Skip to main content
sharethis





การเมือง


 


แม่ทัพภาคที่ 1 ปัดไม่รู้เรื่องงบลับ


ไทยรัฐ - เมื่อวันที่ 9 ก.พ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยนำเอกสารการประชุมของกองทัพบก จัดทำโดยฝ่ายยุทธการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก เรื่องยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความสามัคคี ความสมานฉันท์ของประชาชนภายในชาติ แบ่งพื้นที่รับผิดชอบทุกกองทัพภาค และจัดสรรงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาทว่า ในระดับกองทัพภาคเรื่องนี้ยังไม่เห็นมีนโยบายนี้สั่งการลงมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กองทัพจะมีโครงการในช่วงนี้ คือ การสู้วิกฤติเศรษฐกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รายละเอียดภาพรวมนั้นในระดับกองทัพภาคยังไม่ชัดเจนเรื่องรายละเอียด นอกจากนี้ ยังมีโครงการคอนเสิร์ตรักชาติ และโครงการทำดีมีอาชีพ อย่างไรก็ตาม โครงการตามแผนยุทธศาสตร์ที่พรรคเพื่อไทยออกมาระบุนั้น ตนยังไม่เห็นและไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้มีเพียงโครงการเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น


 


เมื่อถามถึงงบประมาณโครงการเบิกจ่ายอย่างไร พล.ท.คณิตตอบว่า งบประมาณมีเพียงเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงกำลังพลเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะสูงตามที่เป็นข่าว


 


ด้าน พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า กอ.รมน. เตรียมขออนุมัติงบกลาง เพื่อนำไปใช้สลายกลุ่มเสื้อแดงว่า ยืนยันว่า กอ.รมน. ไม่ได้มีภารกิจเข้าไปสลายหรือสกัดกั้นกลุ่มเสื้อแดงแต่อย่างใด เพราะภารกิจของ กอ.รมน.จะดูแลในเรื่องความมั่นคง และภัยคุกคามต่างๆ กอ.รมน. เช่น ภัยจากยาเสพติด แรงงานต่างด้าว และเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในกรณีพิเศษ รวมถึงงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งการกระทำสิ่งต่างๆ ล้วนมีแผน มีแบบ และมีงบประมาณประจำปี โครงการต่างๆที่ กอ.รมน. จะจัดทำขึ้น เป็นโครงการที่มีการเตรียมแผนไว้ล่วงหน้า และกระทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว ส่วนโครงการที่พรรคเพื่อไทยออกมาเปิดเผย น่าจะเป็นโครงการสู้วิกฤติเศรษฐกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกองทัพบก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างให้แต่ละชุมชนในพื้นที่เกิดความเข้มแข็ง เมื่อประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความสามัคคีของคนในชาติก็จะเกิดขึ้นตามมา คาดว่างบประมาณที่ใช้ ไม่น่าจะถึง 2,000 ล้านบาท ตามที่พรรคเพื่อไทยระบุ และโครงการดังกล่าวทำในทุกพื้นที่ ไม่ทำในพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เร่งด่วน


 


 


"สาทิตย์" รับตั้งคนพันธมิตรฯมาทำงาน ต้องระมัดระวัง


มติชนออนไลน์ - นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวตั้งนายสำราญ รอดเพชร แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ว่า เป็นการแต่งตั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นจะพิจารณาบุคคล ที่เคยช่วยงานพรรคเป็นหลัก แต่หากบุคคลใดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ก็จะพิจารณาด้วยว่าเป็นคดีอะไร และถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เสนอแต่งตั้งนายสำราญต้องชี้แจงได้ พร้อมกับยอมรับว่าการแต่งตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ มาทำงาน ก็ต้องมีความระมัดระวังด้วยเช่นกัน 


 


 


"พรทิวา" เชื่อโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น คนไทยมีงานทำมากขึ้น


มติชนออนไลน์ - นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการไปร่วมคณะของนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ในการจัดโรดโชว์ของประเทศไทยในช่วงสัปดาห์ก่อนว่า ได้มีโอกาสหารือกับผู้บริหารของอิออนและจัสโก้ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีสาขามากมายในประเทศญี่ปุ่น และประสบความสำเร็จในการขอย้ายส่วนฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เป็นการเพิ่มโอกาสสร้างงานให้กับคนไทยด้วย ขณะเดียวกันได้มีการเจรจาเพื่อขอมุมเฉพาะสำหรับขายสินค้าไทยด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะการสนับสนุนสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ สินค้าประเภทสปา และการนำครัวไทยสู่ครัวโลก


 


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อโอกาสที่จะเกิดการการค้าระหว่างประเทศเพิ่ม ขึ้น โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ซึ่งเป็นสินค้าที่คนญี่ปุ่นนิยม จากความพิถีพิถันในเรื่องโภชนาการ ขณะที่ไทยเองก็เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าการเกษตรด้วย


 


 


 






เศรษฐกิจ


 


"กรณ์" นัดถกกรรมการบริหารหนี้ ขอเพิ่มวงเงิน จากกรอบเดิม "1.2ล้านล้าน"


เว็บไซต์มติชน - รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง แจ้งเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ว่านายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายและบริหารหนี้สาธารณะ นัดประชุมคณะกรรมการเพื่อประชุมปรับปรุงแผนการก่อหนี้ภาครัฐ ในปีงบประมาณ 2552 ใหม่ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะเป็นการขยายวงเงินบริหารหนี้จากเดิม 1.2 ล้านล้านบาท แต่จะเพิ่มเป็นจำนวนเท่าใดต้องรอสรุปในการประชุมดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งแผนในเบื้องต้นจะต้องเพิ่มเติมการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีกประมาณ 9.7 หมื่นล้านบาท ภายหลังรัฐบาลจัดทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติม 1.167 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรายการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้เจรจาแล้วประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ที่ต้องนำมาเพิ่มเติมไว้ในแผนด้วย รวมถึงการปรับแผนการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจต่างๆ


 


แหล่งข่าวกล่าวว่า คาดว่าหลังการ  ประชุมได้ข้อสรุปแล้วจะสามารถเสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบได้ในสัปดาห์ถัดไป โดยการปรับปรุงแผนก่อหนี้จะต้องเร่งดำเนินการคู่ขนานไปกับกระบวนการจัดทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติมที่อยู่ในกระบวนการของสภาอยู่ในขณะนี้


 


สำหรับรัฐวิสาหกิจที่จะต้องมีการกู้เงินเพิ่มเติม อาทิ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ขาดทุนจากผลกระทบกรณีการปิดสนามบิน กู้เพิ่มกว่า 2 หมื่นล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ขาดสภาพคล่องจากการดำเนินงาน 6 มาตรการ 6 เดือน กู้เพิ่มราว 2 หมื่นล้านบาท กรณีการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้เป็นวงเงินเพิ่มเติมในโครงการรับประกันราคาสินค้าเกษตร กรณีการสนับสนุนวงเงินกู้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (ซอฟต์โลน) 5 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นต้น ส่วนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มีแผนขอกู้เงินเพื่อดำเนินการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 แต่กระทรวงการคลังเห็นว่า ทอท.ควรจะเร่งเคลียร์หนี้เดิมที่ยังมีอยู่ก่อน เนื่องจากปัจจุบันถูกผู้รับเหมาร้องเรียนมาก


 


แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้เพดานการออกตั๋วเงินคลังยังมีอยู่สูงถึง 2.5 แสนล้านบาท ถือว่าเพียงพอที่จะใช้รักษาระดับเงินคงคลังได้ในกรณีที่จำเป็น เชื่อว่าคงไม่มีความจำเป็นถึงขนาดต้องกู้จนเต็มเพดานแต่อย่างใด นอกจากนี้ หากมีการออกตั๋วเงินคลังมากๆ ก็สามารถแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธ บัตรระยะยาวได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องขยายเพดานการออกตั๋วเงินคลังแต่อย่างใด


 


ขณะที่นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า สบน.ยืนยันว่าการบริหารเงินคงคลังของภาครัฐจะไม่ทำให้การเบิกจ่ายเกิดการสะดุดอย่างแน่นอน เพราะเตรียมพร้อมไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการออกตั๋วเงินคลัง ที่ขณะนี้สภาพตลาดเหมาะสม เนื่องจากมีความต้องการมาก อัตราดอกเบี้ยตั๋วเงินคลังระยะ 1 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.6%


 


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคมนี้ สคร.เตรียมเสนอข้อสรุปเบื้องต้นถึงรูปแบบการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณา ทั้งนี้ เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะที่จะเกิดจากการกู้ยืม สำหรับรูปแบบของกองทุนดังกล่าวจะเป็นหน่วยลงทุนที่เปิดขายให้แก่สถาบันและนักลงทุนรายย่อยเพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ สคร.และบริษัทที่ปรึกษาจะจัดสัมมนาระดมความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในเดือนมีนาคม


 


"ตอนนี้อยู่ระหว่างว่าจ้างที่ปรึกษาให้ศึกษารูปแบบกองทุนและขนาดของกองทุน รวมถึงผลตอบแทน ซึ่งจะมีรูปแบบเหมือนในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ที่มีกองทุนเพื่อระดมทุนจากประชาชนมาใช้ก่อสร้างโทลล์เวย์ นอกจากนี้ จะมีการจ้างผู้บริหารมืออาชีพมาดูแลกองทุนดังกล่าว โดยภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ถือว่าเหมาะสมที่จะนำเงินออมของประชาชนมาใช้ อีกทั้งดอกเบี้ยในตลาดขณะนี้ก็อยู่ในระดับต่ำ ทั้งยังจะช่วยเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือ (เรทติ้ง) ของประเทศ การที่เงินกู้ของกองทุนไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะแต่ถือเป็นหลักทรัพย์แทน" นายอารีพงศ์กล่าว


 


นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร เปิดเผยว่า วันที่ 11 กุมภาพันธ์ จะเข้าชี้แจงต่อ ครม.เศรษฐกิจ เพื่อดูว่าปัญหาที่ลูกหนี้ไม่ได้รับสินเชื่อนั้นเกิดจากอะไร และบริษัทจะมีแนวทางช่วยเหลือได้หรือไม่ ซึ่งปัญหาของการถูกบันทึกรายชื่อในเครดิตบูโรแล้วทำให้ไม่ได้รับเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินนั้น อาจจะเป็นปัญหาน้อยมาก เพราะขณะนี้ปัญหาหลักเกิดจากการการขาดความเชื่อมั่นของสถาบันการเงิน เพราะไม่แน่ใจว่าในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวจะทำให้ลูกหนี้สามารถนำเงินกู้ไปก่อให้เกิดรายได้ เพื่อนำมาชำระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด


 


"คงต้องร่วมกันดูว่าปัญหาคืออะไร จะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป เพราะหากจะเก็บข้อมูลลูกหนี้ที่ติดในรายชื่อให้สั้นลงจาก 3 ปีเหลือ 2 ปี เพื่อให้ลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้สามารถกู้ยืมได้ จะเป็นผลเสียมากกว่า เพราะหากสถาบันการเงินไม่เชื่อมั่นในข้อมูลก็จะยิ่งเป็นโทษหนัก การพิจารณาปล่อยกู้ไม่ใช่ดูจากข้อมูลเครดิตบูโรอย่างเดียว แต่หมายถึงอาชีพหรือฐานะความมั่นคงของผู้กู้ด้วย" นายนิวัฒน์กล่าว


 


นายนิวัฒน์กล่าวว่า การแก้ปัญหาให้ตรงจุดในภาวะการขาดความเชื่อมั่นดังกล่าวน่าจะอยู่ที่การค้ำประกันสินเชื่อจากทางการ ในรูปแบบของการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมาดำเนินการแทน ทั้งบรรษัทค้ำประกันสินเชื่อรายย่อย (บสย.) หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (ธพว.) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์น่าจะดีกว่าที่จะมาพิจารณาเพียงว่าลูกค้าผิดนัดชำระหนี้แล้วต้องแก้ไข เพื่อให้ได้รับเงินกู้


 


 






คุณภาพชีวิต


 


ศธ.เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั่วประเทศเด็กพลาดเอเน็ต


มติชนออนไลน์ - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ถึงกรณีนักเรียนและผู้ปกครองมีปัญหาเกี่ยวกับการสมัครทดสอบทางการศึกษา แห่งชาติขั้นสูง (เอเน็ต) ไม่ทันตามกำหนดในวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ว่า กระทรวงศธ.ได้เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั่วประเทศ 133 แห่ง โดยจะทำเปิดทำการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น. เพื่อให้เด็กนักเรียนมาร้องเรียน โดยพบว่ามีนักเรียนประมาณ 2 หมื่นคน ที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าสอบเอเน็ต ด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป จึงให้มีการร้องเรียนเข้ามาก่อน จากนั้นจึงจะตรวจสอบไปตามกรณี หากพบว่า เป็นความผิดของกระทรวงก็ต้องรับผิดชอบ ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้คณะกรรมการอำนวยการสอบที่ประกอบด้วย อธิการบดีจากมหาวิทยาลัย 21 แห่ง มาร่วมประชุมกันในวันพรุ่งนี้ 10.00 น.


 


"ปีหน้าจะเปลี่ยนระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ดำเนินการสอบ 2.ให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจัดสอบเอง"


 


ด้านนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังมาตรวจเยี่ยม และรับฟังปัญหาเกี่ยวกับการสมัครทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือเอเน็ต ไม่ทันตามกำหนดในวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา จากนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่สอง ที่ สกอ.เปิดรับเรื่องร้องทุกข์สำหรับผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ว่า ยังสรุปไม่ได้ว่าจะคืนสิทธิให้กับผู้ร้องเรียนทั้งหมดหรือไม่ จะขอดูยอดตัวเลขผู้ร้องเรียนในอีก 2-3 วัน เพราะต้องรอข้อมูลปัญหาของเด็กในต่างจังหวัดที่จะเปิดให้ร้องทุกข์ในวันที่ 10 -13 กุมภาพันธ์


 


"จากนั้น สกอ.จะสรุปสภาพปัญหา และแนวปฏิบัติ นำไปหารือกับคณะกรรมการอำนวยการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีเลขาธิการ กกอ.เป็นประธาน เพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะอำนาจตัดสินใจเป็นของคณะกรรมการอำนวยการฯ ซึ่งมีอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐทุกแห่งร่วมเป็นกรรมการ เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นผู้รับนิสิตนักศึกษาโดยตรง"


 


นายชัยวุฒิกล่าวว่า สำหรับผู้ร้องทุกข์นั้น ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ มีเพียบ 76 ราย ส่วนในช่วงเช้าวันนี้(9 กุมภาพันธ์) มีเพียง 9 ราย รวม 85 ราย ซึ่งทั้งหมดยังไม่พบปัญหาที่เกิดจากระบบการรับสมัคร ส่วนใหญ่กว่า 50% ระบุว่าไม่ทราบวันหมดเขตการชำระเงิน เนื่องจากใบสมัครที่พิมพ์ออกมาไม่ได้ระบุไว้ ทั้งนี้หากเด็กสมัครด้วยตัวเองจะต้องทราบ  นอกจากนี้ มี 3 รายที่ระบุว่าบาร์โค้ดอ่านไม่ได้ ที่เหลือคือฝากผู้อื่นไปชำระเงินให้ แต่ไม่ได้ชำระเงินให้เพราะลืม


 


"ยังไม่ชัดเจนว่าตัวเลขผู้เดือดร้อนจะถึง 20,000 คนจริงๆ หรือไม่ ขอดูตัวเลขผู้ร้องทุกข์สักระยะก่อน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าทุกฝ่าย รวมทั้ง คณะกรรมการอำนวยการฯ เห็นว่าควรคืนสิทธิแก่เด็กกลุ่มนี้ ก็ต้องหาแนวปฏิบัติที่ไม่กระทบสิทธิเด็ก 1.9 แสนคนที่สมัคร และชำระเงินถูกต้องตามกติกา โดยต้องให้เด็กสอบพร้อมกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่มีกลุ่มที่สอบก่อน และสอบหลัง ซึ่งจะเหลื่อมล้ำ และเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน อีกทั้ง ใกล้ประกาศเลขที่นั่งสอบในวันที่ 14 กุมภาพันธ์แล้ว ดังนั้น ต้องดำเนินการให้โปร่งใส และเที่ยงตรง ไม่ให้เกิดเสียงครหา และความสงสัยถึงความไม่โปร่งใสในระบบ แม้แต่รายเดียวก็ไม่ได้"


 


นายชัยวุฒิกล่าวว่า ส่วนที่ไม่ได้สมัครเอเน็ตโดยให้เหตุผลว่าประสบอุบัติเหตุนั้น คิดว่ายากมากในทางปฏิบัติที่จะรื้อระบบเพื่อมารับสมัครใหม่ เพราะกลุ่มนี้ต่างจากกลุ่มที่สมัครแล้วแต่ยังไม่ชำระเงิน เนื่องจากมีชื่ออยู่ในระบบแล้ว  ซึ่งจะสรุปปัญหาทั้งหมดเสนอให้คณะกรรมการอำนวยการฯ เป็นผู้ตัดสินใจ แต่คงต้องประมวลความเห็นของเด็กที่อยู่ในกลุ่ม 1.9 แสนคน มาประกอบการตัดสินใจด้วย เพราะเริ่มมีเด็กเข้าไปโพสต์ตามเว็บไซต์ต่างๆ คัดค้านการเปิดให้ชำระเงินรอบสองแล้ว


 


นายสุเมธ กล่าวว่า เรื่องบาร์โค้ดอ่านไม่ได้นั้น ยืนยันว่าบาร์โค้ดสมบูรณ์ แต่ที่อ่านไม่ได้อาจเกิดจากเครื่องพริ้นเตอร์ไม่ชัดเจน เครื่องอ่านบาร์โคดมีปัญหา หรือชำระเงินเลยระยะเวลาที่กำหนด เครื่องอ่านบาร์โค้ดจึงไม่รับ  ส่วนกรณีที่ผู้ร้องคนหนึ่งระบุว่ามีปัญหาอ่านบาร์โค้ดไม่ได้นั้น เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แจ้งมายังตนว่า เครื่องอ่านบาร์โค้ดที่ไปรษณีย์มีปัญหา แต่ได้แนะนำเด็กให้ไปใช้บริการที่ธนาคารแล้ว ยืนยันว่าระบบบาร์โค้ดที่นำมาใช้เป็นระบบสากล สะดวก และรวดเร็วที่สุด ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคาต่างๆ ก็ใช้ระบบนี้ในการรับชำระเงิน


 


"วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ผมจะเชิญ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ทปอ.) นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานคณะทำงานแอดมิสชั่นส์ ประจำปี 2553 มาหารือถึงทางออกในการแก้ไขปัญหาเป็นการเบื้องต้น ก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการฯ"


 


นายสุเมธให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกว่า ได้นัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งนายชัยวุฒิฝากให้ตัดสินใจตามบทบาทหน้าที่ โดยไม่ต้องรอให้การเมืองสั่งการ ดังนั้น จะพยายามให้ได้ข้อยุติในการประชุมดังกล่าว ทั้งนี้ หากได้รับรายงานสภาพปัญหาของต่างจังหวัด และประมวลได้ว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เกิดจากสาเหตุอื่น จะพิจารณาช่วยเหลือในแง่มนุษยชน แต่ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร สำหรับผู้ยื่นร้องทุกข์ในวันนี้มีเพียง 29 ราย แบ่งเป็น สมัครไม่ทัน 9 ราย สมัคร และรู้วันชำระเงิน แต่ไปชำระเงินไม่ทัน 8 ราย มีปัญหาบาร์โค้ด 1 ราย ไม่ทราบวันชำระ 5 ราย ติดภารกิจ 3 ราย และป่วย 3 ราย รวม 2 วัน 105 คน


 


"จากการหารือร่วมกับนายชัยวุฒิได้ข้อสรุปว่า ปัญหาจ่ายเงินไม่ทันกำหนดไม่ได้เกิดจากระบบรับสมัครทางอินเตอร์เน็ต รวมถึงมีการกำหนดเงื่อนไข ขั้นตอน และกำหนดวันเวลาชัดเจน แต่อาจต้องปรับปรุงรายละเอียดในเรื่องภาษาที่อ่านแล้วตีความให้เกิดความ สับสนได้ ที่สำคัญต้องกำหนดวันหมดเขตการชำระเงินไว้ในใบสมัครที่เด็กต้องนำไปชำระเงิน ด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะรายงานให้ประธาน ทปอ.และนายมณฑลรับทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการรับสมัครการสอบต่างๆ ในปีต่อไป" นายสุเมธกล่าว


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงที่นายชัยวุฒิ และนายสุเมธ แถลงข่าว ได้นำระเบียบการสมัครมายืนยันว่าในขั้นตอนการสมัคร ได้ระบุวันสิ้นสุดการชำระเงินซึ่งปรากฏอยู่ในขั้นตอนการสมัครทางอินเตอร์ เน็ตตั้งแต่ต้น และมีการนำข้อมูลในเว็บไซต์เด็กดี www.dek-d.com ที่มีเสียงคัดค้านไม่ให้ ศธ.เปิดรับชำระเงินให้แก่เด็กกลุ่มนี้ โดยกระทู้ระบุว่า "เป็น 1 เสียงที่ขอคัดค้านการให้สิทธิของคนที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองครับ"


 


จากนั้นมีผู้ที่แสดงความเห็นสนับสนุนเจ้าของกระทู้จำนวนมาก โดยระบุว่าการสมัครจนได้ใบสมัครสอบเอเน็ตนั้น สะท้อนว่าระบบ และขั้นตอนการสมัครตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายของ สกอ.ไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาเพราะผู้สมัครไม่ใส่ใจที่จะไปชำระเงินให้ทันตามกำหนด


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากเว็บไซต์เด็กดีดอดคอมแล้ว ยังมีเว็บไซต์อื่นๆ อื่นที่คัดค้านการเปิดชำระเงินรอบสอง เช่น เว็บไซต์ www.pantip.com ที่ตั้งกระทู้ทำนองคัดค้าน สกอ.ที่จะยืดเวลาชำระเงินออกไปให้ โดยระบุว่าถ้าขยายระยะเวลาออกไป จะทำให้กฎกติกาไม่ศักดิ์สิทธิ์ และจะหมดความหมายในปีถัดไปทันที


 


นายอุทิศ วัฒนกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนหาดสำราญวิทยาคม จ.ตรัง กล่าวว่า กรณีมีข่าวว่านักเรียน 16 คนของโรงเรียนหาดสำราญฯ ไม่สามารถสมัคร และชำระเงินค่าสมัครสอบเอเน็ตได้ตามกำหนด เนื่องจากครูแนะแนวที่รับจะไปดำเนินการให้ ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างบุคคล ไม่ได้ดำเนินการให้ เพราะครูคนดังกล่าวเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน เนื่องจากกระดูกสันหลังเปาะ ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม และออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 14 มกราคม ทำให้สมัคร และชำระเงินให้เด็กกลุ่มนี้ไม่ทัน  เมื่อทราบข้อเท็จจริง จึงมอบให้รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการไปหารือ และขอคำแนะนำจาก สกอ.ทันทีว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง โดย สกอ.ยืนยันว่าไม่สามารถเปิดรับสมัครได้อีก


 


"จึงแนะนำให้เด็กไปสมัครสอบผ่านระบบรับตรงในมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช้คะแนน เอเน็ต ซึ่งโรงเรียนได้ดำเนินการให้เด็ก 13 คนสมัครสอบในมหาวิทยาลัยต่างๆ ผ่านระบบรับตรงแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นต้น โดยทั้งผู้ปกครอง และนักเรียนต่างก็พอใจ เหลือเพียง 3 คน ที่ไปร้องเรียนที่ สกอ." ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าว


 


นายจักรกริช เกกินะ นักเรียน ม.5 โรงเรียนบางกะปิ กล่าวว่า ติดตามข่าวสารเรื่องนี้มาโดยตลอด และพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนว่าถ้า สกอ.ขยายการชำระเงินให้รุ่นพี่ที่ไม่ไปชำระเงินตามกำหนดกลุ่มนี้ จะทำให้รุ่นน้องเห็นตัวอย่าง และไม่ต้องกระตือรือร้น เพราะถ้าลืมชำระเงิน ก็ออกมาเรียกร้อง และ สกอ.จะต้องช่วยโดยเปิดรับชำระเงินอีกรอบ ทำให้ดูเหมือนไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง ส่วนตัวจึงไม่เห็นด้วยหากจะขยายเวลาชำระเงินออกไปอีก เพราะการเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมีความสำคัญกับเด็กทุกคน จึงต้องมีความรับผิดชอบ


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของต่างจังหวัด จะเปิดให้ร้องทุกข์ตั้งแต่วันที่ 10-13 กุมภาพันธ์ โดยมี 87 โรงเรียนที่เปิดรับเรื่องร้องทุกข์ สามารถตรวจสอบรายชื่อโรงเรียนดังกล่าวที่เว็บไซต์ สกอ. www.cuas.or.th และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน www.obec.go.th ซึ่งในเว็บไซต์ สพฐ.ระบุชัดเจนว่าผู้ที่จะยื่นคำร้องทุกข์ได้ ต้องเป็นผู้ขาดสิทธิการสอบเอเน็ตเนื่องจากสมัครแล้วแต่ชำระเงินไม่ทันตาม กำหนดเท่านั้น


 


นายณรงค์ แผ้วพลสง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(ผอ.สพท.)บุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลพบว่ามีนักเรียนใน จ.บุรีรัมย์ที่ถูกตัดสิทธิ์การสอบเอเน็ต จำนวน 371 คน ดังนั้น สพท.บุรีรัมย์ทั้ง 4 เขต จึงได้ประสานความร่วมมือในการช่วยเหลือเด็กนักเรียนดังกล่าว โดยจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ สำหรับนักเรียนที่ยังไม่มีสิทธิ์ในการสอบเอเน็ต ขึ้นที่โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม อ.เมืองบุรีรัมย์ และที่โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อ.ประโคนชัย โดยจัดเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์คอยรับเรื่อง


 


"สำหรับนักเรียนที่มีปัญหาดังกล่าว สามารถติดต่อขอรับแบบฟอร์ม เพื่อยื่นเรื่องร้องทุกข์การสมัครสอบเอเน็ต ได้ที่ศูนย์ทั้ง 2 แห่ง ระหว่างวันที่ 10-13 กุมภาพันธ์นี้ หรือโทร.044-611098, 044-612888 และ 044-671131 ตามวันที่กำหนด"


 


ด้านนายกมล ศิริบรรณ ผอ.สพท.นครราชสีมา เขต 1 เปิดเผยว่า สพท.นครราชสีมาทั้ง 7 เขตได้บูรณาการร่วมกัน โดยตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ขึ้นที่อาคารอำนวยการ โรงเรียนสุรนารีวิทยา อ.เมืองนครราชสีมา สามารถติดต่อประสานได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 044-255739 คาดว่าตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป น่าจะมีนักเรียนเริ่มทยอยติดต่อเข้ามาขอคำปรึกษาหรือร้องทุกข์


 


 


จี้นายอำเภอตั้งกรรมการสอบแจกปลากระป๋องบุบ


ไทยรัฐ - ความคืบหน้ากรณีถุงยังชีพของ อบต.บางเพรียง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งนำแจกจ่ายให้กับประชาชน ตามโครงการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส ประจำปีงบประมาณ 2552 ซึ่งแต่เดิมเป็นการจัดหาสิ่งของยังชีพตามโครงการเตรียมความพร้อมในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยจากคลื่นสึนามิ และน้ำทะเลยกตัวสูง หรือสตอมเซิร์จ เมื่อปลายปีกลายที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าภายในบางถุงบรรจุปลากระป๋องบุบ ข้าวสารที่เป็นมอด และน้ำมันพืชที่ส่อจะมีการปั๊มวันที่ผลิตล่วงหน้าก่อนการแจกจริง 


 


ต่อมาในช่วงบ่ายวันที่ 9 ก.พ. นายเฉวียง ศิริพันธ์ รองประธานสภา อบต.บางเพรียง พร้อมด้วยนายบัญญัติ เรืองศิริ อบต.บางเพรียง หมู่ 3 นายไพโรจน์ เหลือสิน สมาชิกชมรมคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข นายประเทือง ศรีจันทร์ ชาวบ้านหมู่ 2 ตำบลบางเพรียง และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง นำถุงยังชีพที่บรรจุอาหารที่มีปัญหาเข้าพบ พ.ต.ท.วิริยะ ระยับ สารวัตรเวร สภ.บางบ่อ เพื่อขอลงบันทึกประจำวันเพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้เคยแจ้งความลงบันทึกประจำวันการพบปลากระป๋องบุบในถุงยัง ชีพมาแล้ว โดยสมาชิก อบต.บางเพรียง และแกนนำชาวบ้านต้องการลงบันทึกประจำวันในเรื่องการห้ามเคลื่อนย้ายถุงยัง ชีพ ที่นายสมศักดิ์ แก้วสนธิ นายก อบต.บางเพรียง อ้างว่าเรียกเก็บจากชาวบ้านคืนมาบางส่วน และนำเก็บไว้ ในห้องของหน่วยกู้ภัยและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 61 ถุง


 


ทั้งนี้ พ.ต.ท.วิริยะได้ให้คำแนะนำว่า กรณีที่เกิดขึ้นมีการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว ส่วนการเรียกเก็บถุงยังชีพคืนเป็นหน้าที่ของนายก อบต.บางเพรียง ต้องดำเนินการอยู่แล้วควรไปร้องเรียนกับสาธารณสุขอำเภอจะตรงจุดมากกว่า เพราะเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน 


 


หลังจากนั้น นายประเทือง ศรีจันทร์ หนึ่งในแกนนำชาวบ้านตำบลบางเพรียง กล่าวว่า ในวันที่ 10 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น. ชาวบ้านในเขต อบต.บางเพรียง จำนวนกว่า 100 คน จะเดินทางมาที่หน้าอำเภอบางบ่อ เพื่อยื่นหนังสือกับนายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ นายอำเภอบางบ่อ ขอให้ทางอำเภอตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เนื่องจากก่อนหน้านี้นายอำเภอเคยให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องปลากระป๋องบุบโรงงานผลิตยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดเอง จึงไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบเพียงแค่เรื่องข้าวสารมีมอดเท่านั้น ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่มีแค่เรื่องปลากระป๋องบุบ ข้าวสารเป็นมอด หรือน้ำมันพืชที่ปั๊มตราวันผลิตล่วงหน้าซึ่งถือเป็นประเด็นใหม่  แต่ทางนายอำเภอควรเร่งดำเนินการตรวจสอบทั้งระบบ ตั้งแต่การตั้งงบประมาณจัดซื้อถุงยังชีพว่าใครเป็นผู้ขออนุมัติและมีการจัด ซื้อโปร่งใสหรือไม่ รวมทั้งต้องเร่งให้สาธารณสุขอำเภอตรวจสอบของในถุงยังชีพทั้งหมดว่าได้ มาตรฐานหรือไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นผ่านมาหลายวันแล้วยังไม่มีการดำเนินการใดๆเลย ชาวบ้านจึงต้องมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องเรื่องดังกล่าว


 


ด้านนายบัญญัติ เรืองศิริ อบต.บางเพรียง หมู่ 3 กล่าวว่า ในวันที่ 10 ก.พ. จะมีการเปิดประชุมสภา อบต.บางเพรียง สมัยสามัญครั้งที่ 1 ตนและเพื่อนสมาชิกจะตั้งกระทู้สดสอบถามนายสมศักดิ์ แก้วสนธิ นายก อบต.บางเพรียง ในเรื่องการจัดซื้อถุงยังชีพตามโครงการสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส ประจำปีงบประมาณ 2552 องค์การบริหารส่วนตำบลบางเพรียง เนื่องจากโครงการดังกล่าวนี้มีการทำกันในหมู่ผู้บริหารเพียงไม่กี่คน และไม่ยอมแจกแจงรายละเอียดของโครงการ รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคที่บรรจุในถุงยังชีพว่ามีอะไรบ้าง และขอเรียกดูเอกสารการจัดซื้อสินค้าทุกรายการทั้งหมด รวมทั้งเอกสารการเบิกจ่ายงบประมาณทุกโครงการของ อบต.ที่มีการอนุมัติไปแล้วของปี 2551 ถึง 2552 เพราะเงินงบประมาณเป็นภาษีของประชาชนทุกบาททุกสตางค์จะต้องมีความโปร่งใส 


 


นายบัญญัติกล่าวด้วยว่า ยังพบข้อพิรุธของนายก อบต.ที่ออกมาระบุว่ามีการเรียกถุงยังชีพคืนแล้วบางส่วน แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะถุงยังชีพชุดที่อ้างว่ามีการเรียกคืนนั้น แท้จริงแล้วเป็นถุงยังชีพชุดที่นำไปกองไว้ที่บ้านนายก อบต.เพื่อรอแจกจ่ายให้ชาวบ้าน แต่เมื่อเกิดเรื่องจึงรีบนำกลับมาไว้ที่ห้องของหน่วยบรรเทาสาธารณภัย อบต.บางเพรียง แล้วอ้างว่าเรียกคืนจากชาวบ้าน


 


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนเรื่องปลากระป๋องเน่า ในถุงยังชีพของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ส่งไปให้ชาวตำบลชัยบุรี จังหวัดพัทลุง แม้ตัว รัฐมนตรีว่าการประทรวงการพัฒนาสังคมฯจะลาออกไปแล้ว แต่กรณีดังกล่าวก็ยังคงเป็นปริศนารอวันคลี่ปมให้กระจ่างถึงความเป็นมาของถุง ยังชีพนั้น ในวันเดียวกัน เวลา 14.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 10 ก.พ.นี้ จะเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นเรื่องสอบสวนกรณีมีปลากระป๋องไร้คุณภาพ และข้าวสารมีมอดขึ้น ที่ ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ตามโครงการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มทั่วประเทศ ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งวันนี้ชาวบ้านได้นำสิ่งของมาคืนบ้างแล้ว และฝ่ายค้านได้ส่งเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ เพราะหลังจากที่เรื่องแดงขึ้นมาได้มีการสั่งให้ ส.ส นักการเมือง ท้องถิ่นรีบกลบข่าว กลัวซ้ำรอยปลากระป๋องเน่า ที่ จ.พัทลุง แต่ตอนนี้กลิ่นเน่ามันกระจายไปทั่วแล้ว ช้างตาย ทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิด โดยฝ่ายค้านจะติดตามตรวจสอบเอาผิดเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจนถึง ตัวรัฐมนตรี


 


 






ต่างประเทศ


 


คาสโตรเตือน "โอบามา" ไม่อาจกู้ทุนนิยมมะกัน


ASTV ผู้จัดการรายวัน - ฟิเดล คาสโตร อดีตประธานาธิบดีคิวบาเขียนบทความวิจารณ์บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่และทีมงานของเขาเมื่อวันอาทิตย์ (8 ก.พ.) โดยบอกว่า พวกเขาไม่สามารถจะกอบกู้ระบบทุนนิยมกลับคืนดังเดิมได้ ทั้งนี้ในเวลานี้โอบามากำลังพยายามผลักดันให้รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติแผนกระตุ้นมูลค่ามหาศาลเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจของประเทศซึ่งซวดเซอย่างหนัก


 


"โอบามา, ราห์ม เอมานูเอล (ประธานเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว) ตลอดจนบรรดานักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองระดับหัวกะทิทั้งหลายที่พวกเขารวบรวมมานั้น ยังไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ซึ่งพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมทุนนิยมสหรัฐฯ" คาสโตรกล่าวในบทความล่าสุดซึ่งในเผยแพร่ทางสำนักข่าวแห่งชาติของคิวบา


 


ฟิเดลวัย 82 ปี กล่าววิจารณ์ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่มากยิ่งขึ้น แม้เขาจะเคยออกมาแสดงความยินดีหลังจากโอบามาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา (4 ก.พ.)


 


ในเวลาเดียวกับที่โอบามาพยายามอย่างหนักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเร่งผลักดันให้รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาสโตรวิจารณ์ว่า การกอบกู้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะต้องพึ่งพาการสนับสนุนของทั้งโลก


 


คาสโตรชี้ว่า สหรัฐฯนั้นต้องอาศัยให้ประเทศอื่นๆ เป็นผู้ชำระค่าความสูญเปล่าอันมหาศาลที่เกิดจากระบบการเงินของสหรัฐฯ และพิภพซึ่งมีมลพิษมากขึ้นทุกทีแห่งนี้ ก็ถูกบังคับให้ถือเป็นความสำคัญลำดับแรกที่จะต้องค้ำประกันให้คนอเมริกันมีงานทำ ตลอดจนค้ำประกันผลกำไรของพวกบรรษัทนานาชาติรายใหญ่ของสหรัฐฯ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net