บันทึกนักข่าวภาคสนาม: ในมวลชนมีคนและความเห็น

เป็นเรื่องธรรมดาที่หนีไม่พ้นข้อกังขาว่าเป็น "ม็อบแดดเดียว" มีผู้ออกทุนขนคนมาจากต่างจังหวัดให้แสดงตัวตนเป็นพักๆ เราไปถามกันจะๆ เลยให้รู้ดำรู้ "แดง" ว่ามวลชนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 1 พ.ย. มาจากไหน มาทำไม ใครใช้ให้มา

ถ้าใช้ภาษาแบบคอบอลคำว่า "แดงเดือด" คงไม่เกินไปกับรายการ "ความจริงวันนี้" เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา วัดปรอทความอึดอัดต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่สะท้อนออกมาในรูปจำนวนคนมีแค่ไหน ตอบได้ว่าหากนำคนที่นั่งหน้าเวทีในสนามฟุตบอลราชมังคลากีฬาสถานไปวางบนที่นั่งอัฒจรรย์ พูดได้เต็มปากว่า "เสื้อแดง" นั่งเต็มอัตราแน่....ไม่ได้โม้...ไม่ได้โม้

 

หากครั้งนี้เป็นการเชียร์กีฬา มองดูเสื้อกันดีๆครั้งนี้อาจเป็นครั้งเดียวที่แฟนแมนยูกับลิเวอร์พูลจะไม่เห็นต่างพากันใส่เสื้อแดงไปเชียร์อดีตเจ้าของทีมเรือใบสีฟ้า "แมนเชสเตอร์ซิตี้" บรรยากาศชวนให้นึกถึงการรวมตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มที่แปรความอึดอัดเป็นการแสดงพลังอย่างสวยงาม ไม่มีรั้วลวดหนาม ยางรถยนต์ ปืน ไม้เบสบอล และนักรบ

 

แต่งานนี้ คนมากอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่หนีไม่พ้นข้อกังขาว่าเป็น "ม็อบแดดเดียว" มีผู้ออกทุนขนคนมาจากต่างจังหวัดให้แสดงตัวตนเป็นพักๆ เพื่อนจากเชียงรายเด้งเอ็มเอสเอ็นส่งข่าวตั้งแต่คืนวันที่ 31 ตุลาคม ร้องเรียนมาทำเศรษฐกิจท้องถิ่นแย่ คนหาย ตลาดแถวบ้านเงียบ มาสองวัน แหล่งข่าวระบุชัด "ตู้เย็น" ขาเก๋าขนคนไปเยอะ แต่ก็แอบบอกพันธมิตรฯก็ขนคนเหมือนกัน ข่าวรอบนี้ถือว่าน่ากังขาพอกันเลยให้คะแนนเจ๊ากันไป

 

คราวนี้เลยลองสังเกตเองจากรอบตัว บนรถเมลล์ที่ผ่านบริเวณงาน "คนเสื้อแดง" ที่ "มาเอง" ในรถเมล์คันเดียวกันนับได้แล้วก็สิบคน ไปถึงงานเอากันให้ชัด เดินไปถามตรงๆกันในงาน มากันทำไม ส่งข่าวสื่อสารกันอย่างไร

 

น้าศรีรัตน์ วัย 50 ปีนิดๆสวมฮิญาบสีแดงมาร่วมงาน ตอนแรกคิดว่ามาจากปักษ์ใต้ ถามไปถามมาจึงรู้ว่าทำอพาร์ตเม้นท์ให้เช่าอยู่แถวๆ ลาดพร้าวนี่เอง บอกเราชัดเจนว่ามาเพราะทนไม่ไหวกับเรื่องปากท้องความเป็นอยู่ที่แย่ลงๆ ยืนยันคนกรุงเทพฯที่เห็นด้วยกลับกลุ่มเสื้อแดงมีเยอะแต่ไม่แสดงตัวเพราะกลัวเดือดร้อน

 

"แต่เราไม่สน คิดอย่างไรก็มาแสดงออก ฝากไปถึงสื่อมวลชนด้วย ส่วนใหญ่ไม่ได้ถามคนที่เดือดร้อนจริงๆ ถามแต่พันธมิตรฯ ช่วยเป็นกลางหน่อย " เธอแถม

 

เมื่อถามว่าเคยไปชุมนุมกับคนเสื้อแดงมาก่อนหรือไม่ เธอบอกว่า ไปครั้งแรกตอนจัดงานใหญ่ครั้งแรกที่เมืองทองธานี ไปเพราะรู้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ส่วนการจัดตั้งขอบอกว่าไม่มีผล เพราะ ASTV ก็เปิดดู แต่รับไม่ได้ หากไปถามคนทำมาหากินจะรู้ปัญหา มีเพื่อนรอบๆขายก๋วยเตี๋ยวบ้าง ส้มตำบ้างก็บอกการทำมาหากินแย่ ส่วนอพาร์ตเมนท์ มี 66 ห้อง เมื่อก่อนเต็มตลอดแต่ตอนนี้ว่างกว่า 20 ห้อง คนเช่าบอกอยู่ก็ไม่มีรายได้

 

"เราดูจากการทำงานแล้วเลือก เรื่องโกงมันมีทุกยุค แต่ต้องทำให้ประชาชนมีกิน นักศึกษามีทุนเรียน ตอนนั้นยิ้มออกกันทั้งนั้น" เธอกล่าวถึงทักษิณ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับคนที่เป็นพันธมิตรฯ เธอบอกว่าไม่มีปัญหา ต่างคนต่างคิดเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้กัน แต่ที่บ้านเห็นเหมือนกันเป็นสิบครอบครัว เป็นห่วงก็ที่ความขัดแย้งได้ลงไปสู่นักเรียนแล้วจนเด็กต้องทำสัญญากันว่าจะไม่คุยเรื่องการเมือง

 

เราถอยจากน้าศรีรัตน์ ออกมาเดินวนดูรอบๆงานบ้าง มองเห็นจุดเตะตาเมื่อทีมผู้จัดงานค่อนข้างทันสมัยและรู้จักใช้การสื่อสารในยุคเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ จึงตั้งซุ้ม "แลกเปลี่ยนข่าวสารโลกไซเบอร์" ให้มาลงชื่อและอีเมลล์แอดเดรส มองปึกรายชื่อที่เขียนกันไปแล้วน่าจะถึงหลักพัน ส่วนเรื่องพลังและความเร็วของการสื่อสารผ่านอีเมลล์นั้นคงไม่ต้องบอก

 

อีกกลุ่มหนึ่งบอกว่ารู้ข่าวสารจากการฟังวิทยุ เราไปคุยกับ ไพศาล ซ่อนกลิ่น คนขับแท็กซี่ เขาบอกว่า ปกติรับฟังคลื่น 96.5 98.00 และ 105 รวมไปถึงวิทยุชุมชนรถแท็กซี่ แต่ที่ไม่ฟังเลยคือ 92.25 เพราะดึงใจไม่ขึ้น ส่วนเวลามีลูกค้าเป็นพันธมิตรฯมาพูดให้ฟังบนรถก็ใช้วิธีนั่งฟังเฉยๆไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบและอยากให้ออกมาจากทำเนียบรัฐบาล

 

"เห็นบ้านเมืองไม่มีจุดจบ แล้วเราชอบเราเลื่อมใสทักษิณอยู่ เมื่อเห็นความไม่เป็นกลางก็ออกมาแสดงพลัง เพราะถ้าจุดจบไม่มีคนทำมาหากินก็เดือดร้อน มาครั้งนี้เป็นครั้งแรก เนื่องจากไม่มีเวลาไปชุมนุมครั้งอื่นๆ แต่เห็นว่าครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่เลยอยากมา เราเชื่อตามประสบการณ์ของเรา ตั้งแต่มีนายกฯมาชอบยุคนี้ (หมายถึงทักษิณ) "

 

ทีนี้ไปดูกันที่กลุ่มคนต่างจังหวัดบ้าง เพราะเป็นที่จับตากันมาก เราเดินไปถึงจุดที่จอดรถทัวร์ มองเห็นคนขับรถกำลังนั่งทานข้าวจึงปรี่เข้าไปยืนข้างๆ ขัดคอเพื่อถามข้อสงสัยมาได้อย่างไร ได้คำตอบว่ามาจากพิษณุโลกแต่คนจ้างให้ไปรับคนที่พิจิตร ส่วนเรื่องอื่นๆไม่ทราบ คนที่มาด้วยเข้าไปข้างในหมดแล้ว

 

เราเลยถอยและส่ายตามองไปที่รถอีกคันหนึ่ง มีกลุ่มคนนั่งกันอยู่ข้างๆรถ คุณน้าเสื้อแดงคนหนึ่งให้ความกระจ่างกับเราว่ามาจากอุดรธานี มากัน 20- 30 คัน และยอมรับว่ามีแกนนำเป็นคนรู้จักกันในหมู่บ้านประสานผู้คนให้มา ที่บ้านมากับลูกสาว 2 คน ส่วนสามีทำงานอยู่ที่บ้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าเดินทางนั้นใช้วิธีลงขัน ใครมีมากก็ออกมาก ใครมีน้อยก็ออกน้อย แชร์เงินกันมา

 

คุณน้าบอกว่าสิ่งที่ไม่พอใจพันธมิตรฯมากที่สุดคือเรื่องยึดทำเนียบรัฐบาล ทำไมต้องแข่งกันและมีอะไรทำไมไม่คุยกัน แต่แถวบ้านไม่มีพันธมิตรฯถ้ามีมาคุยด้วยก็จะคุย

 

ส่วนคนนี้ไม่ได้แดงเฉพาะเสื้อ เพราะเธอมาปรากฏตัวในชุดแซ็กสีแดง "เราอยากใช้พลังของเราที่เก็บไว้ข้างในให้ระบายออกมาบ้าง ก่อนหน้านี้พี่ก็เฉยๆ เพราะการเมืองก็เป็นเรื่องมีแพ้มีชนะ มันเหมือนมีคนมาเล่นเกมสนุกๆ แต่ถึงตอนนี้มันมากเกินไปแล้ว และมันทำให้ประเทศเสียหาย"

แนน เป็นอีกเสียงหนึ่งบอกกับทีมข่าวประชาไทถึงเหตุผลที่เธอเดินทางมายังสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานในค่ำวันที่ 1 พ.ย. เธอกล่าวว่าเคยเข้าไปดูการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเช่นกัน แต่ขอไม่ออกความเห็นเพราะไม่ต้องการทำให้เกิดการแบ่งฝักฝ่าย เพียงแต่มีข้อสงสัยว่า เหตุใดพันธมิตรฯ จึงอยู่ในทำเนียบได้นานขนาดนั้นโดยไม่ต้องไปประกอบอาชีพอื่นๆ  

 

สำหรับข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า กลุ่มมวลชนของฝ่าย นปก.เป็นคนต่างจังหวัด เป็นรากหญ้าที่ถูกจัดตั้งมานั้น เธอแย้งว่า ตัวเธอเองก็มีพื้นเพเป็นคนต่างจังหวัด แต่ปัจจุบันทำงานและพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และเธอเดินทางมาชุมนุมครั้งนี้ด้วยตัวคนเดียว ไม่มีใครจัดตั้งแน่นอน

 

"คนส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องการเมือง คนต่างจังหวัดก็มีศักดิ์ศรี เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วนะที่จะเอาเงินฟาดหัวได้คนละร้อยละพันแล้วก็เอาเขามาได้ ถ้าใจไม่อยากมาเขาก็ไม่มาหรอก"

 

อนุชิต เผ่าพงษ์ทองจากกรุงเทพฯ ตอบว่า อยากให้บ้านเมืองกลับมาดีเหมือนเม ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ก่อนหน้านี้ก้เคยไปที่สนามหลวงมาบ้าง และว่า "ผมเชียร์ฝ่ายนี้"

 

กลุ่มคนที่ประชาไทเดินเข้าไปไต่ถามนั้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ และประกอบอาชีพส่วนตัว ข้อสันนิษฐานคือ กลุ่มที่มาจากต่างจังหวัดนั้นเข้าไปจับจองที่นั่งซึ่งแน่นขนัดไปตั้งแต่ช่วงเช้า ที่เราพบเจอจึงมักเป็นคนมาจาก กทม. ที่เดินเดี่ยวบ้าง มาเป็นครอบคร้วบ้าง และมาเป็นคู่ก็มาก เช่นกรณีของคู่นี้

 

 

"พี่เป็นเภสัชกร ส่วนแฟนพี่เป็นวิศวกร พี่อยู่กรุงเทพฯ แต่แฟนพี่ทำงานที่ชลบุรี" อุมาพร วงษ์หรรษา อธิบาย โดยชายหนุ่มข้างๆ นาม วิวัฒน์ เหลืองกมลพันธุ์ อธิบายสาเหตุที่เข้ามาร่วมกิจกรรมทางการเมืองครั้งนี้ว่า "วันนี้ประเทศไม่มีความจริง จึงต้องมา"

 

กลุ่มสามสาว (วัยเกือบเกษียณ) อีกกลุ่มหนึ่งกำลังกุลีกุจอจะเข้าไปในสนามกีฬา หันมาตอบคำถามของพวกเรา 2 คำถามสั้นๆ ว่ามาจากไหน ทำไมถึงมา พวกเธอตอบว่า "มาจากกรุงเทพฯ พวกเรารักประชาธิปไตย ไม่อยากให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ไม่อยากให้พันธมิตรฯ ป่วนเมือง เพราะตอนนี้บ้านเมืองเดือดร้อนมากๆ"

 

 

"ผมอยากให้กำลังใจฝ่ายประชาธิปไตย" เป็นคำตอบสั้นๆ จากไมตรี นุตบุญเลิศ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวจากกรุงเทพฯ

 

ด้านสุริยา แก้ววันทา ผู้ประกอบธุรกิจจากอยุธยา เดินทางมาพร้อมภรรยาและลูกสาวด้วยรถยนต์ส่วนตัว กล่าวว่าเคยเข้ามาร่วมกิจกรรมกับทาง นปช. เมื่อครั้งที่ยังชุมนุมกันที่สนามหลวงบ้าง สิ่งที่ต้องการจากผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยตอนนี้ขอเพียงทุกฝ่ายคุยกันให้รู้เรื่อง ส่วนเหตุผลที่ตัวเขามาชุมนุมก็เพราะ "อยากรักษาประชาธิปไตย"

 

 

อีกคู่หนึ่งจากกรุงเทพฯ เช่นกัน กล่าวว่านี่เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับฝ่ายเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่า "ถ้าเป็นประชาธิปไตย ทุกคนต่างก็มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น" โดยกล่าวถึงกรณีการตั้งข้อสังเกตว่าฝ่าย นปช. มักเป็นชนชั้นล่างและคนต่างจังหวัดที่รับจ้างมาว่า "ผมไม่คิดอย่างนั้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนจำนวนมากจะมารวมกันได้มากขนาดนี้ ถ้าใช้วิธีจ้างมา"

 

ส่วนน้องคนนี้ มาทั้งชุดนอน เพราะเดินทางมาใกล้จากซอยรามคำแหง 71 พร้อมกับคุณแม่และคุณพ่อ เดินเข้ามาหาช่างภาพของประชาไทเองเลยทีเดียว พร้อมแนะนำตัวว่า "หนูชื่อบัว หนูมากับปาป๊า" เมื่อเราถามว่ามาทำไม เธอว่า

 

"ก็มาที่นี่แหละ"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท