Skip to main content
sharethis

มติพท.ยื่นซักฟอกนายกฯ+4รมต.


เดลินิวส์ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. (12 มี.ค.) คณะทำงานเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน นายไพจิต ศรีวรขาน นายสุนัย จุลพงศธร และนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ได้ประชุมสรุปรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งสุดท้าย โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง


   


ร.ต.อ.เฉลิม แถลงภายหลังการประชุมว่า คณะทำงานทั้งหมดเห็นตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรายบุคคล รวมจำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากมีข้อมูลหลักฐานชัดเจน


  


สำหรับรายชื่อ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายนั้น ยอมรับว่ามีรายชื่อจริง แต่เมื่อได้หารือกับคณะยุทธศาสตร์ พบว่า การตรวจสอบเอกสารเบื้องต้น กรณีที่นายบุญจงสั่งโยกย้ายข้าราชการกรมการปกครองท้องถิ่น ไม่พบว่านายชวรัตน์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยนิตินัย เพราะเรื่องนี้ผู้ช่วยเลขาฯของนายบุญจงเป็นผู้ดำเนินการจึงพิจารณาตรวจสอบนายชวรัตน์ในช่องทางอื่นแทน


 



ต่อข้อถามว่า ระยะเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 วัน เพียงพอหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เพียงพอแล้ว แต่หากเนื้อหามีมาก ก็สามารถประสานขอระยะเวลาเพิ่มได้ตามที่นายกฯบอก ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาระบุว่า เป็นข้อมูลเก่า ไม่กระทบต่อการทำงานของรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ขอถามกลับว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยเห็นข้อมูลหรือไม่ จึงออกมาพูดว่าเป็นข้อมูลเก่าและไม่ดี


   


ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะเกิดงูเห่าในฝ่ายค้าน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้างูเห่าอยู่ในฝ่ายค้านถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอยู่ในรัฐบาลจะมีปัญหาแน่ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลกับฝ่ายค้าน


 



 


ศาลฎีกาฯรับคำร้องปปช."ยงยุทธ-สมบัติ"แจ้งบัญชีเท็จ


เดลินิวส์ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (12 มี.ค.) นายศิริชัย จิระบุณศรี ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำ อม.2/2552 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกานักการเมืองวินิจฉัยกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้คัดค้าน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิ้นอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. หลังพ้นจากตำแหน่งตามบทญัตติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 263


 



นายยงยุทธ ยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ระบุว่า ได้ขายหุ้นบริษัท มิติฟู้ดโปรดักษ์ จำนวน 24,500 หุ้น ให้แก่ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ยุทวรรณ ซึ่งเป็นน้องภริยา จำนวนเงิน 2.45 ล้านบาท แต่ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ชำระเป็นเงินสด จำนวน 8.5 แสนบาท ส่วนที่ค้างชำระอีก 1.6 ล้านบาทได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้ แต่จากการตรวจสอบพบว่านับตั้งแต่วันจดทะเบียนจนถึงปัจจุบันรวม 18 ปีเศษ บริษัทดังกล่าวไม่ได้ประกอบกิจการค้าแต่อย่างใด และ พ.ต.ท.นัฏฐวุฒิ ไม่มีฐานการเงินเพียงพอที่จะชำระเงินค่าหุ้นเป็นเงินสดได้ถึง 8.5 แสนบาท จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง และไม่มีเงินให้กู้ยืมตามที่ได้แสดงบัญชีไว้


   


องค์คณะผู้พิพากษา มีมติ 8 ต่อ 1 ให้รับคำร้องไว้พิจารณาและให้ ป.ป.ช. ผู้ร้อง นำเจ้าหน้าที่ส่งหมายเรียกให้ผู้คัดค้านทราบภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมาย และนัดพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การผู้คัดค้านในวันที่ 16 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น.


 



ในวันเดียวกัน นายเกษม วีรวงศ์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ 9 คน ได้นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำ อม.3/2552 ที่ ป.ป.ช.ผู้ร้อง ขอให้ศาลฎีกานักการเมือง วินิจฉัยกรณีที่นายสมบัติ อุทัยสาง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้แสดงรายการทรัพย์สินของคู่สมรสที่อยู่ในบุตร และหรือมีชื่อร่วมกับบุตรในบัญชี ซึ่งมีหน้าที่ต้องแสดงต่อ ป.ป.ช.9 ครั้ง คือ เงินฝากของนางสุจิวรรณ อุทัยสาง คู่สมรส ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาคอนแวนต์ 3 บัญชี และมีชื่อร่วมกับบุตรในบัญชีเงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาพุทธมณฑล 6 บัญชี ซึ่งมียอดรวมของเงินฝาก ณ วันที่เข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี รวม 9 ครั้ง จำนวนเงินอยู่ระหว่าง 86,263,255.88 ถึง 111,503,500.69 บาท


 



องค์คณะผู้พิพากษาเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง ให้รับคำร้องไว้พิจารณา และให้ ปปช. ผู้ร้องนำเจ้าหน้าที่ส่งหมายเรียกให้ผู้คัดค้านทราบภายใน 7 วัน หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมาย และนัดพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การผู้คัดค้าน ในวันที่ 16 เม.ย.นี้ เวลา 10.30 น.


 


 


"ปปช." ยืน มติเดิม "ทิพาวดี" ผิดวินัยร้ายแรง ด้าน"ปลัดกระทรวงคลัง" ยื่นหลักฐานใหม่ ให้ ปปช. สอบ เข้าแจง 19 นี้


แนวหน้า - ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เวลา 16.00 น. นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกป.ป.ช. กล่าวว่า ก่อนหน้านี้วันที่13 ม.ค. 52 คณะกรรมการป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ อดีตเลขาธิการ ก.พ.และนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมพวก ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อดำรงตำแหน่งนักบริหาร 9 กระทรวงการคลัง โดยในวันที่ 18 ก.พ.52 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ยังไม่ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชา พิจารณาโทษทางวินัย กับคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากคุณหญิงทิพาวดี ได้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมรวม 4 ฉบับ ซึ่งในข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คุณหญิงทิพาวดี ได้โต้แย้งขอความเป็นธรรมนั้น คณะอนุกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. พิจารณาวินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อกล่าวหาได้ คณะกรรมการป.ป.ช. จึงมีมติยกคำร้องขอความเป็นธรรมของคุณหญิงทิพาวดี และมีมติยืนตามมติเดิมที่ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงกับคุณหญิงทิพาวดี


   


นายกล้านรงค์ กล่าวต่อไปว่า ในกรณีของนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล หลังจากที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายศุภรัตน์ แล้วนายศุภรัตน์ ได้มีหนังสือขอความเป็นธรรมรวม 3 ฉบับ คณะกรรมการป.ป.ช. ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของนายศุภวัตน์ ได้อ้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลายประการ โดยระบุว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่เป็นเอกสาร เป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวน แต่มิได้ระบุให้ชัดเจนว่า พยานหลักฐานใดเป็นพยามหลักฐานใหม่บ้าง และพยามหลักฐานนั้นเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนเพียงใด



 


"ดังนั้น เพื่อความชัดเจนและเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม คณะกรรมการป.ป.ช. จึงมีมติเชิญ ให้นายศุภรัตน์ มาชี้แจงถึงข้อเท็จจริงและพยามหลักฐานที่เห็นว่าจะเป็นพยานหลักฐานใหม่ต่อคณะกรรมการทั้ง 9 คน ในวันที่ 19 มี.ค.แต่ครั้งนี้คณะกรรมการจะยังไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณา เป็นเพียงการให้มาชี้แจงเพิ่มเติมเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นพยามหลักฐานใหม่คณะกรรมการต้องดำเนินการพิจารณาใหม่ แต่ถ้าไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่คณะกรรมการก็ต้องดำเนินการตามเดิมถือว่าจบแล้ว ส่วนหลักฐานใหม่คืออะไรยังตอบไม่ได้ ต้องให้นายศุภวัตน์มาชี้แจงว่ามันเป็นพยานหลักฐานใหม่อย่างไร ส่วนพยานหลักฐานจะสามารถกลับคำพิจารณาได้หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่อยู่ในขั้นวินิจฉัยตรงนั้น เพราะอยู่ในขั้นแค่เชิญมาชี้แจง ซึ่งถ้าไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ป.ป.ช.ก็ยืนตามเดิม คือส่งผู้บังคับบัญชา" นายกล้านรงค์ กล่าว


 


 


มติเลือกวิรัช ลิ้มวิชัย ปธ.กก.สรรหากกต.


ไอเอ็นเอ็น - คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้ประชุมนัดแรก เพื่อสรรหา กกต. แทน นายสุเมธ อุปนิสากรซึ่งพ้นจากตำแหน่งแล้ว เนื่องจากอายุครบ 70 ปี โดยที่ประชุมมีมติเลือก นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาถึงระยะวันเวลาเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเป็น กกต. และกรอบระยะเวลาการทำงานของคณะกรรมการสรรหา ชุดนี้ สำหรับ องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา กกต.


 


ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) กำหนดให้มีบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ เป็นกรรมการสรรหา ได้แก่ นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา , นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ , นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด, นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร , นายศรีราชา เจริญพานิช ตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และ นายเฉลิมชัยวสีนนท์ ตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด ทั้งนี้ การสรรหาครั้งนี้ ขาดกรรมการในส่วนของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ


 


 


"พัชรวาท"สั่งปรับโครงสร้างสตช.เพิ่มอีก5กองบัญชาการ


สยามรัฐ - ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 12 มี.ค. รายงานข่าวว่า วันที่ 13 มี.ค. เวลา 13.30 น .พล.ต.ท. วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะคณะทำงานปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำหนังสือ รอง ผบ.ตร. จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังการชี้แจงของคณะทำงานฯเพื่อประชุมสรุปการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ห้องประชุม 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประธานการประชุม



 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงสร้างใหม่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการเสนอปรับเพิ่มกองบัญชาการขึ้นใหม่ 6 กองบัญชาการ ได้แก่ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ ,สำนักงานส่งกำลังบำรุง ,สำนักงานกำลังพล ,สำนักงานงบประมาณและการเงิน และ กองบัญชาการตำรวจจราจรและการขนส่ง โดยมี บช. ขึ้นตรงสำนักงาน ผบ.ตร. ได้แก่ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ สำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานกำลังพล สำนักงานงบประมาณและการเงิน สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานจเรตำรวจ สำนักงานตรวจสอบภายใน ระดับบก. ได้แก่ สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ, กองการต่างประเทศ , กองสารนิเทศ , สำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ,กองบินตำรวจ และ กองวินัย


   


และแยกโครงสร้างชัดเจน ได้แก่ ด้านป้องกันปราบปรามอาชญากรรม แยกเป็น บช.น. บช.ภ.1-9 ศชต. และส่วนสนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีบช.ก. ,บช.ปส., บช.ส.,บช.สตม. และ บช.ตชด. สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจหรือสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกองบัญชาการตำรวจจราจรและการขนส่ง เทียบเท่า บช. มี บก.อก.และยุทธศาสตร์การจราจร บก.ตำรวจจราจร บก.ตำรวจทางหลวงและบก.ตำรวจรถไฟ ซึ่งมีการจัดรวมงานตำรวจทางหลวง ตำรวจรถไฟ และตำรวจจราจรมาวมกันใน บช.ที่ตั้งขึ้นใหม่ และปรับโครงสร้างการทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือศูนย์ปฎิบัติการจังหวัดชายแดนภาคใต้ มี บก.อก.ตำรวจภูธรจังหวัด, บก.สืบสวนสอบสวน, ศูนย์ฝึกอบรม และ บก.ปฎิบัติการพิเศษ


 



สำหรับ บช.น. มีการปรับเพิ่ม จำนวน 2 กองบังคับการ คือ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน และกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ส่วนกองบัญชาการสอบสวนกลาง แยกเป็น บก.อก. บก.ป.กองตำรวจน้ำ บก.ปราบปรามผู้บริโภคหรือกองทะเบียนเดิม บก.ตำรวจท่องเที่ยว , บก.ปราบปรามทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ,บก.การค้ามนุษย์หรือ บก.ปดส.เดิม ,บก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และ บก.ปราบปรามฯทางเทคโนโลยี


 


 


มือปาไข่ใส่"ชวน"ที่ลำปางมอบตัว


มติชน - แกนนำกลุ่มเสื้อแดง "ลำปาง 51" นำโดยนายสหรัษ นนทมาลย์ เลขานุการฯ และพ.ต.ท.ดีชัย พาณิชย์ นายตำรวจนอกราชการ พานายอินจัน ตากูล อายุ 45 ปี นายสมศักดิ์ ณ ลำปาง อายุ 46 ปี และนายปริญญา สมิทธ์สกุล อายุ 50 ปี เข้ามอบตัวที่ สภ.เมืองลำปาง เนื่องจากถูกกล่าวหามีส่วนร่วมก่อเหตุและปาไข่ใส่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ขณะช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา มีพล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง พ.ต.อ.นันทวิทย์ เทียมบุญธง ผกก.สภ.เมืองลำปาง ร่วมรับมอบตัวและสอบสวนก่อนปล่อยตัวชั่วคราว


 


ด้านพ.ต.อ.นันทวิทย์ กล่าวว่า ในวันที่ 13 มีนาคม จะให้โอกาสบุคคลที่ปรากฎในภาพอีก 10 คน เข้ามอบตัว หากไม่มาจะออกหมายเรียกต่อไป เบื้องต้นแจ้งข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง


 


 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางมาเมอบนโยบายรัฐบาลให้แก่หน่วยงานภาครัฐและร่วมหารือกับภาคเอกชน ที่โรงเรมแชงการีล่า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกว่า 100 นาย คอยคุ้มกัน แม้ไม่มีกลุ่มเสื้อแดงตามก่อกวนก็ตาม


 


 


เผยถวายฎีกาขออภัยโทษ3ฉบับ


มติชน - หนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ เจแปน ไทม์สของญี่ปุ่น รายงานว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์กับเจแปน ไทม์ โดยกล่าวว่าเขาได้ขอพระราชทานอภัยโทษในความผิดจากข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วและต้องการที่จะกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง


 


"ผมได้ส่งจดหมายถวายฎีกาถึงพระองค์แล้ว 3 ฉบับ เพราะผมเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณและพระราชวินิจฉัยในพระองค์ หากได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ผมรู้ว่ากลุ่มผู้สนับสนุนผมจะต้องดีใจและจะไม่ต้องต่อสู้รวมทั้งไม่ต้องมีการพิสูจน์สิ่งใดอีก ขึ้นอยู่กับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว


 


อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "รู้ดีว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะได้รับทราบผล แต่ยืนยันได้ว่าตนเต็มใจที่จะรอตราบเท่าที่การพระราชทานอภัยโทษสามารถลบข้อครหาต่อตัวเองได้ ที่เมืองไทยเราพูดกันว่า บางทีเราก็จำเป็นต้องกัดลิ้นตัวเองแล้วก็ยอมกลืนเลือดลงคอไปเงียบๆ ผมอดทนพอ ผมรอได้"


 


พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และกล่าวว่า "ผมไม่สามารถปกป้องตนเองได้ และไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากตอนนี้ผมถูกพิพากษาแล้วว่ามีความผิด และศัตรูทางการเมืองของผมก็ให้การสนับสนุนคณะกรรมการที่ทำการตรวจสอบผม" พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ และว่า ประเทศไทยตอนนี้ไม่มีกฏหมายที่อยู่ในกรอบของประชาธิปไตยที่เหมาะสม


 


พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธข้อหาที่ว่าไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยยืนยันว่าเขาจงรักภักดีและให้ความเคารพพระองค์


 


"พวกเขา (ศัตรูทางการเมือง) บอกว่าผมต้องการที่จะเป็นประธานาธิบดี และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งนี่มันเป็นเรื่องผิด ผมไม่เคยมีความปรารถนาแบบนั้น ฝ่ายตรงข้ามของผมยึดอำนาจไปได้ด้วยการกล่าวหาว่าผมไม่จงรักภักดี"


 


นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุว่า เขายังคงต้องการที่จะกลับมาเล่นการเมืองในประเทศไทยอีกครั้ง โดยกล่าวว่า "ผมต้องกลับไป ผมยังคงติดค้างอยู่กับกลุ่มผู้สนับสนุนผมและกำลังใจจากพวกเขา หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นวันนี้ ผมชนะแน่นอน"


 


 


สันติบาลแกะคำต่อคำยังไม่พบคำผิดกม.พรุ่งนี้เสร็จ


คมชัดลึก- พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ " วิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา " ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่ฮ่องกง ว่า ไดัมีการจัดทีมงานมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้วโดยได้มีการบันทึกเทปที่มีการถ่ายทอดสดไว้ทั้งหมด นอกจากนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ มาแปลถ้อยคำที่มีการโฟนอินว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ หรือมีข้อความหมิ่นพระบรมราชานุภาพหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทีมงานอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบแปลถ้อยคำอยู่ ซึ่งยังไม่พบว่ามีข้อความใดผิดกฎหมาย โดยคาดว่าในวันพรุ่งนี้จะแล้วเสร็จ


   


พล.ต.ท.ธีระเดช กล่าวอีกว่า ส่วนที่สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี นำคำปาฐกถาของพ.ต.ท.ทักษิณ มาถ่ายทอดสดนั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมายสามารถกระทำได้ แต่หากมีความใดผิดกฎหมาย หรือหมิ่นประมาท สถานีโทรทัศน์ ดีทีวี ก็จะมีความผิดร่วมด้วยเช่นกัน


 


 


"ปณิธาน" ไม่รู้สำนักนายกฯมีงบ400ล.ทำโครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์ชาติ


แนวหน้า - นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศไทย ซึ่งจะใช้งบประมาณจากสำนักนายกรัฐมนตรีประมาณ 400 ล้านบาท ว่า ต้องถามท่านรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามตนไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องนี้


   


อย่างไรก็ตาม นายปณิธาน กล่าวว่า ในหลักการการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศไทยเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญในนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายไปมาก ความเชื่อมั่นต่างๆเสียหาย รวมทั้งต่างประเทศมองการรรายงานข่าวของเราครั้งยามที่มีวิกฤติเท่านั้นเอง แต่ยามสงบเขาไม่ได้เห็นจึงนึกว่ายังวิกฤติอยู่ เมื่อมีการชุมนุมประท้วงก็นึกว่าสถานการณ์ยังเหมือนเดิม อย่างประเทศญี่ปุ่นเขาเห็นว่าเรามีการพบปะผู้นำสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป มีการลงข่าวว่าสถานการณ์ไทยปกติแล้ว ยิ่งมีการประชุมอาเซียนซัมมิทเขาก็มั่นใจเลยว่าระบบกลับมาสู่สภาพปกติ


 



 


พฤฒิชัยโรคเลื่อน!สัปดาห์หน้าสรุปภาษีบาป


ไอเอ็นเอ็น - นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ประเภทชา กาแฟ ว่าได้ให้นโยบายกรมสรรพสามิตในการตั้งคณะทำงานปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพ สามิตทั้งหมดแล้ว ส่วนข้อกังวลของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บ ภาษีครั้งนี้จะมีการศึกษาในภาพวรวมว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง เนื่องจากทางกาแฟพร้อมดื่มหรือสำเร็จรูปบางประเภทได้รับการยกเว้นภาษี หรือไม่เคยจัดเก็บมาเลยนานกว่า 10 ปี แล้ว


 


อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดเนื่องจากมีสินค้าหลายชนิดที่มีความ หลากหลายมาตรฐานในการคิดและสินค้าบางอย่างมีการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้น


 


 


สรุปมติ กทช.สั่งเลิกเก็บค่าเชื่อมสัญญาณโทรฯ 107บ.


มติชน - ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 12 มี.ค. ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) มีมติในเรื่องการเรียกเก็บค่าต่อคู่สายโทรศัพท์ 107 บาท หลังจากที่เรื่องนี้ยืดเยื้อมาระยะหนึ่ง โดยให้ทุกบริษัทงดเว้นการเรียกเก็บค่าต่อคู่สายโทรศัพท์ในกรณีที่ผู้ใช้บริการผิดนัดหรือค้างชำระค่าบริการเป็นเวลา 2 เดือน โดยจะมีการออกเป็นคำสั่งทางปกครองแจ้งไปยังทุกบริษัทต่อไป


 


ทั้งนี้ มติดังกล่าวจะมีผลให้ผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคซึ่งถูกตัดบริการโทรออกเพราะชำระค่าบริการล่าช้าและเมื่อนำเงินไปชำระต้องถูกเรียกเก็บค่าต่อคู่สายโทรศัพท์ใหม่เป็นจำนวน 107 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือในบางรายเรียกเก็บ 214 บาท ต่อไปนี้ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้อีก ไม่ว่าจะเป็นกรณีของโทรศัพท์บ้านหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ตาม กล่าวคือ มติดังกล่าวจะใช้บังคับทั้งกับ บมจ. ทีโอที บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส บจก. ฮัทซิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมิเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น บมจ. ทรูมูฟ บมจ. ทีทีแอนด์ที บจก. เอเชีย ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่น


 


รายงานระบุว่า มติดังกล่าวเป็นไปเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคในการที่จะได้รับการพิทักษ์สิทธิอย่างเสมอภาคกัน ขณะเดียวกันก็เป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการบนพื้นฐานการแข่งขันโดยเสรี เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา กทช. เคยมีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เสนอโดยสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม และมีมติห้ามดีแทค เรียกเก็บค่าต่อคู่สายโทรศัพท์จากผู้บริโภคที่นำเงินมาชำระล่าช้าดังกล่าวไว้แล้ว เนื่องจากเห็นว่า การเรียกเก็บค่าต่อคู่สายโทรศัพท์เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เนื่องจากบริษัท ฯ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอัตราที่เรียกเก็บดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ณ วันที่ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคมฯ มีผลบังคับใช้ รวมทั้งไม่อาจอ้างข้อสัญญาในการเรียกเก็บค่าบริการต่อคู่สายโทรศัพท์ และบทเฉพาะกาลของประกาศ กทช. ดังกล่าวได้


 


 


เดลล์ปลดพนักงานทั่วโลก


คมชัดลึก - เดลล์ เล็งปลดพนักงานทั่วโลก ขณะ เดมเลอร์ เตรียมปลดพนักงานในโรงงานรถบรรทุก ส่วนออสเตรเลียน แอร์ไลน์ และดอยช์ โพสต์ จะลดชั่วโมงทำงาน


   


เดลล์ อิงค์ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับสองของโลก ประกาศว่าจะปลดพนักงานทั่วโลกแต่ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะปลดมากน้อยแค่ไหน และเมื่อไหร่ โดยยืนยันเพียงว่าจะมีการปลดพนักงานบางส่วนในโรงงานประกอบชิ้นส่วนที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา


   


ทางด้าน เดมเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนี ออกแถลงการณ์ระบุว่า บริษัทจะปลดพนักงาน 18,000 คนในโรงงานผลิตรถบรรทุก 4 แห่ง ภายในวันที่ 12 เม.ย. หรือเดือนพ.ค.เป็นอย่างช้า และจะดำเนินการปลดไปจนถึงประมาณปลายเดือนส.ค.


   


พร้อมกันนี้ นายแฟรงก์ แอพเพล หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ดอยช์ โพสต์ บริษัทไปรษณีย์และโลจิสติกส์ของเยอรมนี กล่าวว่า บริษัทอาจลดชั่วโมงทำงานของพนักงาน หากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยังส่งผลกระทบต่อปริมาณไปรษณีย์ ซึ่งลดลงประมาณ 20-30% โดยการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะกระทบกับ ดีเอชแอล มากที่สุด แต่คาดว่าจะไม่มีการปลดพนักงาน


   


ขณะเดียวกัน ออสเตรียน แอร์ไลน์ส ประกาศว่าจะลดชั่วโมงทำงานของพนักงาน 2,600 คน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เพื่อลดค่าใช้จ่าย ในขณะที่สายการบินกำลังประสบปัญหาการเงิน และคาดว่าจะดำเนินมาตรการนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยจะลดชั่วโมงทำงาน 20% และลดเงินเดือน 10% หรือลดชั่วโมงทำงาน 10% และลดเงินเดือน 5% แต่มาตรการนี้จะยกเว้นสำหรับพนักงานฝึกหัด ลูกจ้างชั่วคราว และพนักงานประจำที่มีเงินเดือนไม่ถึง 1,100 ยูโร


   


ส่วนสหภาพอุตสาหกรรมการเงินออสเตรเลียเปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการเงินที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปีเมื่อปีที่แล้ว ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 6,768 คน และมีแนวโน้มว่าจะปลดพนักงานอีกอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มธนาคาร รวมถึง ออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิง กรุ๊ป และกลุ่มบริษัทโบรกเกอร์ เช่น โกลด์แมน แซคส์ เจบี เวอร์ ปลดพนักงานเป็นจำนวนมากหลังจากวิกฤติสินเชื่อทวีความรุนแรงกว่าเดิม และหลังจากนี้จำนวนพนักงานที่ถูกปลดจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อหลายบริษัท รวมถึง เอเอ็มพี ลิมิเต็ด และ เวสต์แพ็ค แบงกิง คอร์ป กำลังจะปลดพนักงานอีก


 


 


'หู'ออกโรง สั่งทัพขึงขัง ป้องอธิปไตย


ไทยโพสต์ - หนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลีฉบับวันพฤหัสบดีรายงานว่า ประธานาธิบดีหูได้กล่าวกระตุ้นบรรดานายทหารกองทัพปลดแอกประชาชน (พีแอลเอ) ที่เข้าร่วมการประชุมรัฐสภาประจำปี โดยแสดงท่าทีชัดเจนว่าจีนจะไม่ยอมก้มหัวให้ชาติใด แม้ว่าหูจะไม่ได้อ้างถึงเหตุการณ์ที่เรือของกองทัพเรือได้เผชิญหน้าช่วงสั้นๆ กับเรือตรวจการณ์น้ำลึกอิมเพคเคเบิลของกองทัพเรือสหรัฐนอกชายฝั่งเกาะไห่หนานเมื่อวันอาทิตย์ก็ตาม


   


"จงป้องกันอธิปไตยของชาติ, ความมั่นคงและบูรณภาพเหนือดินแดนอย่างแข็งขัน และให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็งและสร้างความมั่นใจในการปกป้องผลประโยชน์ด้านการพัฒนาประเทศและเสถียรภาพในสังคมอย่างถ้วนทั่ว" ประธานาธิบดีหูซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคและผู้บัญชาการสูงสุดของเหล่าทัพด้วยกล่าว


   


หูจะมีโอกาสได้พบประธานาธิบดีบารัก โอบามา เป็นครั้งแรกในการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ว่าด้วยวิกฤติการเงินโลกที่กรุงลอนดอนเดือนหน้า วันเดียวกันนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ หยางเจียชี ยังอยู่ระหว่างเยือนกรุงวอชิงตันเพื่อตระเตรียมการประชุมระหว่างผู้นำทั้งสองนอกรอบจี 20


   


อย่างไรก็ดี ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนต้องการต่อความยาวสาวความยืดปัญหาเผชิญหน้าครั้งนี้ โดยเจียยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติอยู่บนจุดเริ่มต้นใหม่และมีโอกาสสำคัญที่จะพัฒนาต่อไป


 


 


เกาหลีใต้ออกแผนฉุกเฉินช่วยคนจน เล็งแจกเงินสด-คูปองกระตุ้นศก.


กรุงเทพธุรกิจ - รัฐบาลเกาหลีใต้แถลงวานนี้ (12 มี.ค.) ว่า ที่ประชุมซึ่งมีนายลี เมียง บัก ประธานาธิบดี เป็นประธาน ผ่านแผนฉุกเฉินมูลค่า 6 ล้านล้านวอน เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ และผู้ที่ต้องออกจากงาน เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังระบุว่า เงินจำนวนนี้จะมาจากงบประมาณพิเศษ ที่รัฐบาลเตรียมไว้สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ



   


ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังประกาศจัดสรรงบประมาณพิเศษ นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งก่อน แต่ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลข



   


กระทรวงการคลังเกาหลีใต้ ระบุว่า แผนฉุกเฉินจะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันที หลังจากรัฐสภาอนุมัติงบประมาณพิเศษในราวเดือนหน้า นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังมีแผนแจกเงินสดและคูปอง มูลค่า 830,000 วอน ให้แก่ผู้ตกงาน 860,000 คน เป็นประจำทุกเดือนเป็นระยะเวลา 6 เดือน ขณะที่ผู้สูงอายุและคนพิการจำนวน 1.1 ล้านคน จะได้รับเงินสดช่วยเหลือเดือนละ 200,000 วอน เป็นเวลา 6 เดือน



   


รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศก่อนหน้านี้ ว่า จะดำเนินมาตรการที่รวดเร็วและห้าวหาญ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่หดตัวลงอย่างมากเมื่อไตรมาสที่แล้ว โดยนายลี กล่าวว่า มีการอัดฉีดเงิน 51,000 ล้านวอนเข้าระบบเศรษฐกิจแล้ว รวมถึงการลดหย่อนภาษี และการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ



   


กระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังชี้แจงว่า การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้จะมุ่งเน้นในด้านอาหาร การศึกษา ที่อยู่อาศัย บริการสาธารณสุข และการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการยังชีพของประชาชน



   


ทั้งนี้ การปล่อยกู้แก่ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นในเดือน ก.พ. เมื่อผู้บริโภคกู้ยืมเงินไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่นายยุน เจียง ฮุน รัฐมนตรีคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้อาจหดตัว 2% ในปีนี้ นับเป็นการหดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2541 และจะมีคนสูญเสียตำแหน่งงานประมาณ 200,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนมากสุดในรอบ 11 ปี


 


 


โสมแดงเล็งยิงดาวเทียมต้นเม.ย.


กรุงเทพธุรกิจ - สำนักข่าวยอนฮับ ของเกาหลีใต้ รายงานวานนี้ (12 มี.ค.) อ้างแหล่งข่าวด้านข่าวกรองเกาหลีใต้ ว่า เกาหลีเหนือมีแผนยิงดาวเทียมระหว่างวันที่ 4-8 เม.ย. โดยรัฐบาลกรุงเปียงยางได้แจ้งองค์การเดินเรือระหว่างประเทศเกี่ยวกับกำหนดการดังกล่าว แหล่งข่าวอีกคนเผยว่าเกาหลีเหนือแจ้งต่อหน่วยเดินเรือเพื่อขอความร่วมมือ โดยการยิงดาวเทียมจะมีขึ้นในทะเลญี่ปุ่น ที่อยู่ระหว่างคาบสมุทรเกาหลีและญี่ปุ่น


 



ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลีรายงานว่ารัฐบาลกรุงเปียงยางได้แจ้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ องค์การเดินเรือระหว่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆ ให้ทราบข้อมูลที่จำเป็นในการเดินเรือและเครื่องบินที่ปลอดภัย อันเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมยิงดาวเทียมสื่อสารขึ้นสู่วงโคจร


   


เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้และสหรัฐมองว่า การยิงดาวเทียมดังกล่าว แท้จริงแล้วคือการทดลองขีปนาวุธ ซึ่งละเมิดมติของสหประชาชาติปี 2549 ที่ห้ามรัฐบาลกรุงเปียงยางดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับขีปนาวุธ พร้อมเรียกร้องให้เกาหลีเหนือล้มเลิกแผนการ


 



สำนักข่าวกลางเกาหลี รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลกรุงเปียงยางได้เข้าร่วมสนธิสัญญา 2 ฉบับด้านการสำรวจอวกาศของสหประชาชาติ "ซึ่งจะมีส่วนในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของนานาชาติ และส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ในส่วนของอวกาศและการยิงดาวเทียมเพื่อเป้าหมายที่สันติ"


   


เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐมองว่า หากเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการยิงดาวเทียม ก็จะได้ถึง 3 ต่อ คือ การมีดาวเทียมดวงแรก การแสดงศักยภาพของโครงการขีปนาวุธพิสัยไกลให้ญี่ปุ่นและสหรัฐได้เห็น และการสร้างความอับอายให้เกาหลีใต้ ซึ่งยังต้องรออีกหลายเดือนกว่าจะสามารถส่งดาวเทียมได้


 



นายเดนนิส แบลร์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มองว่าการยิงดาวเทียมและขีปนาวุธพิสัยไกล เป็นเทคโนโลยีระดับสูงพอกัน หากประสบความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็สามารถทำอีกโครงการได้ไม่ยากนัก หากรัฐบาลกรุงเปียงยางประสบความสำเร็จในการใช้จรวด 3 ตอนเพื่อยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร ก็อาจใช้จรวดในการยิงขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งจะคุกคามอะแลสกาและฮาวายได้


 



เกาหลีเหนือเคยอ้างว่ายิงดาวเทียมมาแล้ว เพื่อปิดบังการพัฒนาขีปนาวุธ อย่างเมื่อปี 2541 ที่อ้างว่าได้ยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร หลังจากล้มเหลวในการทดลองขีปนาวุธ


   


อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐ กล่าวว่า จริงๆ รัฐบาลกรุงเปียงยางอาจพยายามยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรปลายเดือนนี้


 



"เกาหลีเหนือประกาศว่าจะยิงดาวเทียม และผมเชื่อว่าพวกเขาตั้งใจทำอย่างนั้นจริงๆ ผมอาจผิดก็ได้ แต่นี่คือ การประเมินของผม" นายแบลร์กล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านอาวุธประจำวุฒิสภา เมื่อต้นสัปดาห์



   


ขณะเดียวกัน นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐ จีน และประเทศคู่เจรจา พร้อมหารือมาตรการตอบโต้ต่างๆ รวมถึงการใช้มาตรการของสหประชาชาติ หากรัฐบาลกรุงเปียงยางทดลองขีปนาวุธ


 



ทั้งนี้ มีข่าวมาหลายสัปดาห์ว่าเกาหลีเหนือเตรียมยิงขีปนาวุธแตโปดอง-2 ซึ่งมีพิสัยไกล จากฐานมูซูดาน-รี ทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับทะเลญี่ปุ่น


 


 


การบินโลกอ่วมทำธุรกิจปี 52 ลำบาก


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันพุธ (11 มี.ค.) ว่า สายการบินโลกมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่ยากลำบากในปี 2550 โดยลุฟท์ฮันซ่า สายการบินเยอรมนี ออกมาเตือนว่า รายได้ในปีนี้น่าจะร่วงลงไปอีก หลังเมื่อปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิลดลงมากถึง 64% มาอยู่ที่ 599 ล้านยูโร


   


ลุฟท์ฮันซ่า แถลงว่า เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมากนั้น บริษัทคาดว่า การทำธุรกิจในปีนี้จะต้องเจอกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นกว่าปกติ


 



ถ้อยแถลงข้างต้นมีขึ้นหลังสายการบินขนาดใหญ่อีก 2 ราย คือ คาเธ่ย์ แปซิฟิค หนึ่งในสายการบินชั้นนำของเอเชีย และสายการบินเดลต้า แอร์ไลน์ส ของสหรัฐ ประกาศขาดทุนจำนวนมหาศาลในปี 2551 ทั้งยังคาดหมายถึงการดำเนินงานในปี 2552 ที่มีความท้าทายอย่างสุดขีด


 



คาเธ่ย์ แปซิฟิค ระบุว่า ในปีที่แล้ว บริษัทขาดทุนไปมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ และเป็นสถานะที่พลิกกลับอย่างมากจากเมื่อปีก่อนหน้านั้น ที่ทำกำไรได้เกือบ 900 ล้านดอลลาร์


 



ทางด้านเดลต้า ซึ่งขาดทุนไป 8,900 ล้านดอลลาร์ ระบุว่า จะลดให้บริการระหว่างประเทศเพิ่มอีก 10% และอาจจะปลดพนักงานด้วย โดยการขาดทุนของเดลต้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล เมื่อครั้งบริษัทเข้าซื้อกิจการนอร์ธเวสต์ แอร์ไลน์ส


 



เช่นเดียวกับสายการบินแอร์ ลิงกัส ของไอร์แลนด์ ที่นำเอารูปแบบสายการบินต้นทุนต่ำเข้ามาใช้ ก็เจอกับตัวเลขขาดทุนก่อนหักภาษีถึง 119.7 ล้านยูโร หลังทำกำไร 124.8 ล้านยูโร พร้อมเตือนว่า ในปีนี้อาจขาดทุนจากการดำเนินงานมากขึ้น


 



ก่อนหน้านี้ สมาคมเพื่อการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศ (ไออาตา) ระบุว่า ข้อมูลการเดินทางในเดือน ม.ค. บ่งชี้ถึงความต้องการในการเดินทางที่ซบเซา ด้วยจำนวนผู้เดินทางลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ 5.6% และเป็นการลดลงเดือนที่ 5 ติดต่อกัน


 



ในส่วนของลุฟท์ฮันซ่านั้น กำไรที่ร่วงลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากลูกค้าในส่วนธุรกิจลดน้อยลง เพราะมีพนักงานระดับผู้จัดการ และผู้บริหารของบริษัทต่างๆ เดินทางโดยเครื่องบินน้อยลง


   


นายวูล์ฟกัง ไมร์ฮูเบอร์ ประธานกรรมการบริหาร และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของสายการบินเยอรมนีรายนี้ ระบุว่า ปี 2552 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมาก แต่มั่นใจว่า สถานะการเงิน และความยืดหยุ่นของบริษัท สามารถช่วยให้ผ่านพ้นไปได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net