“คพช.” เสนอ รัฐบาล และทหารทบทวน “นโยบายการเมืองนำการทหาร” สู่การ “ปฏิบัติได้จริง”

(10 มิ.ย. 52) เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.) ออกแถลงการณ์ ประณามกลุ่มคนร้ายที่กราดยิงชาวบ้านขณะกำลังละหมาดในมัสยิดประจำหมู่บ้าน บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิตทันที 10 คน และบาดเจ็บอีก 10 กว่าคน พร้อมเสนอรัฐทบทวนนโยบายการเมืองนำการทหาร

แถลงการณ์ระบุว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกเข้ากราดยิงชาวบ้านด้วยอาวุธสงครามขณะกำลังละหมาดในมัสยิดประจำหมู่บ้าน บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งตามข้อมูลจากโรงพยาบาลนั้น มีผู้เสียชีวิต 10 คน แต่ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่ามีจำนวน 11 คน และมีผู้บาดเจ็บตามข้อมูลจากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์อีก 12 คน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 เวลาประมาณ 20.00 น. โดยที่คนร้ายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าขณะก่อเหตุด้วยนั้น

เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน ขอประณามการกระทำอันไร้มนุษยธรรมอย่างอุกอาจและไม่เคารพสถานประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิมชายแดนใต้ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายพิเศษ กฎอัยการศึกและพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยกองกำลังทหารทุกหน่วยทุกประเภท ซึ่งในเวลาปัจจุบันนี้มีจำนวนถึง 70,000 กว่านาย อีกทั้งบริเวณที่เกิดเหตุก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับการควบคุมของกองบัญชาการผสม พลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ตามโครงการหมู่บ้านสันติสุข หรือ “หมู่บ้าน 3 ส.” ที่กองกำลังของ พตท. เรียกว่า “ชุดพัฒนาสันติ” กระจายเข้าไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านในพื้นที่สีแดงตามทัศนะของ พตท. จำนวน 217 หมู่บ้าน ทั่วพื้นที่ชายแดนใต้ แต่เหตุการณ์อันโหดเหี้ยมที่ต้องสังเวยชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ 10 หรือ 11 คน ในครั้งนี้ก็ยังเกิดขึ้นได้

การพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมแห่งนิติรัฐ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า คนร้ายเป็นใคร? แต่ทางโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.) พ.อ.ปริญญา ฉายดิลก กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในคืนเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาประมาณ 22.30 น. ห่างจากเวลาเกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมงว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างอ่อนไหว และฝ่ายความมั่นคงยังไม่สามารถฟันธงโดยไม่มีหลักฐานได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด แต่ยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นกลุ่มใดนั้น กำลังเร่งตรวจสอบอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่พยายามเสี้ยมให้คนไทยพุทธกับคนมุสลิมทะเลาะกัน”

แถลงการณ์ระบุถึงการออกมายืนยันข้างต้นว่า อยู่ในภาวะของเวลาอันจำกัดที่ห่างจากการก่อเหตุของคนร้ายเพียงแค่ 2 ชั่วโมง และในภาวะความอ่อนไหวของสถานที่เกิดเหตุนั่นคือ มัสยิดที่มีชาวบ้านกำลังละหมาดประจำเวลาอีซาอฺนั้น ดูเหมือนว่าเป็นการยืนยันบนฐานของความรู้สึกมากกว่าความเป็นจริง แม้อาจจะมีเจตนาดี แต่คำพูดเช่นนี้ ส่งผลในทางกลับกัน คือ ทำให้เพิ่มความรู้สึกต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีความจริงใจในการให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน และยังส่อวิสัยว่า “อำนาจของทหารคือความยุติธรรม” ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อการสร้างสรรค์สันติภาพบนแนวทางสันติวิธีในพื้นที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยแต่อย่างใดเลย

เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชนระบุถึง ข้อเสนอแนะต่อทหารและรัฐบาล เพื่อสนองนโยบายการเมืองนำการทหารของภาครัฐที่ได้ประกาศไว้ต่อสังคมไทยและสังคมโลก ดังต่อไปนี้

1.ให้รัฐบาลและทหารทบทวนนโยบายการเมืองนำการทหารนำสู่การปฏิบัติได้จริง

2.ให้ภาครัฐลบความรู้สึกคลางแคลงใจของชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ในหลายๆ เหตุการณ์ที่ชาวบ้านสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนพัวพัน โดยการพิสูจน์ สร้างความกระจ่างชัดต่อภาคสังคมโดยรวม และให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสีย โดยมาจากกระบวนการยุติธรรมที่มีความอิสระจากการแทรกแซงของอำนาจทหาร ตำรวจ หรือรัฐบาล และหยุดใช้ความรู้สึกนำหน้าของเจ้าหน้าที่ในการสรุปเหตุการณ์ที่ชาวบ้านคลางแคลงใจในทุกกรณี

3.เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนที่ชายแดนใต้ของประเทศไทย ต่อกระบวนการยุติธรรมแห่งนิติรัฐ ภาครัฐจะต้องนำคนผิดในเหตุการณ์กรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ เหตุการณ์ซ้อมทรมานอิหม่ามยะผา กาเซ็ง จนเสียชีวิต เหตุการณ์ซ้อมทรมานนักกิจกรรมนักศึกษาราชภัฎยะลา และเหตุการณ์อื่นๆ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผย มาลงโทษดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามเจตนารมณ์ของหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่รัฐไทยได้เข้าร่วมลงนามและให้สัตยาบันกติการะหว่างประเทศและอนุสัญญาประกอบเป็นพันธกรณีที่จะต้องยึดถือปฏิบัติอยู่รวม 6 ฉบับ

4.ขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญมีภารกิจหลักในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยยึดถือหลักการสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และพันธกรณีระหว่างประเทศเป็นฐานในการปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา 257 มีอยู่ทั้งหมด 9 ข้อด้วยกัน โดยเฉพาะข้อ 4, 5 และ 6

 

 
แถลงการณ์
 
เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน
 
เรื่อง  ประณามกลุ่มคนร้ายที่กราดยิงชาวบ้านขณะกำลังละหมาดในมัสยิดประจำหมู่บ้าน บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิตทันที 10 คน และบาดเจ็บอีก 10 กว่าคน พร้อมเสนอรัฐทบทวนนโยบายการเมืองนำการทหาร
 
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกเข้ากราดยิงชาวบ้านด้วยอาวุธสงครามขณะกำลังละหมาดในมัสยิดประจำหมู่บ้าน บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งตามข้อมูลจากโรงพยาบาลนั้น มีผู้เสียชีวิต 10 คน แต่ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่ามีจำนวน 11 คน และมีผู้บาดเจ็บตามข้อมูลจากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์อีก 12 คน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 เวลาประมาณ 20.00 น. โดยที่คนร้ายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าขณะก่อเหตุด้วยนั้น
 
เรา เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.) ขอประณามการกระทำอันไร้มนุษยธรรมอย่างอุกอาจและไม่เคารพสถานประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิมชายแดนใต้โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายพิเศษที่มีอยู่ในมือของทหารอย่างล้นฟ้าตามอำนาจของกฎอัยการศึกและพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยกองกำลังทหารทุกหน่วยทุกประเภท ซึ่งในเวลาปัจจุบันนี้มีจำนวนถึง 70,000 กว่านาย อีกทั้งบริเวณที่เกิดเหตุก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับการควบคุมของกองบัญชาการผสม พลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ตามโครงการหมู่บ้านสันติสุข หรือ “หมู่บ้าน 3 ส.” ที่กองกำลังของ พตท. เรียกว่า “ชุดพัฒนาสันติ” กระจายเข้าไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านในพื้นที่สีแดงตามทัศนะของ พตท. จำนวน 217 หมู่บ้าน ทั่วพื้นที่ชายแดนใต้ แต่เหตุการณ์อันโหดเหี้ยมที่ต้องสังเวยชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ 10 หรือ 11 คน ในครั้งนี้ก็ยังเกิดขึ้นได้
 
ทั้งนี้ ความจริงที่ผ่านการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมแห่งนิติรัฐ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า คนร้ายเป็นใคร? แต่ทางโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค ๔ สน.) พ.อ.ปริญญา ฉายดิลก กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในคืนเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาประมาณ 22.30 น. ห่างจากเวลาเกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมงว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างอ่อนไหว และฝ่ายความมั่นคงยังไม่สามารถฟันธงโดยไม่มีหลักฐานได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด แต่ยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นกลุ่มใดนั้น กำลังเร่งตรวจสอบอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่พยายามเสี้ยมให้คนไทยพุทธกับคนมุสลิมทะเลาะกัน” การออกมายืนยันของผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษก กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า ในภาวะของเวลาอันจำกัดที่ห่างจากการก่อเหตุของคนร้ายเพียงแค่ 2 ชั่วโมง และในภาวะความอ่อนไหวของสถานที่เกิดเหตุนั่นคือ มัสยิดที่มีชาวบ้านกำลังละหมาดประจำเวลาอีซาอฺนั้น ดูเหมือนว่าเป็นการยืนยันบนฐานของความรู้สึกมากกว่าความเป็นจริง โดยที่อาจจะมีเจตนาดีอย่างไรก็ตาม แต่คำพูดเช่นนี้ ส่งผลในทางกลับกัน ทำให้เพิ่มความรู้สึกต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีความจริงใจในการให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน และยังส่อวิสัยว่า “อำนาจของทหารคือความยุติธรรม” ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อการสร้างสรรค์สันติภาพบนแนวทางสันติวิธีในพื้นที่ชายแดนใต้ของประเทศไทยแต่อย่างใดเลย
 
เรา เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน(คพช.) มีข้อเสนอแนะต่อทหารและรัฐบาล เพื่อสนองนโยบายการเมืองนำการทหารของภาครัฐที่ได้ประกาศไว้ต่อสังคมไทยและสังคมโลก ดังต่อไปนี้
 
1.      ให้รัฐบาลและทหารทบทวนนโยบายการเมืองนำการทหารนำสู่การปฏิบัติได้จริง ดังนี้
1.1   ถ้าอำนาจการตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ทหาร ในความเป็นจริงจะสามารถเกิดพื้นที่ทางการเมือง หรือพื้นที่สาธารณะที่มีหลักประกันความปลอดภัยหลังจากแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และปราศจากการคุกคามอย่างใส่ร้ายป้ายสีโดยเจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกและ พรก.ฉุกเฉิน หรือไม่
 
1.2   ตามหลักการข้อ 1.1 ความเห็นของเครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน(คพช.) คิดว่า มีความเป็นไปได้สูงพื้นที่ทางการเมืองหรือพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีเจ้าของชะตากรรมได้มาแก้ปัญหาความเดือดร้อนของตัวเองตามหลักการประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ถ้าตราบใดอำนาจสูงสุดของการแก้ปัญหาไฟใต้ยังอยู่ที่ทหาร ฉะนั้นแล้ว เรา ขอเสนอเพื่อพิจารณาว่าจะดีหรือไม่ ถ้ายกเลิกกฎอัยการศึกและ พรก.ฉุกเฉิน รวมทั้งถอนทหารออกจากพื้นที่ เพื่อเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้สามารถใช้แนวทางสันติวิธีได้อย่างแท้จริง
 
2.      ให้ภาครัฐลบความรู้สึกคลางแคลงใจของชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ในหลายๆเหตุการณ์ที่ชาวบ้านสงสัยว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนพัวพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์กราดยิงชาวบ้านในมัสยิดบ้านไอปาแยในครั้งนี้ โดยการ
2.1   พิสูจน์ สร้างความกระจ่างชัดต่อภาคสังคมโดยรวม และให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสีย โดยมาจากกระบวนการยุติธรรมที่มีความอิสระจากการแทรกแซงของอำนาจทหาร ตำรวจ หรือรัฐบาล
2.2   หยุด ใช้ความรู้สึกนำหน้าของเจ้าหน้าที่ในการสรุปเหตุการณ์ที่ชาวบ้านคลางแคลงใจในทุกกรณี
 
3.      เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนที่ชายแดนใต้ของประเทศไทย ต่อกระบวนการยุติธรรมแห่งนิติรัฐ ภาครัฐจะต้องนำคนผิดในเหตุการณ์กรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ เหตุการณ์ซ้อมทรมานอิหม่ามยะผา กาเซ็ง จนเสียชีวิต เหตุการณ์ซ้อมทรมานนักกิจกรรมนักศึกษาราชภัฎยะลา และเหตุการณ์อื่นๆ ที่ยังไม่ถูกเปิดเผย มาลงโทษดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามเจตนารมณ์ของหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่รัฐไทยได้เข้าร่วมลงนามและให้สัตยาบันกติการะหว่างประเทศและอนุสัญญาประกอบเป็นพันธกรณีที่จะต้องยึดถือปฏิบัติอยู่รวม 6 ฉบับ ดังนี้
·       อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกประติบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ[Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination (CERD)]
·       อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี [Convention against Torture and Other Cruel Inhuman or Degrading Treatment or Punishment (CAT)]
·       อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกประติบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบและพิธีสารเลือกรับ[Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women (CEDAW), Optional Protocol]
·       อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก[Convention on the Rights of the Child (CRC)]
·       กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง[UN International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)]
·       กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม[UN International Covenant of Economic, Social and Cultural Rights (ICESCR)]
 
4.      ขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญมีภารกิจหลักในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยยึดถือหลักการสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และพันธกรณีระหว่างประเทศเป็นฐานในการปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา 257 มีอยู่ทั้งหมด 9 ข้อด้วยกัน โดยเฉพาะข้อ 4, 5 และ 6 ซึ่งมีใจความดังนี้
ข้อ 4     ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควร เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ข้อ 5     เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ข้อ 6     ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย การเผยแพร่ ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน
 
10 มิถุนายน 2552
ด้วยจิตรักสันติภาพ
เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน
สามัคคีสากล ประชาชนเป็นใหญ่ อธิปไตยยุติธรรม
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท