ปัญหาที่ต้องตีความ
องค์การอนามัยโลกชี้ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องตีความขอบเขตของโรคที่ส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาและคนจนในประเทศพัฒนาแล้วอย่างผิดปกติไม่ได้สัดส่วน จากรายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจมหภาคและสุขภาพ ( Commission on Macroeconomics & Health : CMH ) องค์การอนามัยโลก ได้จำแนกกลุ่มโรคออกเป็น 3 ประเภท :
ประเภทที่ 1 โรคที่เกิดทั้งในประเทศยากจนและในประเทศร่ำรวย มีประชากรกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากในทั้งสองกลุ่มประเทศ ตัวอย่างที่เป็นโรคติดต่อได้แก่ หัด, ไวรัสลงตับชนิดบี, และ Haemophilus influenzae type b (Hib) , และตัวอย่างของโรคไม่ติดต่ออีกมากมาย (เช่น เบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด, และความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากยาสูบ) วัคซีนมากมายสำหรับโรคประเภทที่ ๑ ได้รับการพัฒนาขึ้นใน 20 ปีที่ผ่านมาแต่ไม่สามารถแพร่หลายในประเทศยากจนเป็นเพราะราคาแพงเกินสำหรับคนจน
ประเภทที่ 2 โรคที่เกิดทั้งในประเทศยากจนและในประเทศร่ำรวย แต่มีสัดส่วนสูงในประเทศยากจน โดยมากกว่าร้อยละ 90 อยู่ในประเทศยากจนตัวอย่างเช่น เอชไอวี/เอดส์ และวัณโรค
ประเภทที่ 3 โรคที่ผูกขาดเฉพาะในประเทศยากจน เช่น โรคเหงาหลับ( African sleeping sickness / trypanosomiasis) และ African river blindness / onchocerciasis โรคเหล่านี้มีงานวิจัยน้อยมาก เพราะไม่มีแรงจูงใจในเชิงพาณิชย์ เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้น มันมักจะเป็นโชคช่วย หรือโดยบังเอิญ เช่น วงการสัตวแพทย์ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทเมอร์ค( Merck ) พบว่า ivermectin มีประสิทธิผลในการควบคุม onchocerciasis ในมนุษย์ได้ด้วย
ถ้าเราเรียกโรคประเภทที่ 2 ว่า โรคที่ถูกทอดทิ้ง (Neglected Disease) ก็ต้องเรียกโรคในประเภทที่ 3 นี้ว่า โรคที่ถูกทอดทิ้งมากๆ (Very Neglected Disease).
องค์การอนามัยโลกชี้ทิศทางว่า มีโรคในประเภทที่ 1 หลายโรคกำลังเปลี่ยนมาอยู่ประเภทที่ 2 คือเดิมเคยแพร่หลายในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่กำลังเริ่มส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรในประเทศกำลังพัฒนา และเนื่องมาจาก วิธีการแก้ไขปัญหาตามแบบอย่างของประเทศที่พัฒนาแล้ว ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ในประเทศกำลังพัฒนา ตัวอย่างเช่น ความตายอันเนื่องมาจากโรคหัวใจลดลงอย่างมากในประเทศที่พัฒนาแล้ว ยกเว้นยุโรปตะวันออกซึ่งยังยากจนโดยเปรียบเทียบ
องค์การอนามัยโลกเชื่อว่า โรคส่วนใหญ่ใน 3 ประเภทข้างต้นส่งผลกระทบรุนแรงต่อประเทศกำลังพัฒนามากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว เว้นเสียแต่ว่า จะมีมาตรการป้องกัน วินิจฉัยและรักษาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ ช่องว่างต่างๆที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสุขภาพของแม่และเด็ก และสุขภาพของวัยเจริญพันธุ์ ที่จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เพราะ เป็นสาเหตุหลักของอัตราป่วยและอัตราตายสำหรับผู้หญิงและเด็ก
องค์การอนามัยโลก ระบุว่า การจะแก้ปัญหาข้างต้น ต้องให้ความสำคัญกับโรคและเงื่อนไขทั้งหมดที่ส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาในปัจจุบัน ตั้งแต่ประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 3 และติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด
เกณฑ์ที่ควรใช้พิจารณาก็คือ โรคหรือเงื่อนไข ที่มีความสำคัญสูงต่อสาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญในประเทศกำลังพัฒนาที่ การรักษาที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ หรือไม่มีวิธีรักษา หรือการรักษาที่มีอยู่นั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้ในประเทศที่ระบบส่งต่อไม่ดี หรือไม่มีเงินมากพอ นอกจากนี้ การคิดค้นนวัตกรรม ไม่ควรมุ่งเฉพาะเพียงโรคที่เกิดในประเทศพัฒนาแล้วเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น แต่ควรมุ่งแก้ปัญหาสุขภาพของประเทศกำลังพัฒนาอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศเหล่านั้นด้วย
ตาราง 1 ตัวอย่างของสถานการณ์การแก้ปัญหาโรคในกลุ่มโรคประเภทที่ 1, 2 และ 3
|
การเข้าถึงได้ |
การยอมรับได้ |
ความแพร่หลาย |
คุณภาพ |
แพงเกินหรือไม่ |
ปรับให้เข้ากันได้หรือไม่ |
มีหรือไม่
ถ้ามี คนจนเข้าถึงหรือไม่ |
ปลอดภัยและมีประสิทธิผลหรือไม่ |
|
ประเภทที่ ๑
(มะเร็งปากมดลูก) |
ในระยะแรกเริ่มของมะเร็งปากมดลูกที่รักษาได้,แต่ ณ ที่นั้น ไม่มีการผ่าตัดหรือการฉายแสง,คนไข้ก็อาจตายได้. อย่างไรก็ตาม,ค่าใช้จ่ายของ Pap screening และการรักษามะเร็งแรกเริ่มรวมทั้งมะเร็งลุกลาม (เช่น การผ่าตัดและการฉายแสง) ก็ยังมีแพงเกินไปในบางประเทศ |
รูปแบบของทางตะวันตกในการตรวจร่างกายและรักษาผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ แม้แต่การเจริญอย่างผิดปกติของเนื้อเยื่อเพียงเล็กน้อยนั้น ไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศกำลังพัฒนา. โครงการ pap smear มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง,และล้มเหลวในประเทศที่ระบบสาธารณสุขยังไม่ดี รวมถึงเหตุผลทางวัฒนธรรม เช่น เป็นมลทิน |
ร้อยละ80 ของมะเร็งปากมดลูกทั้งหมดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาเป็นสาเหตุการตายสูงสุดในบรรดามะเร็งในผู้หญิง. การตรวจpap smear การรักษาในภาวะแรกเริ่มของมะเร็ง,และการผ่าตัด/ฉายแสงในขั้นลุกลามก็มีอยู่แล้ว,รวมทั้งวัคซีนสำหรับมะเร็งปากมดลูก(Cervarix)ก็อยู่ในขั้นทดลองทางคลินิก แต่ประมาณได้ว่ามีผู้หญิงเพียงร้อยละ5 ในประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับการตรวจปากมดลูกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วได้รับการตรวจถึงร้อยละ 40-50แล้ว |
การตรวจpap smear,และการรักษา
ในภาวะแรกเริ่มของมะเร็งให้ผล
ถึงร้อยละ 90 ในการลดการเกิด
มะเร็งปากมดลูกและลดอัตราการตาย
ในประเทศพัฒนาแล้ว |
ประเภทที่ ๒
(เอชไอวี / เอดส์) |
ราคาของลามิวูดีน,สตาวูดีนและเนวิราพีนลดลงจากเดิมมากกว่าUS$ ๑๐,๐๐๐ / ปี เหลือประมาณ US$ ๑๘๒ / ปีทั้งยาต้นตำรับและยาชื่อสามัญ. ส่วนยาสำหรับเด็กและยาต้านสูตรสำรอง ยังคงมีราคาแพงมากเพราะส่วนใหญ่เป็นยาที่ติดสิทธิบัตร ไม่มียาชื่อสามัญ |
ยังมีความจำเป็นอย่างมากในการพัฒนาการรักษาด้วยยาสูตรผสม (เพราะใช้สะดวก กระจายง่าย และคนไข้ปฏิบัติตามได้ง่าย)และยาสำหรับเด็ก ชุดตรวจวินิจฉัยในปัจจุบัน เครื่องมือติดตามและวิธีตรวจหาเชื้อฉวยโอกาส ยังยากต่อการใช้ในประเทศยากจน |
การรักษาด้วยยาต้านไวรัสช่วยยืดอายุของผู้ติดเชื้อฯได้ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา แต่มีเพียงร้อยละ 15 (970,000 จาก 6.5 ล้าน) ของผู้ที่มีความจำเป็นต่อการรักษาด้วยยาต้านฯในประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับยานี้ |
ทุกวันนี้ มีการติดตามทางคลินิกอย่างพอเพียงเพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงและเชื้อฉวยโอกาส ความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษาด้วยยาสูตรผสม 3 ชนิดเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในหญิงที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาต้านฯสำหรับสุขภาพตนเองยังไม่ได้รับการประเมินเนื่องด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทำให้เป็นที่กังวลอย่างมากในเรื่องความเสี่ยงต่อผู้หญิง ถ้ายังไม่สามารถติดตามเรื่องนี้ได้ |
ประเภทที่ ๓
(Human African
Trypanosomiasis) |
หลายบริษัทประกาศตนว่าจะผลิตยาที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ใช้รักษา Human African
Trypanosomiasis (sleeping sickness)บริจาคให้ตั้งแต่ 2001-2006
Eflornithine เป็นยาตัวเดียวสำหรับโรคนี้ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา และปลอดภัยกว่าอนุพันธ์ของสารหนูที่ชื่อ Melarsoprol สำหรับการรักษา West African Trypanosomiasis.* |
การค้นหาโรคเป็นเรื่องยากต้องอาศัยทรัพยากรทั้งบุคลากร วิชาการและวัสดุ(ตัวอย่างเลือด,น้ำไขสันหลัง,ฯลฯ) ปัญหานี้ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดกับคนจน คนในชนบทที่เข้าถึงบริการสาธารณสุขยาก จำเป็นต้องค้นหาชุดวินิจฉัยใหม่ที่ใช้ง่ายและเที่ยงตรง(ที่สามารถตรวจหาระยะที่เป็นได้ด้วย)รวมถึงยาที่ใช้โดยวิธีรับประทานได้ |
ในปัจจุบันไม่มีวัคซีนหรือยาที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อ มียาที่ใช้รักษาโรคนี้แต่ก็เก่าแก่มาก ยากต่อคนจนที่จะใช้ และประสบความสำเร็จไม่เสมอไป โรคนี้กำลังคุกคามคนจำนวน 60 ล้านคน แต่มีการสำรวจเพียง 4 ล้านคนและมีเพียง 40,000 คนที่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษา. ประมาณว่าแต่ละปีมีโรคนี้เกิดขึ้นถึง 300,000 ราย |
ควรมีความใส่ใจอย่างจริงจังในเรื่องความปลอดภัยของยาที่ใช้รักษา แม้ Pentamidine/ Melarsoprol(ยาตัวเดียวที่มีสำหรับรักษา West African Trypanosomiasis ขั้นลุกลาม) ที่คนไข้ส่วนใหญ่ทนรับได้ ก็ยังทำให้คนไข้เสียชีวิตถึง 1 ต่อ 20 ที่ได้รับยานี้ และผลข้างเคียงทั่วไปคืออาการทางประสาทอย่างรุนแรง |
ความยากจน VS โรค, การตลาด VS โรค โลกใบนี้ไม่มีคำว่าคุณธรรม
ผลกระทบจากแนวโน้มทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อสุขภาพโลกเป็นเรื่องที่ซับซ้อน องค์การอนามัยโลกพยายามออกรายงานหลายฉบับที่แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกิดจากความเกี่ยวพันระหว่างความจนกับโรคที่สร้างภาระเป็นอย่างมาก และกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของประเด็นต่างๆทั้งมวลตามมา
ความจน ภาระโรค (สัดส่วนของค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ไปกับการรักษาโรค) และศักยภาพในงานวิจัย ต่างก็มีส่วนท้าทายและมีส่วนในการเปิดหรือปิดโอกาสสำหรับประเทศต่างๆ ความจนมีผลต่ออำนาจซื้อ และความสามารถในการจ่ายของคนจนที่ไม่มีทั้งเงินและกำลังซื้อ ในทางกลับกัน ก็มีผลต่อระดับความสนใจของบริษัทที่มุ่งแสวงกำไร
ความซับซ้อนของปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อความสามารถของคนจนในการได้รับสิทธิประโยชน์จากศักยภาพและผลผลิตของความก้าวหน้าในงานวิจัยด้านสุขภาพที่ถูกมองข้ามไป ราวกับว่า "คุณธรรม" ได้จางหายไปแล้วจากโลกใบนี้
ขณะที่เรามีศักยภาพด้านวิชาการที่จะทำให้เกิดการเข้าถึงยาสำคัญที่ช่วยกู้ชีวิต วัคซีน หรืออื่นๆ ซึ่งแพร่หลายอย่างกว้างขวางในโลกของประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่อีกด้านหนึ่ง คนหลายล้านคนรวมถึงเด็ก ต้องทนทุกข์และตายในประเทศกำลังพัฒนา เพราะปัจจัยสำคัญเหล่านั้นไม่แพร่หลายรวมถึงแพงเกินกว่าที่จะเข้าถึง รัฐบาลทั่วโลกตระหนักดีต่อคลื่นความขัดแย้งทางคุณธรรมนี้ แต่การปฏิบัติก็ยังห่างไกลจากการพูดเป็นอย่างมาก
ยอดจำหน่ายยาทั่วโลกโน้มเอียงไปตามตลาดยาของโลกที่พัฒนาแล้วเป็นอย่างมาก. ตารางที่ 2 ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากรคิดเป็นร้อยละ 80 ของโลกนั้น ซื้อยาเพียงร้อยละ 10 ของยอดจำหน่ายยาทั่วแสดงชัดเจนว่า มีความแตกต่างอย่างมากในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเรื่องนี้ควรพิจารณาเป็น 2 มุมมอง คือ ขาดกำลังซื้อที่สำคัญ และขาดแรงจูงใจที่จะผลิตให้
ตารางที่ 2 ตลาดยาในแต่ละภูมิภาคของโลก (เป็นราคาที่ออกจากแหล่งผลิต หน่วยเป็นพันล้าน US$)
ภูมิภาค |
2004 |
2005 |
ส่วนแบ่งของยอดจำหน่ายทั่วโลก(%) |
อเมริกาเหนือ |
249.0 |
268.8 |
44.4 |
ยุโรป |
169.2 |
180.4 |
29.8 |
ญี่ปุ่น |
66.1 |
69.3 |
11.4 |
แปซิฟิก |
7.1 |
7.7 |
1.3 |
CIS* |
4.2 |
5.0 |
0.8 |
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
25.3 |
28.8 |
4.6 |
ลาตินอเมริกา |
24.4 |
26.6 |
4.4 |
คาบสมุทรอินเดีย |
6.6 |
7.2 |
1.2 |
แอฟริกา |
6.3 |
6.7 |
1.1 |
ตะวันออกกลาง |
4.7 |
4.9 |
0.8 |
ตลาดโลกทั้งหมด |
562.9 |
605.4 |
100.0 |
อุปสงค์ (Demand) หรือ กำลังซื้อ
ปัญหาพื้นฐานก็คือ การขาดกำลังซื้อ หรือ ขาดอุปสงค์ที่มีประสิทธิผลสำหรับผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในการป้องกันรักษาหรือเยียวยาความเจ็บป่วยที่กระทบต่อคนยากจนในประเทศกำลังพัฒนา ในด้านหนึ่ง ก็แสดงถึงหลักฐานว่า คนจนในประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้รับการรักษาที่จำเป็น ทั้งๆที่ภาระโรคเพิ่มสูงขึ้น ส่วนในอีกด้านหนึ่งโครงสร้างที่เป็นอยู่ ยิ่งทำให้บริษัททุ่มลงทุนคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อมากกว่า คือบรรดาคนในประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งคนรวยในประเทศยากจน
สำหรับกลุ่มโรคประเภทที่ 1 เช่น เบาหวานและมะเร็ง บริษัทต่างๆมีแรงจูงใจสูงที่จะลงทุนพัฒนาเครื่องมือรักษาวินิจฉัยและป้องกันโรคให้สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ สำหรับประชาชนที่อาศัยในประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาหลักคือ ราคายาและค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษา คนส่วนใหญ่ต้องออกเอง รัฐบาลมักจะไม่มีเงินหรือไม่มีเจตจำนงที่จะช่วยเหลือค่ายาที่จำเป็น ทั้งในบางส่วนหรือทั้งหมด ดังนั้น บริษัทยาจึงไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนค้นหาเครื่องมือรักษา วินิจฉัยและป้องกันที่ปรับให้เข้ากับทรัพยากรและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศกำลังพัฒนาแล้ว
เช่น บริษัทไม่จำเป็นต้องผลิตยาหรือเครื่องมือที่ทนต่อความร้อนสูง เพราะในประเทศพัฒนาแล้วมีอากาศหนาวเย็น หรือมีไฟฟ้าทุกหนทุกแห่งที่ปรับอากาศให้เหมาะสมกับยาหรือเครื่องมือเหล่านั้นได้ ซึ่งผิดกับประเทศกำลังพัฒนาที่ไฟฟ้ายังมีไม่ทั่วถึง ส่วนใหญ่อยู่ในเขตร้อน ทำให้ยาหรือเครื่องมือเหล่านี้ใช้ไม่ได้ในพื้นที่
เมื่อไม่มีแรงขับดันทางการตลาด งานวิจัยสำหรับกลุ่มโรคประเภทที่ 2 ก็ยิ่งไม่เพียงพอ เช่น มาลาเรียและวัณโรค ในบางกรณี และเช่นเดียวกัน งานวิจัยนั้นไม่ได้ปรับให้เข้ากับเงื่อนไขของโรคในประเทศกำลังพัฒนา กรณีนี้ ประเทศพัฒนาแล้วจะไม่มีอุปสงค์ต่อการรักษาและวัคซีน
ตัวอย่างของยาต้านไวรัสเอชไอวี/เอดส์ นั้น จะไม่มีทางแพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนาได้เลย ถ้าปราศจากความต้องการของประเทศร่ำรวย เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดกับมาลาเรียและวัณโรค ซึ่งความต้องการของประเทศร่ำรวยมีน้อย ยารักษาจึงมีไม่มากพอ เพราะประเทศร่ำรวยต้องการการป้องกันมากกว่าการรักษา
จุดสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ชนิดหรือสายพันธุ์ของโรคในประเทศกำลังพัฒนามักจะแตกต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว (เช่น กลุ่มต่างๆของเชื้อเอชไอวีพบได้ทั่วไปในประเทศกำลังพัฒนา และระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบโต้ต่อวัคซีนวัณโรคต่างกัน) ดังนั้น การแก้ปัญหาในประเทศกำลังพัฒนาจึงควรมีความแตกต่าง
สำหรับกลุ่มโรคประเภทที่ 3 เช่นไข้เลือดออกและ Leishmaniasis ที่ไม่มีอุปสงค์จากประเทศร่ำรวย จึงไม่มีแรงจูงใจสำหรับคิดค้นนวัตกรรมเลย จะมีบ้างก็เรื่องบังเอิญดังกรณีของ เช่น ยา ivermectin สำหรับโรค river blindness หรือ การรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น melarsoprol สำหรับ sleeping sickness ก็มีผลข้างเคียงสูงโดยไม่มีการพัฒนาตัวยาให้ดีขึ้นเลยนับแต่คิดค้น
ในที่ที่ไม่มีอำนาจซื้อทั้งในส่วนของรัฐบาลหรือในส่วนของคนไข้ จึงถูกประเมินว่า ตลาดไม่มีคุณค่าพอ ทรัพยากรที่ใช้ในการพัฒนายา วัคซีนและชุดวินิจฉัยที่จำเป็นต่อประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาจึงมีน้อยมาก ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมยาไม่สามารถทำกำไรจากประเทศเหล่านี้ได้ หรือเป็นเพราะการลงทุน ความเสี่ยง และผลกำไรไม่เป็นที่น่าสนใจต่อภาคเอกชน
อุปทาน (Supply) หรือ การผลิตสินค้าให้ได้ซื้อหากัน
ในอุตสาหกรรมยา กระบวนการพัฒนายาเริ่มต้นจากการสำรวจหาผลการวิจัยที่กระทำโดยสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของรัฐ ตามระยะค้นหา ด้วยการสังเคราะห์ คัดกรองและทดสอบสารประกอบที่มีอนาคตว่ามีผลในการรักษาหรือไม่ เมื่อได้สารประกอบที่น่าสนใจ จะนำไปสู่ช่วงของการพัฒนาทางเคมีและทางยาต่อไป นี่รวมถึงการทดสอบพิษต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายรวมถึงดูการดูดซึมและกระบวนการในร่างกาย. ต่อจากนั้นจะมีการทดสอบในสัตว์ และลงท้ายในมนุษย์ ขั้นนี้เรียกว่า ระยะพัฒนา ถ้าการทดสอบเหล่านี้ประสบความสำเร็จและผลิตภัณฑ์นั้นเข้าเกณฑ์มาตรฐานของหน่วยงานควบคุม คือ ปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีคุณภาพดี ก็จะสามารถผลิตจำหน่ายแพร่หลายสู่คนไข้ได้ เรียกว่า ระยะส่งมอบ แม้ภายหลังการส่งมอบแล้ว ก็ยังต้องมีการทดลองเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รวมถึงการขยายประโยชน์ไปสู่ข้อบ่งใช้ใหม่ หรือค้นหาผลข้างเคียงที่พบยากที่อาจปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อมีการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นในประชาชนจำนวนมาก
ดังนั้น การค้นพบและพัฒนายาจึงเป็นกิจกรรมที่ซับซ้อน ยาวนานและลงทุนสูง อุตสาหกรรมยาระบุตัวเลขค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อยาใหม่หนึ่งชนิดไว้ที่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นอย่างต่ำ ตัวเลขนี้รวมค่าใช้จ่ายทั้งที่มีผลสำเร็จและที่ล้มเหลวและค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่า ตัวเลขนี้ได้มาอย่างไร เพราะไม่เคยมีการเปิดเผยข้อมูลดิบ
แท้จริงแล้ว ค่าใช้จ่ายโดยตรงต่อการพัฒนายาตัวหนึ่งอาจต่ำกว่านี้ ขึ้นกับว่าใช้รักษาอะไรใช้ในแหล่งใดและข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมเป็นอย่างไร มีหลักฐานว่า ค่าใช้จ่ายในการพัฒนายาต่ำกว่าที่อุตสาหกรรมอ้าง ส่วนหนึ่งขึ้นกับธรรมชาติของโรคที่ใช้ยานั้นและการลงทุนในการค้นพบของมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยที่มาจากเงินภาษีของประชาชน ค่าใช้จ่ายตามที่อุตสาหกรรมยาอ้างนั้น นอกจากการบวกกำไรมหาศาลแล้วยังรวมค่าการตลาดเป็นสัดส่วนที่เหนือกว่าการลงทุนวิจัยและพัฒนา
ไม่ว่าค่าใช้จ่ายจริงจะเป็นเท่าใด อุตสาหกรรมยาจำเป็นจะต้องคำนึงให้มากว่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงได้อย่างไรถ้าจะผลิตสิ่งนั้นสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ไม่ใช่คิดจะบวกกำไรเท่าไรก็ได้ ถ้าไม่พยายามลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โอกาสที่ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาจะซื้อยามากินมาใช้ได้ก็จะลดลง ซึ่งนั่นหมายถึง คนตายมากขึ้น เพียงเพราะอุตสาหกรรมยาไม่ยอมลดกำไร
และแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงสูง ระหว่างปี 1995-2002 อุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มากที่สุดในสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 18 (เมื่อคิดเป็นค่าเฉลี่ยของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีและเป็นร้อยละของรายได้) ในปี 2003 ตกลงมาเป็นที่ 3 รองจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ การขุดเจาะน้ำมันดิบและธนาคารพาณิชย์ แต่ยังคงกำไรไว้ที่ร้อยละ 14 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 500 บริษัททำกำไรสูงสุดในนิตยสารฟอร์จูน 500 ในปีนั้นถึง 3 เท่า
การประกันให้มียาอย่างเพียงพอจำต้องขึ้นกับปัจจัยอย่างน้อย 2 ประการคือ ปรับปรุงประสิทธิภาพของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และปรับปรุงทิศทางการดำเนินงาน นั่นคือ ต้องมุ่งสู่กรอบสินค้าเพื่อสังคม มิใช่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรงามเท่านั้น ในด้านหนึ่ง มีความท้าทายในการลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อที่จะผลิตสิ่งที่ดีกว่าได้เร็วขึ้นและด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง ในอีกด้านหนึ่ง มีความจำเป็นต้องสนับสนุนการผลิตหรือจัดหายาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่ตลาดไม่ทำกำไรก็ตาม
Rudolph Virchow กล่าวว่าว่า "นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เมื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การละเลยรากทางสังคม ได้ทำลายความมีประสิทธิภาพของเราเอง" เพราะว่า ปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อื่นๆ จะเป็นตัวตัดสินว่า แท้จริงใครจะได้ใช้ยาหรือไม่
เรียบเรียงจาก
- Infections and Inequality: The Modern Plagues โดย Paul Farmer, 1999.
- Pathologies of Power: Health, Human Rights, and the New War on Poor โดย Paul Farmer, 2005.
- Public Health Innovation and Intellectual Property Right โดย คณะกรรมาธิการนวัตกรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการสาธารณสุข ของ องค์การอนามัยโลก, เมษายน 2006
- 25 ข่าวที่ไม่เป็นข่าว, นิตยสาร a day weekly ฉบับที่ 23, 22-28 ตุลาคม 2547
รายงานชุด ‘Power & Health’
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (1) ความฝัน กับ ความจริง ในสถานการณ์ปัจจุบัน
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (2) เมื่อโลกร่ำรวยยา แต่คนจนทั่วหล้าร่ำรวยโรค
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (3) ความจริงจากพื้นที่ สงครามรูปแบบใหม่สำหรับคนชายขอบ
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (4) เข้าใจโครงสร้างบิดเบี้ยว ก่อนชี้นิ้วการระบาดของโรคไปที่ “แพะ”
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (5) เอชไอวีกับผู้ไร้อำนาจ ชะตากรรมของผู้หญิงในหุบเหวความจน
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (6) ‘พวกคนป่วย’ ที่ยอมไม่ทำตามคำแนะนำแพทย์ !
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (7) เอดส์กับโครงการพัฒนา-อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตัวอย่างน่าเศร้าของ ‘เฮติ’
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (8) เสรีนิยมใหม่ กับ โรคภัยไข้เจ็บ
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (9) การแทรกแซงของมหาอำนาจ และการเกิดโรคใน ‘เฮติ’
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (10) “ไม่มีโครงการสาธารณสุขที่ไม่หวังผลกำไรในโลกสมัยใหม่อีกแล้ว”
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (11) คำประกาศ ‘Tavistock’ แพทย์ที่กล้าทวนกระแส!
- รายงานชุด ‘Power & Health’: (12) ถึงเวลาต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์เรื่อง ‘สุขภาพ’ และ ‘สิทธิมนุษยชน’