ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2552





การเมือง

 

"มาร์ค-ปชป." โดดอุ้ม "สถาบันพระปกเกล้า" เป็นเจ้าภาพปฏิรูปการเมือง

เดลินิวส์ - เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่สถาบันพระปกเกล้า มีการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้า โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาสถาบันเป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้พิจารณาถึงการกำหนดแนวทางและรูปแบบการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือขอให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่

 

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า ได้วางกรอบเวลาการทำงานเสนอที่ประชุม คือ 8-3-8 ให้มีคณะกรรมการศึกษาแนวทางปฏิรูปการเมืองทำการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 8 เดือน จากนั้นใช้เวลาอีก 3 เดือนเพื่อให้ได้มาซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 8 เดือน รวมเวลาทั้งสิ้น 19 เดือน

 

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า แถลงผลการประชุมว่า สภาสถาบันมีมติให้สถาบันพระปกเกล้ารับทำการศึกษาเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองการปกครอง วางกรอบการศึกษาไว้คร่าว ๆ คือศึกษาสภาพการณ์อันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการเมืองร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสียในระบบการเมืองและจัดทำข้อเสนอสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองการปกครองโดยความสมานฉันท์และเห็นพ้องต้องกันของสาธารณชน ทั้งนี้จะไม่ใช้คำว่าปฏิรูปการเมือง เพราะหากใช้คำดังกล่าวจะทำให้การศึกษาแคบเกินไปและที่ผ่านมาได้ปฏิรูปการเมืองมาหลายครั้ง จนหลายฝ่ายรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการปฏิรูปแล้ว

 

เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า แถลงต่อว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งนายสุจิต บุญบง  การ ประธานสภาพัฒนาการเมือง ที่มีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ด้านความเป็นกลางมาเป็นประ ธานคณะกรรมการอิสระ เพื่อศึกษา รับฟังความคิดเห็นและเสนอแนะการพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองการปกครอง โดยคณะกรรมการอิสระจะประกอบด้วย ตัวแทนจากทุกภาคส่วน ไม่เกิน 50 คน

 

นายบวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า จะใช้เวลาศึกษาความคิดเห็นให้แล้วเสร็จภายใน 8 เดือนหรือเสร็จสิ้นประมาณเดือน พ.ย. 2552 แบ่ง เป็น 3 ระยะ คือ 1.ศึกษาข้อเสนอแนะและ   รับฟังความเห็นจากผู้นำการเมือง ทั้งจากนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้าน ผู้แทนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้แทนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้แทนศาลและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ บุคคลที่ยอมรับของสังคม ผู้แทนภาคเอกชน และภาคประชาสังคม และรับฟังความเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ 2.จากนั้นนำมาจัดทำเป็นข้อเสนอเบื้องต้นและนำข้อเสนอเบื้องต้นไปรับฟังความเห็นจากกลุ่มต่าง ๆ และจากประชาชนทั้ง 76 จังหวัดอีกครั้ง และ 3.คณะกรรมการอิสระฯ จะนำข้อเสนอต่าง ๆ มาจัดทำเป็นสรุปข้อเสนอสุดท้ายและจัดส่งให้คณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และพิมพ์เผยแพร่ให้ประชาชนทราบ

 

ต่อข้อถามว่า หากตัวแทนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ตอบรับเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการอิสระฯ นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า คงบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าประสานไปแล้วไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วมก็คงต้องเดินหน้าต่อไป ส่วนที่มีเสียงวิจารณ์ว่าสถาบันพระปกเกล้าไม่เป็นกลางนั้น สถาบันพระปกเกล้า ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เป็นธรรมดาที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ขอให้ดูด้วยว่าใครเป็นคนวิจารณ์และวิจารณ์เพื่อประโยชน์อะไรกันแน่ ขั้นตอนต่อจากนี้จะทำหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลไปหารือกับฝ่ายค้านว่ารับข้อเสนอนี้หรือไม่ ถ้ารับก็จะเริ่มแต่งตั้งกรรมการอิสระและดำเนินการต่อไป แต่ถ้าไม่รับทุกอย่างก็จบถือว่ายุติ

 

นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า กล่าวเสริมว่า เบื้องต้นได้วางกรอบคัดเลือกกรรมการอิสระว่าจะต้องมีตัวแทน นปช. พันธมิตรฯ นักการเมือง ที่ประชุมคณบดีคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ 4 ภาค และที่ประชุมอธิการบดีทั้งประเทศ และที่ประชุมอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเอกชน ตัวแทนกองทัพ ตัวแทนท้องถิ่น ตัวแทนภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้า และเอ็นจีโอ แต่จะไม่นำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นเป้าหลัก

 

ขณะที่ นายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง ให้สัมภาษณ์กรณีสภาสถาบันพระปกเกล้ามีมติแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการอิสระ ทำการศึกษาเพื่อพัฒนาประชาธิป ไตยและการเมืองการปกครองว่า ยอมรับว่าหนักใจ เพราะเป็นงานที่หลายคนฝากความหวังไว้ ต้องหาข้อยุติความขัดแย้ง จะพยายามอย่างเต็มที่ และคิดว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะช่วยบ้านเมือง ส่วนผลสำเร็จจะเป็นอย่างไรยังไม่อยากคิด เพราะงานการเมืองต้องแก้ไปเรื่อย ๆ ยืนยันว่าการทำงานครั้งนี้ต้องอิสระ จะมีการเสนอแก้ไขการเมืองให้มีประสิทธิภาพ นักการเมืองต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น

 

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่เป็นตุลาการเสียงข้างน้อยในการพิจารณาคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายสุจิต กล่าวว่า การวินิจฉัยคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการวินิจฉัยบนข้อเท็จจริง ไม่ได้อยู่ในอาณัติของใคร ทุกอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีจิตใจเล่นงานใคร ประเด็นนี้ไม่น่าหยิบยกมาเป็นปัญหา

 

ก่อนหน้านั้น ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการปฏิรูปการเมืองว่า รอฟังมติของคณะกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าที่รับเรื่องนี้ไปแล้ว จากนั้นจะเชิญฝ่ายค้านมาพูดคุยกันอีกครั้ง โดยหลักการจะให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นแกนในการปฏิรูปการเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำโดยลำพัง หรือไม่ฟังใคร เพียงแต่ต้องมีคนที่เป็นหลักในการดำเนินการและได้รับการยอมรับในความเป็นกลาง

 

ส่วนกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เห็น ด้วยนั้น นายกฯ กล่าวว่า เป็นข้อท้วงติงอย่างหนึ่ง เนื่องจากบทเรียนที่ผ่านมา คือ ฟังผู้ปฏิบัติคือนักการเมืองน้อยเกินไป แต่การให้สถาบัน พระปกเกล้าเข้ามาทำไม่ใช่เพื่อความสบายใจของพรรคการเมือง แต่เมื่อทำแล้วจะให้ถูกใจหรือ พอใจทุกคนนั้นเป็นไปไม่ได้ ซึ่งในที่สุดไม่ว่ากระบวนการจะไปอย่างไรถ้ามีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็ต้องกลับมาที่สมาชิกรัฐสภาอยู่ดีn ชี้นักการเมืองเป็นเจ้าภาพไม่ได้

 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในสถาน การณ์อย่างนี้นักการเมืองจะเป็นเจ้าภาพไม่ได้ แต่สามารถที่จะแสดงความเห็น ข้อท้วงติง ในฐานะผู้มีประสบการณ์ได้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าไปมีส่วนร่วม เมื่อถามว่า มีข้อเสนอที่จะให้นายสุจิต บุญบงการ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2540 มาเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีปัญหา แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร

 

ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการจัดการอภิปรายหัวข้อ "ทิศทางพรรคการเมืองไทยภายใต้กฎหมายฉบับปัจจุบัน" นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถึงวันนี้ต้องเดินหน้าปฏิรูปการเมือง และต้องไม่เริ่มว่าจะแก้รัฐธรรมนูญมาตราใด เราต้องเริ่มจากหลักการก่อน และการปฏิรูปครั้งนี้จึงควรมีตัวแทนจากทุกภาคส่วน และต้องมีตัวแทนของนักการเมืองเข้าไปร่วมด้วย ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่านายสุจิตมีความเหมาะสมและน่าจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ เพราะเคยเป็นถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน ผ่านประสบการณ์มามาก

 

พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ว่า การจะให้สถาบันใดศึกษาเรื่องการปฏิรูปการเมืองเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้เกิดวิกฤติ มีการแบ่งสีแบ่งขั้ว ซึ่งเดิมมีแค่ 2 สี คือ แดงกับเหลือง แต่ปัจจุบันนี้มีสีฟ้ามาด้วย ซึ่งการหาทางออกของบ้านเมืองก็ต้องขอความร่วมมือทุกฝ่ายทุกองค์กรที่จะมาหาทางออกให้บ้านเมืองร่วมกัน ทั้งนี้ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

 

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. ให้สัมภาษณ์ว่า สนับสนุนแนวทางที่สถาบันพระปกเกล้ารับเป็นเจ้าภาพการปฏิรูปการเมืองโดยให้นายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง เป็นประธานคณะกรรมการอิสระ เพราะสอดคล้องกับข้อเสนอของ 24 อธิการบดีก่อนหน้านี้ที่เสนอให้ศึกษาประเด็นปัญหาในสังคมการเมืองไทยเป็นลำดับแรก

 

ที่สำนักงานศาลปกครอง นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองว่า การจะปฏิรูปคงต้องทำมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องดูว่าควรแก้โดยวิธีไหน ด้วยใคร อย่างไร ซึ่งยังจะต้องใช้เวลาคิดอีกเยอะ ดังนั้นก่อนอื่นจะต้องศึกษาว่าปัญหาเกิดจากอะไร ส่วนตุลาการภิวัตน์ที่มีส่วนในการแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองนั้น เป็นการใช้หลักกฎหมายตีความเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพียงแต่คดีที่เกิดขึ้นมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และข้าราชการ ตกเป็นจำเลยเท่านั้น

 

เมื่อถามถึง กรณีหลายฝ่ายรณรงค์เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากเห็นว่ามีการนำบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรมนั้น ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องศึกษาอย่างละเอียดว่าปัญหาอยู่ที่เนื้อหาของกฎหมายหรือการบังคับใช้ของรัฐ แล้วแก้ไขปรับปรุงตรงนั้น แต่ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์จนมั่วไปหมด ทำให้เป็นปัญหาทางการเมือง จนไม่มีหลักวิชาการหลักกฎหมาย จนลืมไปว่า ที่มาและการบังคับใช้กฎหมายของแต่ละประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีความแตกต่างกัน

 

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มองว่าการเสนอเรื่องการปฏิรูปการเมืองจะเป็นความตั้งใจยื้อเวลาของรัฐบาล เพราะเชื่อว่ารัฐบาลก็อยากได้ระบบการเมืองที่ดีเทียบเท่าประเทศอื่น และถ้ามี การปรับปรุงรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ดีขึ้น เช่น การยุบพรรคทำได้ยากขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ส่วนจะมีการนิรโทษกรรมผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองด้วยหรือ ไม่ ต้องถามฝ่ายนิติบัญญัติว่าเห็นควรหรือไม่

 

"ถ้าเห็นประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ต้องถามประชาชนก่อนว่าควรมีการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ หรือควรมีการเมืองใหม่อย่างไร โดยวิธีการทำประชาพิจารณ์ เพราะขณะนี้เราก็มีกฎหมายแล้ว รวมทั้งควรถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่จะดำเนินการโดยไม่ถามใครเลย" กกต.รายนี้ กล่าวและว่า ความจริงนอกจากสถาบันพระปกเกล้าแล้ว ยังมีอีกหลายองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือจึงน่าจะร่วมกันทำงานดีกว่า

 

นางสดศรี ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธ มิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะจัดตั้งพรรคการเมืองว่า สามารถทำได้ถ้าเป็นคนไทย 15 คนก็มายื่นจดทะเบียนได้ จากนั้นต้องหา สมาชิกให้ครบ 5 พันคน จัดตั้งสาขาพรรคไม่น้อยกว่า 4 สาขา แต่ถ้าดำเนินการไม่ครบถ้วน กกต. ก็มีสิทธิเสนอนายทะเบียนพรรคการเมืองสั่งยุบเลิกได้

 

กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้นพบว่ามีการจัดตั้งพรรคเทียนแห่งธรรม เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2551 แต่ไม่ทราบ ว่าเป็นพรรคที่พันธมิตรฯ แจ้งจัดตั้งหรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าแกนนำพันธมิตรฯ บางคนจะมีคดีติดตัว แต่ถ้าคดียังไม่ถึงที่สุดและไม่ถูกตัดสินจำคุกก็สามารถจัดตั้งพรรคได้ แต่ผู้ที่มายื่นจดทะเบียนจะต้องไม่ถือหุ้นเคเบิลทีวีหรือเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ "ไม่ว่าจะเสื้อเหลืองเสื้อแดงก็ควรตั้งพรรคและลงสมัครรับเลือกตั้ง ยุติบทบาทการเคลื่อนไหวนอกสภาทั้งหมด แล้ว จะรู้ว่าประชาชนนิยมชมชอบเราแค่ไหน โดยดูได้จากผลการเลือกตั้ง และเมื่อตั้งพรรคแล้วก็ไม่ควร ออกมาเล่นนอกสภาอีก"

 

นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกลุ่มพันธมิตรฯ จะตั้งพรรคการเมืองว่า คงไม่นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมวอร์รูม อย่างไรก็ตามเห็นว่าการที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะจัดตั้งพรรคการเมือง ทำให้ประชาชนได้มีทางเลือกและคงไม่กระทบต่อฐานเสียงของพรรค แม้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้จะชื่นชอบกลุ่มพันธมิตรฯ มากก็ตาม เพราะการเลือกตั้งเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง

 

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองว่า รัฐบาลมีความจริงใจ ไม่มีผลประโยชน์ แอบแฝงที่จะเอื้อประโยชน์เพื่อตัวเอง แต่พยายามให้องค์กรซึ่งเป็นที่เชื่อถือรับเป็นเจ้าภาพ ในที่สุดเห็นว่าสถาบันพระปกเกล้าเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภาและทำหน้าที่ด้านวิชาการ เพื่อการพัฒนาทางการเมือง แต่เมื่อมี ส.ส.บางคนของพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมรับความเป็นกลาง จึงอยากถามว่าจะให้สถาบันใดมาเป็นเจ้าภาพ ถ้าจะให้ถูกใจพรรคเพื่อไทยควรเสนอให้มหาวิทยา ลัยชินวัตรเป็นเจ้าภาพใช่หรือไม่

 

"มาร์ค" จะไปอังกฤษ

เดลินิวส์ - ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายควินตัน เคลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ว่า ได้หารือถึงการที่นายกฯ ของไทยจะเดินทางไปเยือนอังกฤษในวันที่ 12-14 มี.ค. โดยจะมีการหารือกับนายกอร์ดอน บราวน์ นายกฯ อังกฤษ อย่างเป็นทางการถึงความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างกัน รวมถึงความสัมพันธ์ในระดับสถาบันกษัตริย์ที่มีความ ใกล้ชิดกันมาตลอดด้วย โอกาสนี้เจ้าฟ้าชาย แอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ค จะพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่นายอภิสิทธิ์ ที่พระราชวังบัคกิ้งแฮมด้วย

 

ส่วนความสัมพันธ์ทางการค้านั้น อังกฤษ เป็นประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ลงทุนในไทยมากที่สุด เช่น ห้างเทสโก้โลตัสที่ทำให้เกิดการ จ้างงาน 36,000 คน สำหรับการท่องเที่ยว ชาวอังกฤษเข้ามาท่องเที่ยวในไทยปีละประมาณ 1 ล้านคน ขณะที่มีคนไทยเดินทางไปอังกฤษปีละเกือบ 4 หมื่นคน และคนไทยเดินทางไปศึกษาต่อในอังกฤษประมาณ 5 พันคนต่อปี

 

เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ยังหารือกรณีที่นายกฯ ของไทย ในฐานะประธานอาเซียนจะเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาชั้นนำของโลก (จี 20) ระหว่างวันที่ 1-3 เม.ย.นี้ด้วย

 

นายกษิต กล่าวว่า ในการเยือนอังกฤษช่วงแรก นายอภิสิทธิ์จะมีโอกาสพบกับนักธุรกิจและนักการเงินการธนาคาร ซึ่งนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพ และนายอภิสิทธิ์ยังได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ให้กล่าวกับคณาจารย์และนักศึกษาถึงทิศทางของประเทศไทย และยังจะได้พบปะชุมชนชาวไทยและนักเรียนไทยในอังกฤษ จากนั้นจะให้สัมภาษณ์ กับหนังสือพิมพ์อังกฤษ ส่วนในเวทีจี 20 นายอภิสิทธิ์จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายกฯ อังกฤษ โดยนายอภิสิทธิ์จะเน้นไม่ให้มีการกีดกันทางการค้า รวมถึงท่าทีของอาเซียนต่อความเป็นไปในเศรษฐกิจการเงินของโลก

 

"มาร์ค" สวน "แม้ว" ยังไงก็ต้องกู้

ข่าวสด - เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ว่าไม่ได้หารือเรื่องการเมือง แต่หารือเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งทุกคนเป็นห่วงและอยากเร่งงานต่างๆ ให้ออกมาโดยเร็ว ส่วนที่นายบรรหารเป็นห่วงรัฐบาลอาจจัดเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้านั้น การจัดเก็บรายได้เดือนก.พ.คงต่ำกว่าเป้า เนื่องจากการนำเข้าและฐานราคาสินค้าลดลง สถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกจำเป็นต้องกู้เงิน เพื่อรักษาให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ในสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีประเทศไหนเก็บเงินได้ตามเป้า

 

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าเราต้องอยู่กับความจริง และรัฐบาลบอกกับประชาชนมาตลอดว่าสถานการณ์หนักและหนักทั่วโลก เราต้องรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่วนใหญ่เริ่มลงมือได้จริงเดือนก.พ.นี้และอีก 2-3 เดือนจะเห็นผล ขณะนี้ยากที่จะประเมินตัวเลขต่างๆ เพราะยังมีความผันผวน แต่รัฐบาลไม่ประมาทและเตรียมแนวทางแก้ปัญหาตลอด เช่น ขณะนี้มีสัญญาณว่าจะจัดเก็บรายได้ไม่ได้ตามเป้า กระทรวงการคลังต้องเตรียมการไว้แล้ว เร็วๆนี้คงจะมีคำตอบที่ชัดเจน ส่วนการขยายฐานภาษีเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ต้องไม่ใช่การไปจัดเก็บรายได้ที่กระทบกับเศรษฐกิจ ไม่ใช่ว่าเก็บภาษีมาข้างหนึ่งแล้วเอาอีกข้างหนึ่งไปใช้ อย่างนั้นไม่เป็นประโยชน์ แต่ภาษีบางตัวต้องพิจารณา เช่น ภาษีบาปต้องพิจารณาก่อนว่าจะเป็นอย่างไร

 

ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุการตั้งสมมติฐานที่ผิดของรัฐบาลอาจทำให้ชาติล่มจม นายอภิสิทธิ์หัวเราะพร้อมกล่าวว่า เป็นความพยายามที่จะทำให้รู้สึกว่าพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลแล้วต้องกู้เงิน ความจริงพรรคบังเอิญเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในครั้งที่แล้วและครั้งนี้ในภาวะที่เกิดวิกฤตแล้ว จำเป็นต้องรักษาให้เศรษฐกิจเดินได้ ไม่ให้คนตกงาน และเมื่อเศรษฐกิจตกการจัดเก็บรายได้ก็ลำบาก จึงไม่มีสมมติฐานอะไรที่ผิด

 

"จริงอยู่ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กู้เงิน แต่สิ่งที่ท่านทำคือให้ประชาชนกู้เงินมาก รัฐบาลไม่ได้เป็นหนี้เพิ่มแต่ครัวเรือนเป็นหนี้เพิ่มเท่าตัว ขณะนี้ประชาชนเป็นหนี้และลำบากแล้ว รัฐบาลถึงต้องมากู้เงินเพื่อช่วยประชาชน เป็นการช่วยเหลือในนามรัฐบาลและจะแก้ไขปัญหาต่อไป เป็นไปตามแนวทางที่ทั่วโลกใช้บริหารเศรษฐกิจทั้งนั้น" นายอภิสิทธิ์กล่าว

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณระบุด้วยว่าหากเป็นนายกฯจะไม่ใช้วิธีกู้เงินมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์กล่าว "ผมไม่เชื่อ เพราะท่านไม่ได้เก็บเงินไว้ให้พวกผมมีใช้ ไม่เหมือนสมัยที่ท่านเข้ามา" เมื่อถามว่าไม่ว่าใครเป็นนายกฯจะใช้วิธีแก้ไขปัญหานี้เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าถูกต้อง ขณะนี้ไม่มีประเทศไหนไม่ขาดดุลงบประมาณ หากรัฐบาลไหนไม่กล้าจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลมีแต่ทำให้เศรษฐกิจดิ่งลงเหว ดังนั้นจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เอาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังขยายตัวมาเทียบกับสถานการณ์ขณะนี้ที่การค้าลดลงไป 30 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ต้องดูข้อเท็จจริง เชื่อว่าพ.ต.ท. ทักษิณก็ทราบ

 

เมื่อถามว่าจะให้ความมั่นใจอย่างไรว่าประเทศชาติจะไม่ล่มจม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ารัฐบาลทำงานด้วยความระวังและรับผิดชอบ ตัวเลขทุกอย่างจะโปร่งใส เราจะอยู่บนความเป็นจริงและหลักเกณฑ์เรื่องหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณมีมาตรฐานสากลอยู่แล้ว รัฐบาลพยายามดูแลไม่ให้กระทบตรงนั้น ขณะนี้หลายประเทศยอมรับสถานการณ์และบางประเทศมีกฎหมายบังคับว่าหากกู้เงินเกินต้องทำให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติภายในกี่ปี แต่ไทยยังไม่ถึงขั้นนั้นและยังอยู่ในกรอบกฎหมายอยู่

 

ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณย้ำว่าเด็ก 2 คนแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าอยากจะพูดอะไรก็พูดไป แต่สิ่งที่ตนทำนั้นชี้แจงชัดเจนและมั่นใจว่า 2 เดือนกว่าที่ทำงานมาได้แก้ไขและคลี่คลายปัญหาไปหลายอย่าง นอกจากนั้นยังเตรียมพร้อมในหลายเรื่อง ทุกอย่างกาลเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ เมื่อถามว่านักวิชาการหลายคนรวมตัวกัน เช่น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง จะให้มาช่วยงานหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าหลายคนที่พบปะพูดคุยกันก็ให้คำแนะนำรัฐบาล ความจริงตนเป็นคนเปิดกว้างใครมีความคิดอ่านดีๆสามารถเสนอความคิดเห็นมาได้ตลอด และตนอ่านความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากหลายคนอะไรที่เป็นประโยชน์เราก็เอามาใช้

 

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงรัฐบาลไทยและฮ่องกงกำลังบรรลุผลการทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งจะมีผลทำให้นำตัวพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า การแสวงความร่วมมือในลักษณะนี้ เราดำเนินการอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ได้มุ่งเจาะจงคนใดคนหนึ่ง

ปณิธานชี้แจงทำสนธิสัญญากับฮ่องกง อธิบดีอัยการกะให้มีผลบังคับย้อนหลัง

ข่าวสด - นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ และโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าววานนี้ (9 มี.ค.) ถึงการทำข้อตกลงร่วมการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับทางการฮ่องกง ว่าเป็นความร่วมมือตามขั้นตอนปกติของกฎหมายกับประเทศที่ยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อติดตามตัวพ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น แต่เป็นความร่วมมือที่ทำมาต่อเนื่องทุกรัฐบาล เพื่อปราบปรามอาชญากรข้ามชาติและเครือข่ายค้ายาเสพติด เพราะแต่ละปีมีชาวฮ่องกงเดินทางเข้ามาไทยนับหมื่นคน ซึ่งมีอาชญากรปะปนเข้ามาด้วย จึงต้องประสานทำงานร่วมกันเพื่อติดตามตัวบุคคลเหล่านี้กลับไปดำเนินคดี

 

นายปณิธานกล่าวว่า หลังจากรัฐบาลส่งผู้แทนอัยการสูงสุด และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไปประสานงานที่ฮ่องกง ทั้งสองฝ่ายได้ทำงานร่วมกันแต่ต้องใช้เวลาพอสมควร และไม่สามารถระบุได้ว่าใกล้จะบรรลุขอตกลงร่วมกัน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางการฮ่องกง แม้พ.ต.ท.ทักษิณพยายามต่อสู้ว่าเป็นคดีการเมือง แต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยแล้ว รัฐบาลไทยยืนยันว่าเป็นคดีอาญา และได้มอบเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาไทยขอความร่วมมือไปยังหลายประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน เช่น อเมริกา ฝรั่ง เศส อังกฤษ เยอรมัน และอีกหลายประเทศในตะวันออกกลางที่ไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อถามว่าการประสานไปยังประเทศตะวันออกกลางรวมถึงดูไบด้วยหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่ามีหลายประเทศไม่เฉพาะดูไบเท่านั้น

 

นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการประสานงานระหว่างไทยและฮ่องกงเรื่องข้อตกลงสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อนำตัวพ.ต.ท. ทักษิณกลับมาดำเนินคดี ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการร่วมมือกันด้านกฎหมาย ไม่ได้เป็นความจงใจ แต่ทำงานตามหน้าที่

 

นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ กล่าวว่าคณะทำงานร่วมกระทรวงการต่างประเทศและอัยการกำลังเร่งประสานกับทางการฮ่องกง โดยนัดวันเจรจาเรื่องการร่างสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันในเร็วๆนี้ การเร่งเจรจาไม่ได้มุ่งกลั่นแกล้งหรือมีเป้าหมายจับกุมตัวพ.ต.ท. ทักษิณเท่านั้น เพราะรัฐบาลไทยและฮ่องกงเคยประสานงานกันเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว แต่ต้องระงับเพราะมีการแก้กฎหมาย กระทั่งพ.ร.บ.ผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้จึงสามารถประสานความร่วมมือกันได้อีกครั้ง

 

นายศิริศักดิ์กล่าวว่าสาระสำคัญในร่างสนธิสัญญาน่าจะเหมือนกับหลายประเทศที่ไทยเคยทำไว้ อาทิ ความผิดที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้กระทำจะต้องเป็นมูลฐานความผิดที่มีโทษจำคุกทั้ง 2 ประเทศ และหากเป็นคดีการเมืองจะไม่อนุญาตให้ส่งผู้ต้องหาหรือจำเลยกลับประเทศซึ่งเป็นไปตามหลักการสากล ส่วนสนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้ย้อนหลังในการติดตามจับกุมพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น ต้องเจรจาตกลงกับฮ่องกงก่อนว่ากระทำได้หรือไม่ และยังมีอีกหลายประเด็นที่จะเจรจากัน

 

"ถามว่ามีหวังแค่ไหนที่จะได้รับการส่งตัวพ.ต.ท. ทักษิณจากต่างประเทศนั้น คาดหวังยาก การทำงานเรื่องนี้ทำตามขั้นตอนหลักเกณฑ์ และมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆหลายปัจจัย ที่สำคัญสิทธิขาดในการพิจารณาว่าจะส่งตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประเทศที่เราร้องขอ" อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศกล่าว และว่าขณะนี้ไทยมีสนธิสัญญากับหลายประเทศ แต่ไม่สามารถดำเนินงานแบบเชิงรุก โดยประสานกับทุกประเทศที่มีข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปได้ เนื่องจากไม่ทราบที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งของบุคคลที่ต้องการตัว แต่ถ้าอัยการได้ที่อยู่อย่างเป็นทางการแล้ว ประเทศคู่สัญญาจะต้องพิจารณาดำเนินการให้

 

นายศิริศักดิ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณจะไปพูดในงานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของฮ่องกง ตนไม่ได้เดินทางไปด้วย ยอมรับว่ามีคณะทำงานอัยการร่วมเดินทางไปกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจริง แต่ยังไม่ทราบว่าอัยการชุดดังกล่าวทำรายงานผลการตรวจสอบให้คณะทำงานชุดใหญ่ทราบแล้วหรือยัง ส่วนที่มีข่าวว่าพ.ต.ท. ทักษิณเตรียมปาฐกถาผ่านทางวิดีโอลิงก์ไปยังสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮ่องกงนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ

"กรณ์" ยันรัฐบาลมาถูกทางแล้ว

ข่าวสด - เวลา 10.00 น. วานนี้ (9 มี.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เดินทางมายังโรงแรมโกลด์เด้นซิตี้ ต.โคกหม้อ อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อร่วมปาฐกถาพิเศษเรื่องทิศทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยบริเวณด้านหน้าโรงแรมมีกลุ่มเสื้อแดงกว่า 50 คนยืนถือป้ายต่อต้านรัฐบาล เรียกร้องให้นายกฯลาออกหรือยุบสภา พร้อมทั้งนำหุ่นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ออกมาทุบตี มีพล.ต.ต. ชาญเทพ เสสะเวช ผบก.ภ.ราชบุรี นำกำลังตำรวจกว่า 300 นายมาดูแลความปลอดภัย จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงเข้ายื่นหนังสือต่อรมว.คลังก่อนขับรถตระเวนปราศรัยโจมตีรัฐบาลไปรอบเมือง

 

นายกรณ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินโจมตีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า การเสนอความคิดที่หลากหลายเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย หากการพูดเป็นไปเพื่อชี้ปัญหารัฐบาลก็พร้อมน้อมรับ แต่หากมีเจตนาอื่น ผู้พูดต้องพิจารณาตนเองด้วย ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลขณะนี้ไม่ถูกต้องนั้น ยืนยันว่าแนวทางของรัฐบาลไม่ใช่แค่ถูกต้อง แต่เป็นแนวทางเดียวเท่านั้นที่จะรองรับกำลังซื้อในประเทศที่หดหาย รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาใช้งบประมาณเพื่อคงกำลังซื้อในประเทศไว้ เป็นการทำงานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ สำหรับสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไทยจะคลี่คลายลงเมื่อไหร่นั้น ต้องรอให้วิกฤตระดับโลกนิ่งเสียก่อน ต้องใช้เวลาถึงสิ้นปีนี้เพื่อดูว่าถึงตอนนั้นวิกฤตเศรษฐกิจโลกถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง ความชัดเจนจึงจะบอกได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ระหว่างนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเลี้ยงเศรษฐกิจไปก่อน

 

เปิดตัวข้าวสารบรรจุถุง ASTV ตรามือ

ASTVผู้จัดการรายวัน - นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือASTVผู้จัดการ เปิดเผยวานนี้ (9 มี.ค.) ถึงแนวคิดในการทำโครงการข้าวสารบรรจุถุงASTV ตรามือ ว่า โครงการดังกล่าวเกิดมาจากแนวคิดที่ว่า หลังจากที่ASTVเป็นสื่อกลางในการถ่ายถอดการชุมนุมให้แก่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ASTVก็ได้ปรับตัวเองให้เป็นทีวีของประชาชน เป็นสื่อที่รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งคำว่าสื่อที่รับใช้ประชาชนนั้นไม่ใช่แค่การนำเสนอข่าวสารและเรื่องราวที่เป็นสาระประโยชน์เพียงอย่างเดียวแต่ต้องการให้เอเอสทีวีเป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือประชาชนคนไทยด้วยกันเองด้วย

 

"จะเห็นได้ว่าตอนนี้เมืองไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร เราจึงพิจารณาว่าขณะนี้ASTVมีฐานคนดูอยู่ถึง 10 ล้านคนทั่วประเทศ หรือเฉลี่ยประมาณ 2 ล้านกว่าครัวเรือน จึงน่าจะใช้ศักยภาพที่มีอยู่ช่วยเหลือผู้ประกอบการชาวไทยทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางให้สามารถซื้อขายกันภายในประเทศได้มากขึ้นโดยใช้ASTVเป็นสื่อกลาง"

 

โดยที่ผ่านมาASTVได้หารือกับผู้ประกอบการหลายรายซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นภูมิปัญญาไทยและสนใจเข้าร่วมโครงการกับเรา จากการพิจาณาก็เห็นว่าข้าวน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำมาจำหน่ายผ่านASTVเป็นผลิตภัณฑ์แรกเพราะข้าวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งนาย สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เคยพูดถึงเรื่องความสำคัญของข้าวไทย การส่งเสริมการขายข้าวก็เท่ากับสนับสนุนให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น เราจึงเห็นตรงกันว่าจะใช้ASTVเป็นตัวกลางในการจำหน่ายข้าวสารเพื่อให้คนไทยได้บริโภคข้าวคุณภาพดีในราคาถูก ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการ นอกจากนั้นรายได้ส่วนหนึ่งยังนำมาสนับสนุนการดำเนินการของสถานีโทรทัศน์ASTVด้วย

 

"สินค้าที่มาร่วมโครงการกับASTVนั้นก็ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการรายนั้นๆ เหมือนเดิมแต่ใช้ตราสินค้าภายใต้แบรนด์ของASTVอย่างเช่น ข้าวสารที่เรากำลังวางจำหน่ายอยู่ขณะนี้ก็เป็นข้าวของผู้ประกอบการรายย่อยที่ผลิตข้าวสารถุงออกวางขายในตลาดอยู่แล้ว เขาก็มาร่วมกับเราโดยใช้ชื่อว่า "ข้าวASTV ตรามือ" และใช้รูป"มือตบ"เป็นโลโก้ โดยผู้ผลิตได้คัดสรรข้าวที่มีคุณภาพหลายชนิดหลายระดับราคาให้ผู้บริโภคเลือกซื้อหา เพื่อให้คนไทยได้รับประทานข้าวคุณภาพดีในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง"

 

นอกจากนั้นเรายังมีบริการจัดส่งสินค้าให้ถึงบ้านด้วย โดยผู้ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลสามารถโทร.สั่งซื้อได้ที่ call center สั่งแค่ถุงเดียวก็ส่ง หรือถ้าสะดวกจะมาซื้อที่อาคารอนุรักษ์ บ้านเจ้าพระยาก็ได้ ส่วนในต่างจังหวัดนั้นขณะนี้เรากำลังเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศด้วย ซึ่งโครงการข้าวเอเอสทีวีนี้ถือว่าเป็นโครงการนำร่องให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นๆต่อไป ผมเชื่อว่าถ้าทำตรงนี้สำเร็จจะช่วยให้การซื้อขายสินค้าภายในประเทศขยายตัวมากขึ้น ช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีขึ้น ซึ่งเราวางแผนว่าในอนาคตจะขยายชนิดสินค้าให้เพิ่มมากขึ้นโดยจะเจาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก เช่น น้ำดื่ม สบู่ และอาจรวมไปถึงสินค้าบริการ เช่น กรมธรรม์ประกันภัยด้วย" คุณจิตนาถ กล่าว

 

ทั้งนี้ ข้าวASTVตรามือนั้นเป็นข้าวสารบรรจุถุง ขนาด 5 กิโลกรัม ซึ่งมีอยู่ 4 ชนิดด้วยกัน คือ 1) ข้าวขาว 100% ราคาถุงละ 200 บาท 2) ข้าวหอมทิพย์ ราคาถุงละ 200 บาท 3) ข้าวหอมมะลิ ราคาถุงละ 250 บาท และ 4) ข้าวกล้องหอมมะลิ ราคาถุงละ 250 บาท

 

นอกจากการร่วมมือกับผู้ประกอบการในการจำหน่ายสินค้าในนามASTVแล้ว ที่ผ่านมาเอเอสทีวียังได้ทำโครงการธุรกิจเข้มแข็งในเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD Directory) เพื่อให้กลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯลงทะเบียนเป็นฐานข้อมูลซึ่งจะจัดพิมพ์เป็นสมุดปกเหลืองของพันธมิตรและเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนที่เป็นพันธมิตรรับทราบและช่วยสนับสนุนสินค้าและบริการของเครือข่ายพันธมิตรด้วยกันน้อง อีกทั้งเพื่อให้เกิดการสนับสนุนเกื้อกูลกันในกลุ่มธุรกิจที่มีสายการผลิตหรือการบริการที่เชื่อมโยงกัน หรือเกิดการรวมกลุ่มธุรกิจเพื่อนำไปสู่การพัฒนาการผลิตและช่องทางการจำหน่ายต่อไป

 

นอกจากนั้นยังเป็นฐานข้อมูลให้กับชาวพันธมิตรที่มีความรักชาติสามารถสมัครงานในองค์กรธุรกิจที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน และทำให้องค์กรนั้นได้คนที่ดีและมีใจเสียสละมาร่วมงานด้วย โดยผู้ที่ลงทะเบียนนั้นจะนิติบุคคล เจ้าของโรงงาน เจ้าของกิจการขนาดเล็ก หรือร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ไม่มีข้อจำกัด

 

"ในอนาคตเราจะมีสินค้าตราASTVเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีร้านค้าที่เป็นเครือข่ายพันธมิตรฯเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นการที่พันธมิตรฯช่วยกันสนับสนุนสินค้าที่เป็นเครือข่ายพันธมิตรฯด้วยกันเองก็จะช่วยผลักดันให้เกิดธุรกิจที่เข้มแข็ง บางร้านค้าอาจจะสร้างจุดแข็งที่แตกต่างโดยการสั่งสินค้าตราเอเอสทีวีและสินค้าในเครือข่ายพันธมิตรฯไปจำหน่าย ซึ่งแน่นอนว่าพันธมิตรในแต่ละพื้นที่พร้อมจะอุดหนุนอยู่แล้ว แนวทางนี้จะช่วยให้โชห่วยของไทยสู้กับห้างค้าปลีกต่างชาติที่เข้ามาตีตลาดไทยได้

 

จากนี้ไปสังคมพันธมิตรฯจะไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองเท่านั้น แต่จะขยายไปสู่การเกื้อกูลกันทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม จะเกิดเป็นสังคมที่เข้มแข็งทั้งด้านแนวคิดและชีวิตความเป็นอยู่ ถ้าโครงการเหล่านี้สำเร็จก็จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในหมู่พันธมิตรด้วยกัน" นายจิตตนาถกล่าว

 

 





คุณภาพชีวิต

 

ไทยทรานฯ ต่ำสุด 405 ล้าน ติดตั้งระบบรถบีอาร์ที, สายแรกช่องนนทรี-ราชพฤกษ์

เว็บไซต์ไทยรัฐ - นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการสำนักงานวิศวกรรมจราจร สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ สจส. ได้ให้เอกชนยื่นเอกสารประมูลซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งอัจฉริยะและระบบควบคุม (Intelligent Transportion System-ITS) ครั้งที่ 2 ของโครงการระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (บีอาร์ที) สายช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ ระยะทาง 16.6 กิโลเมตร มูลค่า 405 ล้านบาท ซึ่งมีบริษัทที่ผ่านการตรวจคุณสมบัติจำวน 2 ราย ได้แก่ บริษัทสามารถ เทเลคอม จำกัด และบริษัทไทยทรานสมิชชั่น อินดัสทรี จำกัด หลังจากที่ยื่นประมูล 4 ราย และไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ 2 ราย และได้ยื่นอุทธรณ์จนกระทั้งถูกตัดสิทธิ์ ซึ่งในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการเปิดซองประมูลของ 2 บริษัทไปเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทสามารถฯได้เสนอราคา 399,445,000 ล้านบาท และบริษัทไทยทรานฯเสนอราคา 397,500,000 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดในการประมูลครั้งนี้

 

นายอรวิทย์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทไทยทรานฯเสนอราคาต่ำสุดแล้ว สจส.ก็จะตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัทว่าระบบที่บริษัทดำเนินการอยู่นั้นสามารถใช้งานกับระบบของบีอาร์ทีได้หรือไม่ ซึ่งในเบื้องต้นทางบริษัทได้ให้ข้อมูลว่าระบบชองบริษัทนั้นเคยใช้กับระบบของรถไฟฟ้าบีทีเอสมาก่อน จึงไม่น่าจะมีปัญหา โดยคาดว่าน่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบคุณสมบัติระยะประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นจะเสนอผู้บริหารให้ลงนามอนุมัติว่าจ้าง ซึ่งบริษัทก็จะนำแผนการดำเนินงานในโครงการมานำเสนอ หลังจากนั้นก็สามารถเข้าพื้นที่เพื่อปฏิบัติงานได้ทุกที่ โดยจะมีการติดตั้งระบบใน 3 จุด คือที่บริเวณถนน สถานีรถ และศูนย์ควบคุม ซึ่งขณะนี้โครงการนั้นเกือบแล้วเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงเก็บรายละเอียดอีกเพียง 2% เท่านั้น ทั้งนี้ สำหรับการดำเนินการก็จะมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อควบคุมการติดตั้งระบบอีกทอดหนึ่งในวงเงิน 22 ล้านบาท คาดว่าจะได้บริษัทที่ปรึกษาได้พร้อมกับการตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัทติดตั้งระบบ

 

ชง ครม.เพิ่มเงินลงทุนรถไฟฟ้าสีแดง 7.5 หมื่นล้าน

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้.(10 มี.ค.) กระทรวงคมนาคม ได้เสนอให้ ครม.พิจารณาปรับเพิ่มวงเงินลงทุนโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง)ช่วงบางซื่อ-รังสิต จากเดิม 59,888 ล้านบาท เพิ่มเป็น 75,548 ล้านบาท แบ่งเป็น

 

1. การเพิ่มกรอบวงเงินลงทุนโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต วงเงิน 62,745 ล้านบาท

 

2. การเพิ่มเงินในโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เพื่อให้การเดินรถสามารถเชื่อมต่อเป็นระบบเดียวกัน วงเงิน 2,403 ล้านบาท

 

3. การดำเนินกการของรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในการจัดหารถตู้ไหฟ้าเพื่อใช้ในโครงการระบบเดินรถไฟชานเมืองช่วงบางซื่อ-รังสิต และ ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ภายใต้กรอบวงเงิน 10,400 ล้านบาท

 

แหล่งข่าวระบุว่า กระทรวงคมนาคมเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อมาชำระหนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ย และหนี้ค่าเหมาซ่อมพร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงปี 2551 วงเงิน 4,192 ล้านบาท เป้ฯหนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ย 3,073 ล้านบาท และหนี้ค่าเหมาซ่อมพร้อมดอกเบี้ย 1,118 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และกำหนดเงื่อนไขการกู้เงินซึ่งจะทำให้ ขสมก. มีหนี้ระยะยาว เพิ่มจาก 48,870 ล้านบาท เป็น 53,883 ล้านบาท

 

รฟม.ให้คนพิการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินฟรี

เดลินิวส์ - นายเยี่ยมชาย ฉัตรแก้ว รักษาการผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นไป รฟม.จะยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล หรือรถไฟฟ้าใต้ดินแก่คนพิการ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้พิการได้ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน จากเดิมที่ให้ผู้พิการโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินครึ่งราคา โดยผู้พิการที่จะมาใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครจะต้องแสดงบัตรประจำตัวหรือสมุดประจำตัวคนพิการที่ออกให้โดยนายทะเบียนสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่อพนักงานประจำสถานีรถไฟฟ้ามหานครก่อนที่จะใช้บริการ ทั้งนี้ที่ผ่านมา รฟม.ได้ตระหนักและให้ความสำคัญแก่ผู้พิการเป็นอย่างดี โดยได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไว้สำหรับคนพิการ เช่น ที่จอดรถคนพิการทางลาดขึ้น-ลงสำหรับรถเข็นคนพิการ ลิฟต์สำหรับคนพิการทุกสถานี โดยภายในลิฟต์ได้จัดให้มีอักษรเบรลล์สำหรับผู้พิการทางสายตา บริเวณชานพักของบันไดจะมีปุ่มสำหรับคนตาบอด เพื่อให้รู้ว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ต่างระดับ ทางเข้า-ออกพิเศษสำหรับรถเข็นคนพิการที่จะผ่านเข้าไปในระบบรถไฟฟ้า นอกจากนั้นยังได้ติดตั้งไฟหมุนภายในสถานีสำหรับคนหูหนวก กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อให้สามารถรู้สถานการณ์ ส่วนคนตาบอดจะมีเสียงประกาศให้ทราบเช่นเดียวกับผู้โดยสารทั่วไป

 

 





เศรษฐกิจ

 

นายกฯ นัดคลัง-คมนาคม ถกย้ายไปสุวรรณภูมิวันนี้ สหภาพเจ้าจำปีค้าน

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันนี้ (10 มี.ค.) จะหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เกี่ยวกับข้อขัดแย้งเรื่องการยกเลิกใช้สนาม บินดอนเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ คุยกันบ้างในเบื้องต้น เพราะได้รับฟังความคิดเห็นทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงให้นำตัวเลขมาดูทั้งหมด ทั้งในแง่ต้นทุน ค่าใช้จ่าย รวมทั้งความสะดวกต่างๆ

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา นางแจ่มศรี สุกโชติรัตน์ ประธานสหภาพ แรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย พร้อมด้วยสมาชิกสหภาพฯ ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายกฯ ผ่านนายศิริโชค โสภา สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คัดค้าน การย้ายสายการบินไทยออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยัง ท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิ

 

ทั้งนี้ ได้มีการแจกแถลงการณ์และนัดหมายให้สมาชิกสหภาพแรงงานฯ มารวมตัวกันในวันนี้ เวลา 08.00 น. ที่สำนักงานใหญ่บริษัท การบินไทย เรียกร้องให้รัฐบาลและผู้บริหารบริษัท การบินไทย ยุติการย้ายการบริการจากสนามบินดอนเมืองมาสนามบินสุวรรณภูมิโดยทันที ซึ่งตรงกับวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2552 อีกด้วย

 

ด้านนางแจ่มศรี กล่าวว่า ต้องการให้การบินไทยยังคงให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อเป็นตัวเลือกของประชาชน สายการบินไทยเป็นของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรัฐจะต้องให้ความคุ้มครองและดูแลให้ธุรกิจเติบโตไปได้ ไม่ใช่ เข้ามาแทรกแซงเพื่อให้สายการบินอื่นเข้ามาแข่งขัน การย้ายการบินไทยเท่ากับเป็นการตัดสิทธิ สายการบินแห่งชาติ ซึ่งขัดต่อนโยบายการแข่งขันเสรี

 

ก่อนหน้านี้นางแจ่มศรีได้ ยื่นหนังสือต่อนายสมชาย แสวงการประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ซึ่งนายสมชาย กล่าวว่า จะรับไปตรวจ สอบและศึกษา เพราะไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น และสนามบินสุวรรณ ภูมิมีปัญหาความแออัด

 

อนุมัติ รฟท.แยก 2 บริษัทคลังดันแก้ปัญหาขาดทุน

เดลินิวส์ - นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกิจการขนส่งระบบราง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการ เพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งได้จัดทำแผนไว้แล้ว คือให้ รฟท.จัดตั้งบริษัทลูก 2 แห่ง คือบริษัทเดินรถ และบริษัทบริหารทรัพย์สิน เพื่อแยกงานเกี่ยวกับการบริหารการเดินรถ การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินออกจาก รฟท.แล้วให้ รฟท. ดูแลงานด้านการลงทุน ดูแลรักษาระบบราง และอาณัติสัญญาณ โดยแผนงานดังกล่าวจะเสนอเข้า ครม. วันที่ 17 มี.ค.นี้ เมื่อ ครม.อนุมัติ รฟท. ต้องจัดตั้งบริษัทลูกทั้ง 2 แห่ง ภายใน 30 วันต่อไป

 

"รฟท.มีแผนที่จะปรับโครงสร้างองค์กรทั้งหมดด้วยการตั้งบริษัทลูกมาตั้งแต่ปี 41 แล้ว และก็เริ่มดำเนินการมาเรื่อยๆ และได้คุยกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ รฟท.แล้ว เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาการต่อต้านแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมาโครงสร้างองค์กรซับซ้อน เราไม่ได้แยกกระเป๋าการรับอย่างชัดเจนว่าอะไรบ้างที่รัฐบาลต้องสนับสนุน ทำให้ รฟท.ประสบ ปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด เพราะมีทั้งส่วนที่ต้องลงทุนระบบราง การให้บริการเชิงสังคม (พีเอสโอ) ทำให้มีภาระหนี้สิน 72,850 ล้านบาท และมีภาระบำนาญ 52,600 ล้านบาท ดังนั้นแผนฟื้นฟูใหม่นี้ จะมีความชัดเจนว่าส่วนไหนที่รัฐบาลรับผิดชอบ ส่วนไหนทำกำไรให้ ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปกิจการรถไฟครั้งใหญ่ เพื่อให้เกิดการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท