Skip to main content
sharethis

 






การเมือง


 


พบนายทหารปลอมเอกสารยักยอกบุหรี่หลวงขาย สอบแล้วผิด แต่ยังไม่ถูกลงโทษ


มติชนออนไลน์ - รายงานข่าวจากกระทรวงกลาโหมแจ้งว่า ขณะนี้ได้เกิดพฤติกรรมผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงกลาโหมส่อปกป้องการทุจริต ของนายทหารที่มีอำนาจปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบปลอมแปลงและใช้เอกสารทางราชการเพื่อขอการสนับ สนุนบริจาคบุหรี่จำนวนมากรวม 100 หีบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านบาท จากโรงงานยาสูบ อ้างว่าจะนำไปจัดมอบให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ปรากฏว่าเมื่อได้รับการสนับสนุนตามร้องขอกลับนำไปเก็บไว้ในบ้านพัก ของอดีตนายทหารเกษียณราชการก่อนจะนำไปจัดจำหน่ายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียง เหนือและภาคใต้


 


ข่าวแจ้งว่า กองทัพเคยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวจนพบข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 "พ.อ." นายทหารศูนย์ปฏิบัติการพิเศษกองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้จัดทำหนังสือราชการถึงผู้อำนวยการยาสูบ โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง เพื่อขอรับการสนับสนุนบุหรี่ให้กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในสนาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย บุหรี่กรองทิพย์ 90 จำนวน 100 หีบ และบุหรี่สายฝน จำนวน 100 หีบ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กำลังพล หนังสือดังกล่าวประทับตราครุฑ ระบุเลขหนังสือที่ กห.0407.29/9 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 ออกโดยค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ชื่อหน่วยงานที่ร้องขอ คือ สำนักงานแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งหน่วยงานและตำแหน่งดังกล่าวไม่มีในส่วนราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อมาโรงงานยาสูบได้ตอบกลับและระบุให้การสนับสนุนตามที่ร้องขอได้เพียง 100 หีบเท่านั้น แบ่งเป็นบุหรี่กรองทิพย์ 90 จำนวน 20 หีบ สายฝน จำนวน 30 หีบ WONDER อเมริกัน จำนวน 20 หีบ WONDER เมนทอล จำนวน 20 หีบ และกรองทิพย์ เดอลุกซ์ จำนวน 10 หีบ


 


ข่าวแจ้งต่อไปว่า ในวันที่ 27 สิงหาคม 2551 พ.อ.คนดังกล่าวยังได้ออกหนังสือราชการลงวันที่ 25 สิงหาคม 2551 มอบอำนาจให้ พ.อ.อีกคนหนึ่งเป็นตัวแทนมารับมอบ โดยมีนางชื่นใจ ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายตลาด เป็นผู้แทนส่งมอบ ให้เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2551 อย่างไรก็ดี บุหรี่ทั้งหมดไม่ได้มีการนำมอบให้กำลังพลในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ขนลำเลียงมาพักไว้ที่บ้านพัก "พล.ท." เกษียณอายุราชการคนหนึ่งก่อนนำไปขาย การขนส่งลำเลียงบุหรี่ทั้งหมดใช้รถบรรทุกของมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ขนลำเลียง


 


"เรื่องนี้ถูกเปิดเผยเมื่อโรงงานยาสูบนำภาพบันทึกการส่งมอบบุหรี่ ระหว่างนางชื่นใจ ตัวแทนโรงงานยาสูบ กับ พ.อ.ผู้รับมอบแทนผ่านหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2551 เพื่อประชาสัมพันธ์โรงงานที่ให้การสนับสนุนกำลังพลในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าจึงได้รู้ว่าเกิดการแอบอ้างชื่อหน่วยงานขอสนับสนุน จึงทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงให้โรงงานยาสูบทราบ" รายงานข่าวระบุ


 


ข่าวแจ้งอีกว่า ต่อมา พล.ต.สุกิตติวัฐ เรี่ยมประเสริฐ หัวหน้าสำนักงานสนับสนุนทางเทคนิคการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษกองทัพบก ทำหนังสือ ที่ กห.0407.41/149 ลงวันที่ 5 กันยายน 2551 ถึงผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ชี้แจงข้อเท็จจริง และแจ้งว่า จากการตรวจสอบไม่มีหน่วยงานที่ขอบุหรี่นี้ในกองทัพบก นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้ายังได้ทำรายงานถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และมีมติว่าการกระทำของ พ.อ.คนดังกล่าวมีความผิดฐานปลอมแปลงและใช้หนังสือราชการ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการเอาผิด เนื่องจาก พล.ท.เจ้าของบ้านพักบุหรี่ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 6 กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พล.อ.อนุพงษ์ ทำให้เรื่องหยุดชะงักไป


 


ข่าวแจ้งว่า ล่าสุด พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกครั้ง โดยมอบหมายให้ น.อ.สมหมาย ศรีทอง รองหัวหน้าแผนกการบังคับใช้กฎหมาย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นผู้รับผิดชอบ และทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ยืนยันไม่มีนโยบายการขอสนับสนุนบุหรี่


 


แหล่งข่าวจากกองทัพบกเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในอดีต พล.ท.คนดังกล่าวร่วมงานกับโรงงานยาสูบมาก่อน ทำให้รู้ช่องทางแสวงประโยชน์ และนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มีการดำเนินการลักษณะดังกล่าวร่วมกับ พ.อ.มาแล้วหลายครั้ง เพื่อนำบุหรี่มาขายต่อในพื้นที่อีสานและภาคใต้บางส่วน แต่ครั้งนี้โรงงานยาสูบมีหลักฐานชัดเจน ทั้งบันทึกระหว่างการส่งมอบและภาพถ่ายระหว่างการขนส่งลำเลียง


 


 


"ต่อพงษ์ เศวตามร์" บก.ข่าวบันเทิงASTV ถูกตีหัวเย็บ 5 เข็มเลือดสาด


ASTVผู้จัดการรายวัน - เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายต่อพงษ์ เศวตามร์ อายุ 40 ปี บรรณาธิการข่าวบันเทิง หนังสือพิมพ์ เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน และ เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.กิตติศักดิ์ จันทร์ทอง พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ในสภาพศีรษะมีเลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อ โดยนำเหล็กแป๊ปยาว 1 ฟุต พร้อมทั้งให้การว่าถูกคนร้ายใช้เหล็กแป๊ปดังกล่าวตีที่ศีรษะจนได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลแตกเย็บ 5 เข็ม


 


นายต่อพงษ์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าเวลา 09.45 น.วันเดียวกัน ได้ขับรถยนต์ออกจากบ้านพักย่านเมืองนนท์มาทำงานปกติ โดยนำรถมาจอดที่อาคารสถานีวิทยุคลื่น 97.75 เมกะเฮิรตซ์ ซ.รามบุตรี แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. จากนั้นเดินออกมาตามทางในซอยเพื่อมาเข้าร่วมประชุมที่สำนักงานในเวลา 10.00 น. แต่เมื่อเดินมาถึงร้านขายของชำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารที่จอดรถก็มีของแข็ง มากระแทกที่ศีรษะอย่างแรง โดยตอนแรกคิดว่ามีสิ่งของตกใส่ศีรษะ แต่ช่วงนั้นมีคนตะโกนบอกว่าตนถูกคนร้ายตีศีรษะและกำลังวิ่งหนี จึงหันกลับไปมองเห็นคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นหญิงหรือชายสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ส่วนการแต่งกายตนจำไม่ได้ ต่อมาชาวบ้านแถวนั้นได้นำกระดาษทิชชูมาให้ตนซับเลือดที่ศีรษะ จากนั้นไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล


 


นายต่อพงษ์กล่าวต่อ ว่า ตนได้รับบาดเจ็บเป็นแผลแตกที่ศีรษะด้านขวาจนเลือดอาบ มีแผลยาว 5 เซนติเมตร โดยแพทย์ได้เย็บแผลให้ 5 เข็ม ก่อนแพทย์จะนำตัวไปเอกซเรย์สมองเพื่อดูอาการว่าสมองกระทบกระเทือนหรือไม่ ซึ่งผลการเอกซเรย์เบื้องต้น กระโหลกศีรษะและสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน แพทย์จึงให้รับยาแล้วกลับบ้านได้ ต่อมาได้เข้าแจ้งความดังกล่าว


 


ทั้งนี้ นายต่อพงษ์ เชื่อว่าสาเหตุที่ถูกทำร้ายครั้งนี้น่าจะมาจากการจัดรายการวิทยุคลื่น 97.75 ซึ่งได้พูดวิพากษ์วิจารณ์ถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาตลอด นอกจากนี้ ยังจัดรายการวิจารณ์ข่าวบันเทิงในช่องเอเอสทีวี 3 อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการวิจารณ์ไปกระทบทำให้ผู้เสียประโยชน์เหล่านั้นไม่พอใจ โดยก่อนหน้านี้ "ต้อย แอ็คเน่อร์" ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในวงการบันเทิง ได้ติดต่อผู้บริหารระดับสูงของเอเอสทีวีผู้จัดการ เพื่อให้งดการเสนอข่าวที่มีคดีความเรื่องลวนลามนักศึกษาฝึกงาน แต่ได้เสนอข่าวไปตามหน้าที่สื่อมวลชน จึงอาจสร้างความไม่พอใจให้บุคคลดังกล่าวได้


 


"ปัญหาอาจจะมาจาก คอลัมน์ "ซ้อ 7" ที่วิพากษ์วิจารณ์ดารา เพราะคนเขียนคอลัมน์มีชื่อย่อว่า ต. แต่ไม่ใช่ผม เป็นคนอื่นเขียน แต่พวกดาราหลายคนคิดว่าผมเป็นคนเขียนคอลัมน์นี้ เพราะผมชื่อ ต่อพงษ์ ก็อาจจะไม่พอใจ และก่อนหน้านี้มีดาราพิธีกรชื่อดังทางช่อง 3 โทรมาข่มขู่ว่า รู้นะว่าเป็นคนเขียนคอลัมน์ซ้อ 7 เขาโทรมากว่า 10 ครั้ง เพราะไม่พอใจที่คอลัมน์นี้ไปเขียนหาว่าเขาเป็นเกย์ และยังข่มขู่ผมผ่านสื่ออีกหลายสื่อ" นายต่อพงษ์ กล่าว


 


ด้าน ร.ต.ท.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นสอบปากคำผู้เสียหาย ก่อนจะไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อดูภาพวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุ เพราะอาจจะมีภาพขณะที่คนร้ายก่อเหตุ รวมทั้งจะหาพยานที่เห็นเหตุการณ์เพื่อหาเบาะแสและรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย ขณะเดียวกันจะนำท่อนเหล็กแป๊ปส่งกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจหาลายนิ้วมือคน ร้าย ส่วนดาราที่ผู้เสียหายพาดพิงว่าได้โทรศัพท์ในเชิงข่มขู่นั้น ยังไม่เรียกมาให้ปากคำ เพราะต้องสอบสวนหาประเด็นความขัดแย้งของผู้เสียหายกับคนอื่นๆ ให้แน่ชัดก่อน


 


 


เพื่อไทยมีมติอภิปรายรัฐบาล ชูเฉลิมเป็นนายกฯแทน


เมื่อเวลา 14.30 น. วานนี้ (16 ก.พ.) ได้มีการประชุม ส.ส.พรรค เพื่อไทย มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นประธาน โดยมีวาระสำคัญคือ การพิจารณาการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.ความ ปรองดองแห่งชาติ เข้าสภาฯ ภายหลังการประชุมนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ที่ประชุมพรรคมีมติเอกฉันท์ยื่นญัตติอภิปรายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคนอื่น พร้อมตั้งคณะทำงานดูเนื้อหา ประเด็น ข้อมูล ในการอภิปราย โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน เป็นประธาน และตั้งคณะทำงานทีมคัดสรรบุคคลขึ้นอภิปราย มีนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วม (วิป) ฝ่ายค้าน เป็นประธาน


 


นาย พร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่า การยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรี ต้องยื่นถอดถอนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก่อน และยื่นรายชื่อ ส.ส.ที่เหมาะสมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แนบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ที่ประชุมจึงมีมติให้คณะกรรมการบริหารพรรคไปหารือว่า ส.ส. 187 คนที่มีความเหมาะสมจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี


 


โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ส.ส.ได้หยิบยกประเด็นการเสนอร่างพ.ร.บ.ความปรองดองแห่งชาติ ขึ้นมาหารือ โดย ส.ส.ได้ นำคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภาว่ารัฐบาลจะทำให้สังคมมีความสมานฉันท์ แต่รัฐบาลกลับไม่เดินหน้าที่จะทำให้เกิดความสมานฉันท์ ดังนั้นที่ประชุมจึงไม่ได้มีมติในเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าว่าเป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.ที่เสนอกฎหมายดังกล่างต่อสภาฯได้อยู่ แล้ว ดังนั้นนายประเกียรติ นาสิมมา และนายสุรชัย เบ้าจรรยา ส.ส.สัดส่วน ที่ยกร่างกฎหมายฉบับนี้จะรับหน้าที่ประสานและหารือร่วมส.ส.ฝ่ายค้านและส.ส. พรรคร่วมฐบาลต่อไป คาดว่าจะเสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวในเร็วๆ นี้


 


ด้านนายสุนัย จุลพงษธร ส.ส.สัดส่วน กล่าวภายหลังหารือกับแกนนำของพรรคว่า ทุกคนเห็นด้วยที่จะเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แนบกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐฒนตรี เพราะเป็น ส.ส.หลายสมัย เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง ถือว่ามีความเหมาะสมในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ที่พรรคถูกอำนาจเผด็จการล้มมาแล้ว 2 ครั้ง ผู้สื่อข่าวาถามมีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไฟเขียวให้ ร.ต.อ.เฉลิม ถูกเสนอชื่อแนบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสุนัยตอบว่า ยังไม่ทราบ แต่ถือว่า ร.ต.อ.เฉลิม เหมาะสมที่สุด


 


 


เชียงใหม่วอนวิทยุชุมชนหยุดปลุกระดมสร้างความแตกแยก


ไทยรัฐ - เมื่อวันที่ 15 ก.พ. นายไพโรจน์ แสงภู่วงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็น ประธานในพิธีเปิดการประชุมเสวนาผู้บริหารสถานีวิทยุชุมชนเพื่อความมั่นคง ที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ จ.เชียงใหม่ เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการวิทยุชุมชนในเชียงใหม่ หลังจากที่มีหลายสถานีใช้วิทยุชุมชนปลุกระดมมวลชนสร้างความแตกแยกทางการ เมือง โดยการประชุมดังกล่าวมีผู้ประกอบการวิทยุชุมชนกว่า 200 คนเข้าร่วมประชุม


 


รองผู้ว่าฯเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาวิทยุชมชนอยู่ในภาวะไร้ระเบียบ โดยได้เน้นย้ำให้ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่หมิ่นสถาบัน ไม่หมิ่นประมาทบุคคลที่สาม ไม่ให้ข่าวเท็จ ไม่ยุยงปลุกระดมให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ โดยได้เสนอให้มีการจัดตั้งเป็นชมรมเพื่อการควบคุมกันเองเบื้องต้นและเสนอ สิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนและแก้ไข


 


รองผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ยังกล่าวด้วยว่า ต่อแต่นี้จะใช้มาตรการทางกฎหมายมาบังคับโดยไม่มีข้อยกเว้น ในกรณีที่สถานีบางแห่งปล่อยให้ผู้ดำเนินรายการกล่าวปลุกระดมมวลชนให้เกิด ความแตกแยก


 


 






เศรษฐกิจ


 


"อภิสิทธิ์" มั่นใจใช้ยาแก้เศรษฐกิจถูกทางดันจีดีพีปีนี้เป็นบวกได้


คมชัดลึก - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา "ฟื้นเศรษฐกิจไทย ใต้เงาวิกฤติเศรษฐกิจโลก" ซึ่งจัดโดยเครือเนชั่น ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ว่า วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แตกต่างจากวิกฤติที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 ตรงที่ไม่ได้เกิดจากปัญหาในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจของไทยยังมีพื้นฐานที่ดี แต่ได้รับผลกระทบด้วยเนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก โดยสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่คือ การประคองเศรษฐกิจให้อยู่รอดต่อไปได้ แต่ก็จะไม่ให้เสียวิสัยทัศน์ในการวางแผนอนาคต และรูปแบบการทำงาน


 


"มาตรการต่างๆ ที่ออกมา เพื่อประคองเศรษฐกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก รัฐบาลก็ยังมีมาตรการสำรองคือเงินกู้จากต่างประเทศเข้ามา เพื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าอัตราการเติบโตของประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ อาจจะยังติดลบต่อเนื่องจากไตรมาสสี่ปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าจะน้อยกว่า ส่วนไตรมาสสองจะพยายามไม่ให้ติดลบอีกหรือให้ลบน้อยลงกว่าเดิน จากนั้นเมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้นก็คาดว่าในช่วงไตรมาส 3-4 จีดีพีของไทยน่าจะเป็นบวกได้" นายอภิสิทธิ์กล่าว


 


นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า รัฐบาลดำเนินมาตรการด้านการคลังควบคู่ไปกับด้านการเงิน ซึ่งการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือว่ามีความชัดเจนและยังคงความเป็นอิสระ แต่ก็ถือว่ามองไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาลในเรื่องการดูแลเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ผ่านมาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งจะมีการรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนให้รัฐบาล


 


นอกจากนี้ มาตรการระยะยาวที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยใน อนาคตจะมุ่งไปที่การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรของประเทศทางหนึ่ง ตลอดจนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยเน้นไปที่พลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนภาคการบริการที่นอกเหนือจากการท่องเที่ยว เพราะถือว่าในช่วง 10 ปีทีผ่านมาไม่มีการเติบโตเลย ซึ่งการสนับสนุนภาคบริการนี้จะเป็นการลดกฎระเบียบบางอย่างลง และจะเน้นอุตสาหกรรมที่เป็นฐานความรู้และสร้างสรรค์ ซึ่งภาครัฐจะมีการกำหนดกรอบการลงทุนคราวๆ ร่วมกับภาคเอกชนด้วย


 


นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาเร่งด่วนและปัญหาระยะสั้นเพื่อประคับประคอง เศรษฐกิจให้สามารถอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากออกมาตรการระยะสั้นไปแล้วอีก 1-2 เดือนรัฐบาลจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาระยะกลางตามออกมาด้วยเพื่อดูแลแก้ปัญหา เศรษฐกิจให้ฟื้นตัว


 


ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะจบเมื่อไหร่และลงลึก ระดับไหน เพราะจากปัจจัยต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นและเห็นชัดเจนนั้น บางส่วนก็ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องปรับเปลี่ยนและออกมาตรการให้ทันสถานการณ์ โดยมี 5 ประเด็นที่ยังมีความกังวลและจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย


 


ประการแรก ภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งคาดว่า ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรืออีกประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากเป็นจริงก็จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสถาบันการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันตก ประการที่ 2 เสถียรภาพทางการเงิน โดยพบว่า บัญชีงบดุลของผู้ประกอบการในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และ ปริมาณเงินของผู้ประกอบการต่างๆ ก็ลดลง น่าจะเป็นปัญหาต่อภาคเศรษฐกิจในอนาคต


 


ประการที่ 3 คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยหลังจากที่มีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินเป็นจำนวนมหาศาล ก็คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะทำให้เงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงิน สกุลอื่น ประการที่ 4 คือ มีความกังวลเกี่ยวกับการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฏเชิงนโยบายว่าจะมีแนวทางอย่างไร สำหรับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก และประการที่ 5 แนวคิดเดิมที่คิดว่า ประเทศที่มีปัญหาจะพึ่งพาประเทศจีนได้ แต่ขณะนี้ พบว่าไม่สามารถพึ่งพาได้ เพราะจีนเองก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจเช่นกัน


 


นายกรณ์กล่าวว่า เมื่อรับรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายที่เหมาะสม โดยการพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะเดียวกันมีคำถามเกิดขึ้นว่าทำไมรัฐต้องกระตุ้นการจับจ่ายมากกว่าที่จะ ปล่อยให้ปัญหาทุกอย่างเป็นไปตามครรลอง ซึ่งตนเห็นว่าหากจะปล่อยให้ปัญหาถูกแก้ไขไปตามกลไกของเวลา อาจจะทำให้ปัญหาทวีคูณและขยายวงกว้างมากกว่าที่จะเป็น


 


นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เข้าสู่ ระบบโดยเร็ว โดยเฉพาะงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจและบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจ รวมถึง การเร่งรัดเงินค้างท่อที่มีอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งนี้ ได้หารือกันว่า หากหน่วยงานราชการใดเบิกจ่ายงบประมาณไม่ทันภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ก็จะมีการตัดงบประมาณส่วนนั้นออกไป เพราะถ้าต้องมีการตั้งงบเหลื่อมปี ก็จะกระทบต่อการบริหารเงินงบประมาณปีถัดไป อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุน โดยเฉพาะในภาคส่วนของรัฐวิสาหกิจ เชื่อว่าจะเบิกได้ไม่ต่ำกว่า 90% ในปีนี้


 


ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด กล่าวว่า การใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลส่งผลให้ภาระหนี้สินต่อจีดีพีเพิ่มขึ้น อย่างมาก ในช่วง 2-3 ปีนี้หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น หรือมีการเติบโตในระดับ 2% ต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดปัญหา ดังนั้น การใช้เงินในปัจจุบันต้องทำให้เกิดการงอกเงยในอนาคตได้ และช่วยผลักดันจีดีพีให้โตได้ในระดับ 3-4% โดยควรจะเริ่มเห็นจีดีพีที่ 4% ในปี 2554 เพราะหากจีดียังขยายตัวต่ำก็แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาหรือการใช้เงินไม่ ได้ผล


 


อย่างไรก็ตาม หากมองในภาวะที่แย่ที่สุดคาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ เนื่องจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคมที่การว่างงานของภาคเกษตรกรจะมีถึง 2 ล้านกว่าคน แม้จะเป็นตัวเลขการว่างงานตามฤดูกาล แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้ในจำนวนแรงงานดังกล่าวนี้มี 1 ล้านคนที่จะเข้ามาหางานในเมืองทำ ซึ่งพวกเขาจะหางานทำได้หรือไม่ในช่วงที่ภาวะการว่างงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้นประกอบกับมีแรงงานใหม่เพิ่มเข้ามาอีก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไตรมาส 4 ของปีหวังว่าราคาสินค้าเกษตรน่าจะดีขึ้น ซึ่งจะพอเยียวยาได้บ้าง


 


นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จากการทำวิจัยพบว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นขณะนี้น่าจะกินเวลายาว 1ปี 9 เดือน จึงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกว่าจะฟื้นตัวคงใช้เวลานานกว่า 2 ปี และส่งผลให้รายได้ต่อหัวของประชากรลดลง 9% จึงเห็นว่ารัฐบาลต้องเตรียมมาตรการรองรับการแก้ปัญหาไว้ในระยะ 2-3 ปี ไม่ใช่ทำปีเดียวและควรวางแผนระยะยาวไม่ใช่ทำแบบปีต่อปี เหมือนในต่างประเทศ เช่น สหรัฐทำแผนแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไว้ 2 ปี ออสเตรเลียทำแผนระยะ 5 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน


 


"รัฐบาลไม่ควรออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบปีต่อปี ควรทำแผนระยะยาวเพื่อให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมองการณ์ไกล รวมทั้งการหาเงินมาใช้ซึ่งการก่อหนี้ตอนนี้มองว่ายังไม่เป็นปัญหา เพราะใน 3-4 ปีข้างหน้าเมื่อรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีก็จะปรับลดลง ได้" นายนิพนธ์ กล่าว


 


ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำนอกเหนือจากการบอกความจริงให้ประชาชนรับรู้ คือรัฐบาลจะต้องจัดการความคาดหวังของคน ซึ่งในช่วงวิกฤติถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนปรับตัว โดยรัฐบาลควรดำเนินนโยบายของการแก้ปัญหา 6 กรอบ ได้แก่ 1.การกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์ซึ่งนอกเหนือจากการให้เงินคนจนแล้ว รัฐบาลยังต้องหาวิธีทำให้คนรวยเอาเงินที่มีออกมาใช้จ่ายด้วย 2.นโยบายบางอย่างก็ควรจำกัดเวลาในการใช้นโยบาย เช่น การจ่ายเงิน 2,000 บาทก็ต้องจำกัดระยะเวลาใช้เงิน เพื่อให้สามารถเอาเงินที่เหลือไปใช้อย่างอื่นได้ 3.การใช้นโยบายการเงินการคลัง ที่ควรมีความสอดคล้องกัน


 


4.ประเทศไทยยังต้องร่วมกันทำงานกับกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อส่ง สัญญาณร่วมกันไปยังประเทศอื่น 5.การวางแผนรับมือกับนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐฯ ที่อาจจะมีมากขึ้น 6.ทั้งรัฐบาลต้องพยายามใช้ความสามารถของบริษัทใหญ่ๆ ให้เป็นศูนย์กลางในการทำไทยและภูมิภาคเข้มแข็ง


 


"วันที่ทั้งโลกฟื้นตัวขึ้นได้แล้ว เราควรรู้ว่าเราจะอยู่ตรงไหน ต้องใช้ความสามารถเอกชน และสถาบันการศึกษา สมาคมต่างๆ ช่วยกันเตรียมความพร้อม เพื่อให้เวลาที่ทั้งโลกฟื้นขึ้นมาแล้ว ความสามารถของไทยจะแซงหน้าประเทศอื่นได้" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว


 


 


เกษตรฯ รับหารือบริษัทเอกชน รับซื้อน้ำนมดิบล้น


ไทยรัฐ - วันนี้ (16 ก.พ.) นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงการประชุมแนวทางการแก้ปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดว่า จากที่กลุ่มเกษตรกรซึ่งนำโดยนายชเวงศักดิ์ สงวนวงศ์วิจิตร รองประธานชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทยจำกัด ได้นำกลุ่มตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือขอให้แก้ปัญหา น้ำนมดิบล้นตลาดว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ นายเฉลิมพร พิรุณสาร รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ประชุมร่วมกับนายยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมด้วยนางรัตนา อังศุภากร ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) และตัวแทนเกษตรกรทั้งหมด โดยที่ประชุมมีมติที่จะให้มีการสำรวจปริมาณน้ำนมดิบในแต่ละสหกรณ์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนโดยให้แต่ละสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รายงานปริมาณน้ำนมที่ล้นตลาดมายัง อสค. เพื่อที่จะเข้าไปดำเนินการในการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร ซึ่งหากเกินกว่าปริมาณที่ทาง อสค. รับได้ จะได้ประสานกับบริษัทเอกชนเข้าไปรับซื้อจากกลุ่มเกษตรกร


 


"จากการสำรวจปริมาณตัวเลขที่มีการล้นตลาดอยู่ในขณะนี้ เชื่อว่าตัวเลขน่าจะไม่เกิน 200 ตัน จากเดิมเกษตรกรแจ้งว่าน้ำนมดิบที่ล้นตลาดมีประมาณ 2,600 ตัน จากการสำรวจศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบจาก 150 แห่งทั่วประเทศ พบว่า มีปริมาณอยู่ที่ 2,352 ตัน ซึ่งจากการบริการการจัดการของภาครัฐสามารถบริหารการจัดการได้ 2,100 ตัน ซึ่งเชื่อว่าปริมาณน้ำนมดิบที่เหลืออยู่น่าจะไม่เกิน 200 ตัน" รมว.เกษตรฯ กล่าว


 


นายธีระ กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาจัดสรร ให้มีการรับซื้อน้ำนมกับเกษตรกรโดยเร็ว ในส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว จะประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสารธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อที่จะวางมาตรการในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป โดยแนวทางเบื้องต้น จะมีการสำรวจปริมาณที่แท้จริง ของจำนวนเกษตรกรและปริมาณน้ำนมทั่วประเทศ เพื่อที่จะวางแผนการบริหารการจัดการนมให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังมีมาตรการที่จะส่งเสริมให้มีการติดฉลากที่มาของนม เพื่อให้เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคว่า ที่มาของผลิตภัณฑ์นมมาจากนมผง หรือ นมสด ขณะเดียวกันยังมีมาตรการในการที่จะตรวจเข้มนมในโครงการนมโรงเรียน โดยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการนำนมผงมาละลายน้ำ


 


สำหรับปัญหานมโรงเรียนที่มีปัญหา โดยเฉพาะจังหวัดราชบุรี และชุมพร รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ส่งตัวอย่างให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบ ซึ่งหากพบการกระทำผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


 


ขณะที่นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า  เบื้อง ต้นได้สั่งการให้ทาง อสค. เปิดเป็นศูนย์รับแจ้งจากเกษตรกร เพื่อที่จะเป็นการรวบรวมปริมาณน้ำนมดิบที่ล้นตลาดให้ชัดเจน พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการร่วมกัน เพื่อที่จะมีการจัดสรรให้บริษัทเอกชนกลุ่มผู้ผลิตนมที่เป็นเครือข่ายของ อสค. ได้มีการแจ้งให้กับเกษตรกรนำนมไปจำหน่ายให้กับกลุ่มบริษัทดังกล่าว โดยคาดว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นมีโควต้าโดยรวมที่จะเข้าไปรับซื้อน้ำนมดิบ จากเกษตรกรที่ล้นตลาดเพียงพอ ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มบริษัทเอกชนที่ได้เข้าร่วมกับ อสค. สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ปริมาณกว่า 200 ตัน


 


ส่วนนายชเวงศักดิ์ สงวนวิจิตร กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า เบื้องต้นเกษตรกรยอมรับในมาตรการดังกล่าว ซึ่งในกลุ่มเกษตรกรทั้งหมดจะเร่งรัดแจ้งถึงปริมาณน้ำนมที่ล้นตลาดในแต่ละ กลุ่ม เพื่อที่จะให้ อสค. จัดสรรบริษัทที่ใกล้กลุ่มเกษตรกรมากที่สุด เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรสามารส่งน้ำนมดิบได้ใกล้ โดยมาตรการที่มีการหารือร่วมกันน่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาของเกษตรกรได้ 


 


 






คุณภาพชีวิต


 


เรียนฟรี 15 ปีตำราให้โรงเรียนจัดซื้อแจกเงินให้ผู้ปกครองซื้อชุด-อุปกรณ์


คมชัดลึก - "จุรินทร์" สรุป เรียนฟรี15 ปีรัฐบาลโอนงบให้ร.ร.ให้ผู้ปกครองไปเบิกเงินมาช็อปปิ้งชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนฟรีเองตามความพอใจส่วนตำราเรียนให้ ร.ร.ซื้อเองจุรินทร์ แจงซับซ้อนน้อยสุดพร้อมสั่งหาวิธีสกัดผู้ปกครองนำเงินไปใช้เรื่องอื่น ส่วนเงินช่วยค่าครองชีพ 2,000 บาท กรอ.เตรียมสรุปวิธีจ่าย 18 ก.พ.นี้


 


นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังหารือ กับผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อหารือเรื่องนโยบายเรียน ฟรี 15 ปีพร้อมสนับสนุนตำราเรียน อุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน และกิจกรรม พัฒนาผู้เรียนให้นักเรียนด้วย ว่า ที่ประชุมได้หารือเพื่อเลือกวิธีจัดซื้อ และจัดสรรตำราเรียน อุปกรณ์การเรียน และชุดนักเรียนฟรี พร้อมกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนที่เหมาะสมที่สุด และได้ข้อยุติว่า ในส่วนของชุดนักเรียน และ อุปกรณ์การเรียนนั้น กระทรวงศึกษาธิการจะจัดสรรงบประมาณตรงไปยัง โรงเรียน แล้วให้ผู้ปกครองเบิกเงินจากโรงเรียนเพื่อนำไปจัดซื้อชุดนักเรียน รายละ 2 ชุด


 


ทั้งนี้ระดับก่อนประถมจะได้เงินค่าชุดนักเรียนรายละ 300 บาทประถม รายละ 360 บาทม.ต้นรายละ 450 บาทม.ปลายรายละ 500 บาทอาชีวะรายละ 1,000 บาท ส่วนค่าอุปกรณ์การเรียน ระดับก่อนประถมได้รายละ 200 บาทประถมรายละ 390 บาท ม.ต้นรายละ 420 บาทม.ปลายรายละ 460 บาทโดยผู้ปกครองมีสิทธิจะเลือกซื้อชุด นักเรียนของร้านค้าใดก็ได้ หรือจะรวมกลุ่มกันจ้างกลุ่มแม่บ้านในชุมชนตัด เย็บให้ก็ได้ เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์การเรียน ผู้ปกครองจะเลือกซื้ออุปกรณ์ ประเภทใดก็ได้ ไม่มีการบังคับ กระทรวงแค่ให้แนวทาง โดยจัดทำรายการแนะนำ อุปกรณ์ที่ควรซื้อ โดยจะแบ่งจ่าย 2 ครั้ง


 


ส่วนตำราเรียนฟรีนั้น กระทรวงศึกษาธิการจะโอนเงินไปให้โรงเรียน ดำเนินการจัดซื้อตำราเรียนเอง ตามวงเงินที่ได้รับ คือ ก่อนประถม 200 บาทต่อ คนประถม 433 บาทม.ต้น669 บาทม.ปลาย897 บาทรวมทั้งจะโอนงบประมาณกิจกรรมพัฒนา คุณภาพผู้เรียนในวงเงินหัวละ 430 บาท สำหรับระดับก่อนประถม ประถม หัว ละ 480 บาท ม.ต้น880 บาท และ ม.ปลาย950 บาท เพื่อให้โรงเรียนไป ดำเนินการจัดกิจกรรม4 ประเภทคือ กิจกรรมวิชาการ กิจกรรมพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม เช่น ลูกเสือ-เนตรนารียุวกาชาด กิจกรรมทัศนศึกษานอกสถาน ศึกษา และกิจกรรมให้บริการไอซีทีและคอมพิวเตอร์แก่นักเรียน เพิ่มเติมจาก หลักสูตรปกติไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อคนต่อปีอย่างไรก็ตาม การดำเนินการจัด ซื้อตำราเรียนและจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน นั้นโรงเรียนต้องให้ ภาคี 4 ฝ่ายคือ ผู้ปกครอง ครู คณะกรรมการนักเรียน ตัวแทนชุมชุน มีส่วนในการ ตัดสินใจร่วมกับกรรมการสถานศึกษาด้วย


 


ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันและสุดท้ายตัดสินใจเลือกวิธีจัดงบตรงไปให้ โรงเรียน แล้วให้ผู้ปกครองเบิกเงินไปซื้อชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนเองตาม ความประสงค์เพราะเห็นว่าวิธีนี้ซับซ้อนน้อยกว่าใช้ระบบคูปอง ส่วนที่กลัว ว่า เมื่อผู้ปกครองรับเงินไปแล้วจะนำเงินไปใช้อย่างอื่น ไม่ซื้อชุดนัก เรียน อุปกรณ์การเรียนให้เด็กนั้นจริงๆ แล้วไม่มีระบบอะไรที่สมบูรณ์แบบร้อย เปอร์เซ็นต์ ถึงให้คูปองผู้ปกครองก็อาจไปตกลงกับร้านค้าขอแลกเป็นเงิน แทน โดยหักส่วนแบ่งให้ร้านค้าก็ได้ รมว.ศึกษาธิการกล่าว


 


อย่างไรก็ตามได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น ฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา(สกอ.) ไปคิดระบบป้องกันเรื่องนี้โดยอาจกำหนดให้ผู้ปกครองต้อง นำใบเสร็จ หรือชุดนักเรียนที่ซื้อ มายืนยันกับโรงเรียน รวมทั้งให้คิดระบบ ติดตาม ตรวจสอบด้วย โดยอาศัยกลไกของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผู้ตรวจ ราชการกระทรวงศึกษาธิการ


 


นอกจากนั้นจะให้มีการรณรงค์ให้นักเรียนที่สามารถช่วยตัวเองได้สละ สิทธิ์ในการรับเงินค่าชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน โดยมีเป้าหมายว่า จะนำ เงินที่เหลือจากการสละสิทธิ์ไปใช้พัฒนาโรงเรียนด้อยโอกาสยากจนทั่ว ประเทศ จากข้อมูลของ สพฐ.พบว่ามีโรงเรียนด้อยโอกาสทั่วประเทศ 600 แห่งเพราะ ฉะนั้น ถ้านักเรียนคนใดสละสิทธิ์ก็เท่ากับมีส่วนช่วยพัฒนาโรงเรียนยากจนใน ชนบท ในส่วนนักเรียนโรงเรียนเอกชนจะได้รับสิทธิของฟรี 4 อย่างเช่นกันและ โรงเรียนเองจะได้รับเงินอุดหนุนรายหัวเพิ่มจาก 60% เป็น70% ในปีการ ศึกษา2552 ด้วย


 


ส่วนปัญหาข้อขัดแย้งการให้เงินช่วยค่าครองชีพจำนวน 2,000 บาทนั้นใน วันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้จะมีความชัดเจนขึ้น โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก รัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 18 กุมภาพันธ์จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่าง ภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ซึ่งจะหยิบยกประเด็นเงินช่วยค่าครองชีพ จำนวน2,000 บาทเข้าหารือว่าจะจ่ายด้วยวิธีการใด ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในลักษณะนี้จะดำเนินการตลอดทั้งปี คาดว่าเงินงบประมาณจะเข้าสู่ระบบได้ ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป เริ่มจากเงินอาสาสมัครประจำหมู่ บ้าน (อสม.) ส่วนเงิน 2,000 บาทและเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุจะดำเนินการได้ใน เดือนเมษายน


 


นายกอร์ปศักดิ์สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแจก เงิน 2,000 บาทให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนจะช่วยเหลือ บรรเทาค่าครองชีพผลกระทบจากเศรษฐกิจได้ถึง 8-9 ล้านคนซึ่งถือเป็นคนส่วนใหญ่ ที่มีรายได้น้อย 7-8 พันบาท ส่วนที่มีเงินมากกว่านี้ถึง 1.5 หมื่นบาท มี ประมาณ 1 ล้านคนเท่านั้น จะใช้วิธีจ่ายเงินแบบไหนจะสรุปวัน ที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับภาคเอกชนให้สนับสนุนและรับ เช็คดังกล่าวแทนเงินสดทั้งในร้านค้าโชห่วย โรงแรม ห้างสรรพสินค้า รวมทั้ง การช่วยเพิ่มมูลค่าเช็ค โดยการให้ส่วนลด เช่น อาจทำให้มูลค่าเช็คเงินสดกลาย เป็น 2,200 บาทซึ่งแนวทางดังกล่าวน่าจะเหมาะสมกว่าการให้เป็นคูปองเหมือน ไต้หวัน เพราะอาจปลอมแปลงง่ายและเอกชนที่รับคูปองไปไม่สามารถนำไปเข้าแบงก์ ได้ 


 


นายกรณ์จาติกวณิช รมว.คลังกล่าวว่า การจ่ายเงิน 2,000 บาทให้ ประชาชนนั้น ยืนยันว่าเงินต้องถึงประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย และสามารถนำไป ใช้ซื้ออะไรก็ได้ หากต้องจ่ายให้เป็นเช็คก็ขอให้เอกชนให้ความร่วมมือในการ รับแทนเงินสดและให้ส่วนลดมากที่สุดด้วย


 


 


สกอ.พร้อมเยียวยา14 นร. ระบบบกพร่องทำชวดเอเน็ต


ไทยรัฐ - นาย สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ว่า ตามที่คณะกรรมการอำนวยการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดำเนินการตรวจสอบกรณีนักเรียนร้องทุกข์ไม่ได้สมัครการทดสอบทางการศึกษาระดับ ชาติขั้นสูง (เอเน็ต) อันมีสาเหตุจากความบกพร่องของระบบ  จากการตรวจสอบเรื่องร้องทุกข์ทั้งหมด เข้าข่าย 14 คน จาก 572 คน  พบ ว่า มีปัญหาบาร์โค้ด ไม่สามารถชำระเงินค่าสมัครได้ ช่วง 2 วันที่ผ่านมา ได้ติดต่อนักเรียนแล้ว ขณะนี้จะตรวจสอบไปที่ธนาคารหรือที่ทำการไปรษณีย์ ว่าในขั้นตอนการชำระเงินของนักเรียนดังกล่าว มีความบกพร่องของระบบหรือเจ้าหน้าที่หรือไม่


 


เลขาธิการ กกอ. กล่าวต่อว่า นักเรียนที่มีปัญหาส่วนใหญ่ เป็นนักเรียนในกรุงเทพมหานคร และมีต่างจังหวัด  1 คน  มีบางคนที่สอบถามไปแล้ว ตามสาขาที่ไปชำระ แต่มีปัญหาจำสาขาธนาคารไม่ได้  ทาง สกอ.ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ คาดว่าจะสรุปผลภายในวันเดียวกันนี้ หากต้องเปิดชำระเงิน ก็จะให้ชำระได้ที่โรงเรียนใกล้เคียง หรือมาที่ สกอ. แต่คงไม่สามารถใช้การจ่ายผ่านธนาคารหรือไปรษณีย์ได้


 


นายสุเมธ  กล่าว ต่อกรณีเครือข่ายต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิการศึกษาเตรียมรวบรวมรายชื่อและ ยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุด ว่า คณะกรรมการฯ ตัดสินใจดีที่สุดแล้ว คือ จะเยียวยาหากพบว่าระบบหรือเจ้าหน้าที่บกพร่อง ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือ ไปรษณีย์ หรือ สกอ.ก็ตาม และ สกอ.พร้อมจะไปชี้แจงต่อศาลปกครองสูงสุด หรือหากมีคำสั่งอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติตาม


 


 






ต่างประเทศ


 


ผู้นำเวเนซุเอลาชนะประชามติแก้รัฐธรรมนูญเปิดทางรั้งอำนาจต่อ


เว็บไซต์คมชัดลึก - (16ก.พ.) คณะกรรมการการเลือกตั้งเวเนซุเอลา ประกาศผลคะแนนการลงประชามติที่นับได้ร้อยละ 94 เมื่อคืนวานนี้ว่า มีเสียงสนับสนุนร้อยละ 54.36 ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกการจำกัดระยะเวลาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งหมดแค่สองสมัย ขณะที่มีเสียงคัดค้านร้อยละ 45.63 การลงประชามติครั้งนี้มีประชาชนแห่ใช้สิทธิกันอย่างมากถึงร้อยละ70


 


ประธานาธิบดีชาเวซ ประกาศต่อหน้าฝูงชนผู้สนับสนุนจากระเบียงของทำเนียบประธานาธิบดีว่าผลประชามติครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความจริงชนะการโกหก เกียรติภูมิของประเทศเป็นฝ่ายชนะ และประตูแห่งอนาคตได้เปิดออกแล้ว


 


ผลประชามติครั้งนี้นับเป็นชัยชนะที่สำคัญของประธานาธิบดีชาเวซ วัย 54 ปีที่จะพ้นวาระในปี2556 และไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งได้อีก หลังจากการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเดียวกันเมื่อปี 2550 ไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนประธานาธิบดีชาเวซหวังที่จะอยู่ในอำนาจได้ต่อไปโดยไม่จำกัด เพื่อหวังปฏิรูปเวเนซุเอลาให้เป็นรัฐสังคมนิยมให้สำเร็จ แต่ฝ่ายต่อต้านเตือนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการบิดเบือนประชาธิปไตย และมองว่าปัจจุบันชาเวซมีอำนาจกว้างขวางมากพออยู่แล้ว โดยควบคุมรายได้จากน้ำมันผ่านบริษัทของรัฐ สามารถคุมเสียงทั้งในรัฐสภาและศาลผ่านผู้สนับสนุนและบุคคลที่เขาแต่งตั้ง


 


นายชาเวซเป็นอดีตนายทหารยศพันเอก เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2542 และประสบความสำเร็จในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปีเดียวกันให้ขยายวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็น 6 ปี และดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้สองสมัย


 


 


โอบามาเลิกแนวคิด"คาร์ ซาร์" ตั้งทีมเฉพาะกิจปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมรถยนต์


ข่าวหุ้น - โอบามาตัดสินใจตั้งทีมเฉพาะกิจของรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมรถยนต์ แทนแนวคิดที่จะตั้ง"คาร์ ซาร์" และแต่งตั้งรัฐมนตรีคลังเป็นผู้ควบคุมเงินกู้ที่จะช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ ในขณะที่ จีเอ็มและไครสเลอร์ครบกำหนดเสนอแผนฟื้นฟูให้รัฐวันนี้


 


เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของของคณะบริหารโอบมามาเปิดเผยว่า ทีมเฉพาะกิจของประธานาธิบดีสหรัฐจะมาจากแผนกต่างๆของกระทรวงการคลัง แรงงาน ขนส่ง พาณิชย์พลังงาน สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ สำนักงานพลังงานและสิ่งแวดล้อมทำเนียบขาว และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม


 


ทิมโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลเงินกู้ที่จะให้แก่บริษัทรถยนต์และเป็นประธานคณะกรรมการระดับสูงร่วมกับลอเรนซ์ ซัมเมอร์สที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว


 


อย่างไรก็ตาม โอบามาได้ยกเลิกแนวคิดที่จะแต่งตั้ง"คาร์ ซาร์"ซึ่งมีอำนาจที่จะจัดการกับการปฏิรูปอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นภาระที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง


 


ยังไม่มีการชี้แจงว่าเมื่อไหร่ที่โอบามาจะเปิดเผยแผนการที่จะช่วยเหลือบริษัทรถยนต์แต่ผู้นำสหรัฐมีกำหนดเดินทางกลับจากชิคาโกไปยังวอชิงตันในวันจันทร์หลังจากที่ได้ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องในวันประธานาธิบดี


 


ทั้งเจเนอรัล มอเตอร์(จีเอ็ม) และไครสเลอร์ต้องเสนอแผนฟื้นฟูกิจการใหม่ในวันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทสมารถเติบโตได้อย่างไรหลังจากที่ได้รับเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 13,400 ล้านดอลลาร์ในช่วงสุดท้ายของคณะบริหารบุช


 


โอบามาได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์สหรัฐฉบับหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลกลางอาจให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทรถยนต์ที่มีปัญหาอีกหากพวกเขาแสดงให้เห็นว่าสามารถโตต่อไปได้ในเชิงการค้าและเตือนให้บริษัทต่างๆเสนอแผนที่ทำได้จริง


 


เจ้าหน้าที่จากคณะบริหารโอบามา คาดว่าบริษัทรถยนต์จะเสนอแผนปรับโครงสร้างตรงเวลา และว่าทีมรัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับบริษัทและผู้ถือหุ้นเพื่อคลี่คลายปัญหาที่ยังคงมีอยู่


 


"เมื่อได้รับแผนฟื้นฟูแล้ว เราจะวิเคราะห์รายงานและจะพบกับบริษัทในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ข้างหน้าเพื่อทำงานร่วมกัน" เจ้าหน้าที่คนเดิม กล่าว


 


นอกจากนี้คาดว่า บริษัทรถยนต์และผู้ถือหุ้นจะมีความก้าวหน้าในการลดหนี้ภายในปลายเดือนนี้ตามเป้าหมายในการปรับโครงสร้างที่กำหนดไว้ในแผน


 


จีเอ็มได้แสดงความยินดีต่อการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่และคาดว่าจะได้พบกับทีมเฉพาะกิจเหล่านี้ในเร็วๆนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับแผนปรับโครงสร้างของจีเอ็ม ส่วนไครสเลอร์ยังไม่ได้ให้ความเห็น


 


จีเอ็มได้เจรจากับสหภาพแรงงานรถยนต์อีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์หลังจากที่การเจรจาได้ล้มลง ในขณะเดียวกันจีเอ็มได้เจรจากับคณะกรรมการของผู้ถือตราสารหนี้เพื่อลดหนี้ของจีเอ็มลงประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์


 


หากจีเอ็มไม่สามารถทำข้อตกลงเพื่อลดหนี้และต้นทุนได้ บริษัทก็จะต้องขอความช่วยเหลือเพิ่มจากคณะบริหารของโอบามา หรือมิฉะชั้นก็ต้องพิจารณาขอล้มละลาย และยังไม่มีความชัดเจนว่า สหภาพและจีเอ็มจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันเส้นตายที่จะต้องยื่นแผนปรับโครงสร้างในวันอังคารนี้หรือไม่


 


สตีฟ แฮร์ริส โฆษกจีเอ็มกล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทจีเอ็มจะประชุมทางโทรศัพท์ในวันจันทร์เพื่อทบทวนร่างแผนปรับโครงสร้างแม้ว่าน่าจะต้องมีการทำงานต่อไปจนกว่าจะถึงเส้นตายในการยื่นแผนฟื้นฟูต่อรัฐบาล


 


ทางด้านวอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่า จีเอ็มจะเสนอทางเลือกสองทางให้กับรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งทั้งสองทางเลือกต้องใช้เงินจำนวนมาก นั่นคือ รับปากที่จะให้เงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อนำไปสนับสนุนการดำเนินงานของจีเอ็ม หรือ เตรียมสนับสนุนทางการเงินตามส่วนหนึ่งของการล้มละลาย


 


ทางเลือกเหล่านี้ถือเป็นสถานการณ์ที่เหมือนหนีเสือปะจระเข้สำหรับสภาคองเกรสและคณะบริหารโอบามา เพราะหากไม่ให้เงินช่วยเหลือเพิ่มแก่จีเอ็มนอกเหนือจากที่ได้ให้ไปแล้ว 13,400 ล้านดอลลาร์ ก็มีความเสี่ยงที่จีเอ็มจะต้องขอการคุ้มครองจากศาลล้มละลาย


 


ผู้เชี่ยวชาญและสมาชิกสภาคองเกรสบางคนกล่าวว่า การปรับโครงสร้างล้มละลายเป็นหนทางที่แน่นอนที่สุดสำหรับจีเอ็มที่จะลดต้นทุนและสามารถเติบโตต่อไปได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net