนอินของอดีตนายกฯ ประชาชนจำนวนมากได้เริ่มทยอยกลับทันที

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท