สืบเนื่องจากเหตุการณ์คนร้ายสังหารพระสุพจน์ สุวโจ พระนักกิจกรรมในกลุ่มเสขิยธรรม กลุ่มพุทธทาสศึกษา และประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ สถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม พื้นที่กว่า 1,500 ไร่ ใน ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2548 ซึ่งมีผู้พบพระสุพจน์เสียชีวิตบริเวณพงหญ้าริมทางเดิน ในเขตสถานปฏิบัติธรรม เบื้องต้นพบว่าพระสุพจน์ถูกทำร้ายด้วยของมีคมไม่ทราบชนิดและขนาด จากคนร้ายไม่ทราบจำนวน มีบาดแผลฉกรรจ์กว่า 20 แผล ทั้งที่ศีรษะ ใบหน้า ลำคอ มือ แขน และลำตัว กระทั่งถึงแก่มรณภาพ ถึงปัจจุบันเวลาผ่านไป 4 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถนำคนร้ายมาดำเนินคดีได้
วานนี้ (17 มิ.ย.52) เครือข่ายกัลยาณมิตรพระสุพจน์ฯ ร่วมกับคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน และมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอัฐิและกิจกรรมครบรอบ 4 ปี การสังหารพระสุพจน์ สุวโจ ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.30 น. โดยกิจกรรมในช่วงเช้ามีการทำพิธีบำเพ็ญกุศลอัฐิ ถวายผ้าบังสุกุล และถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์ 20 รูป
ช่วงบ่าย พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ได้กล่าวในหัวข้อ “สรุปความไม่คืบหน้าคดีสังหาร” ว่า ถึงบัดนี้ผู้ที่ทำร้ายพระสุพจน์จนถึงแก่มรณภาพยังไม่ถูกจับกุม ไม่มีการดำเนินคดี ไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาทั้งญาติและผู้เกี่ยวข้องที่เคยร่วมงานกับพระสุพจน์ ถึงวันนี้ทุกฝ่ายไม่ได้คาดหวังที่จะให้ตัวผู้บงการถูกนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และไม่ได้คาดหวังให้กระบวนการยุติธรรมในสังคมจะช่วยอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
สิ่งที่พยายามทำอยู่ในขณะนี้และในอนาคต คือ ความพยายามที่จะสรุปบทเรียน จัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อที่สังคมจะได้องค์ความรู้เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นเดียวกันกับคดีของพระสุพจน์เกิดขึ้น ที่ผ่านมาคณะญาติ ผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่ศรัทธาในผลงานของพระสุพจน์รวบรวมเงินได้ราว 250,000 บาท ขณะนี้กำลังเตรียมการที่จะตั้ง “มูลนิธิพระสุพจน์ สุวโจ” ขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมข้อบังคับวิธีปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายช่วยพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรที่ตั้งขึ้นใหม่สามารถรองรับการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน การประยุกต์ใช้ศาสนธรรมกับการแก้ปัญหาสังคมเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของพระสุพจน์ต่อไป
ส่วนการกระตุ้นให้ผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือว่ารัฐบาล ให้เหลียวมองมายังเรื่องนี้ เพราะนอกเหนือจากคดีพระสุพจน์ คดีทนายสมชาย นีละไพจิตร คดีเจริญ วัดอักษร ยังมีคดีด้านมนุษยชนอีกมากมาย มีความสูญเสียอีกหลายต่อหลายราย ซึ่งต้องการบรรทัดฐานที่ชัดเจนว่าเมื่อเกิดความสูญเสียต่อบุคคลที่ทำประโยชน์ต่อสาธารณะ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางบทบาท ท่าที หรือมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“เราคงจะต้องสรุปบทเรียนกันบ้างว่าจะต้องเกิดความสูญเสียอย่างนี้อีกเท่าไร แค่ไหน เราจึงจะสามารถทำให้สังคมนี้อยู่เย็นเป็นสุขโดยคำนึงถึงประโยชน์ของมหาชน ของผู้ด้อยโอกาส ของส่วนรวมได้” พระกิตติศักดิ์กล่าว
ด้าน พ.อ.ปิยวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวในเวทีเสวนา “4 ปีคดีพระสุพจน์: บทพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมและสังคมไทย” ว่า ตั้งแต่รับผิดชอบดูแลคดีสังหารพระสุพจน์ ประเด็นต่างๆ ที่เคยมีก่อนหน้านี้ อาทิ การเป็นพื้นที่ลักลอบค้ายาเสพติดมาก่อน ประเด็นทะเละวิวาท ได้ตัดทิ้งไปเกือบหมดแล้ว มีเพียงประเด็นการบุกรุกพื้นที่สวนเมตตาธรรมที่เกิดขึ้นบ่อย ซึ่งยังมีทั้งที่แจ้งความและอยู่ในชั้นศาล และประเด็นผู้มีอิทธิพล การเมืองท้องถิ่น ในซึ่งเกี่ยวโยงกับการวิพากษ์วิจารณ์ความรุนแรงของรัฐบาลในสมัยนั้น
ทั้งนี้ ดีเอสไอมั่นใจว่า พยานหลักฐานที่มีขณะนี้สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า บุคคล 2 กลุ่มนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและน่าจะเป็นประเด็นมูลเหตุที่สำคัญในการฆาตกรรมพระสุพจน์ ในส่วนพนักงานสอบสวนเห็นตรงกันว่ากลุ่มผู้เกี่ยวข้องมีใครบ้าง แต่ต้องมีการรวบรวบพยานหลักฐานเพิ่ม ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากห่วงความปลอดภัยของพยานหลักฐาน
พ.อ.ปิยวัฒก์ กล่าวด้วยว่า การวางแผนคดีฆาตกรรมดังกล่าว บุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีความรู้ในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานจึงพบว่ามีความพยายามในการทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุ เช่น มีดที่ใช้ก่อเหตุ บุหรี่ก้นกรอง ในส่วนคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน และเชื่อว่ามีผู้เกี่ยวข้องหลายราย หลังจากลงไปสืบพบผู้ที่คาดว่ามีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องบางคนได้ถูกตัดตอนไป อย่างไรก็ตามยืนยันว่า หากผลการสืบสวนพบว่า มีหลักฐานที่จะเอาผิดกับผู้ใดที่เข้าไปเกี่ยวข้องได้ จะดำเนินการทั้งหมดไม่มีการละเว้นอย่างเด็ดขาด
ในประเด็นชู้สาว พ.อ.ปิยวัฒก์กล่าวว่า ฮาร์ดดิส ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของพระสุพจน์ หลังส่งให้ไอซีทีตรวจสอบพบว่ามีภาพลามกอยู่ แต่จุดที่น่าสังเกตคือ ข้อมูลถูกนำเข้าเครื่องมากในระหว่างวันที่ 9-16 มิ.ย. ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตค่อนข้างต่ำ การดาวโหลดรูปภาพแต่ละรูปต้องใช้เวลามาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบเช่นกันว่าภาพดังกล่าวเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร
ส่วนนางสุนี ไชยรส รักษาการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวแสดงความเห็นว่า ปัญหาเรื่องการแย่งชิงฐานทรัพยากร ผืนดิน ป่าไม้ แหล่งน้ำ มักเป็นประเด็นขัดแย้งมาก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ทำร้ายนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และเป็นความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ตลอด เพราะในส่วนของนโยบายไม่ดำเนินการ แต่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องสู้โดยลำพัง ดังนั้นสิ่งที่ต้องสรุปบทเรียนอดีต เพื่อไม่ให้นักต่อสู้เหล่านี้ต้องสูญเสีย คือเมื่อเกิดความขัดแย้ง มีการร้องเรียน ทุกฝ่ายต้องไปช่วยเข้าไปสะสางก่อนเกิดเหตุรุนแรง
รักษาการคณะกรรมการสิทธิฯ ยังได้กล่าวถึงการคุ้มครองพยานว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรมีการขับเคลื่อนไปพร้อมกับกระบวนการสืบหาข้อเท็จจริง นอกจากนี้ในส่วนของกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนก็เป็นเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนกันต่อไป
น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ว่าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่าโดยส่วนตัวมองว่าคดีพระสุพจน์ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพราะการสรุปว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองระดับท้องถิ่นรวมทั้งการเมืองระดับชาตินั้น ได้มีการสรุปตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ สังคมไทยมีเรื่องที่ต้องมองอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.สังคมไทยไม่ได้ยอมรับเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิในการมีชีวิตอยู่ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อชุมชน 2.ความล้มเหลวของระบบนิติรัฐ รัฐล้มเหลวในการคุ้มครองผู้ที่ลุกขึ้นมาปกป้องประโยชน์สาธารณะ 3.เชิงนโยบาย รัฐบาลมีอำนาจแต่ไม่สามารถใช้อำนาจในการปราบปรามกลุ่มอิทธิพลได้ เป็นปัญหาทางโครงสร้างที่ทำให้ต้องไว้อาลัยกันอยู่เรื่อยๆ
ส่วนทางออก 1.เมื่อเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลหรือนักการเมืองจะสามารถมาต่อสู้ให้ได้ประชาชนต้องรวมตัวเป็นองค์กรภาคประชาชนลุกขึ้นต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของทุกหน่วยงานของรัฐ สร้างเครือข่าย และรัฐต้องมีนโยบายปราบปรามอิทธิพลท้องถิ่นและนักการเมืองผู้มีอิทธิพลระดับชาติ 2.การต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนต้องทำงานในเชิงรุก เข้าไปเรียกร้องให้มีมาตรการป้องกัน มีการปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง
นายแสงชัย รัตนเสรีวงศ์ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน กล่าวว่าปัญหาของคดีนี้ไม่ได้อยู่ที่การจับผู้ร้ายได้หรือไม่ แต่ปัญหาคือทำไมรัฐจึงปล่อยให้เกิดกระบวนการใส่ร้ายป้ายสี ทำลายหลักฐาน หน่วยงานรัฐละเลย จงใจปกปิด บิดเบือนหลักฐานพยาน และผู้กระทำความผิดยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในหน้าที่ได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ สังคมเองจะอยู่ไม่ได้ ดังนั้นคนในสังคมต้องช่วยกันออกเสียงกระตุ้นจนกว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และอย่าละเลยเสียงของคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเรา
“รู้สึกสูญเสียยิ่งกว่าการสูญเสียตัวบุคคล คือสูญเสียความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม กระบวนการของรัฐ” นายแสงชัยกล่าว
นอกจากนี้นางพิกุล พรหมจันทร์ ผู้เรียกร้องความเป็นธรรมคดีฆ่าแขวนคอ 21 ศพ ที่ จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวถึงกรณีการข่มขู่คุกคามพยานในกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายในงานยังมีผู้ได้รับความสูญเสียจากการต่อสู้เพื่อประโยชน์สาธารณะเข้าร่วมด้วย อาทิ นางอังคณา นีละไพจิตร นักเคลื่อนไหวสตรี ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ซึ่งศาลมีคำสั่งให้สาบสูญ ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา และนางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ต.บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต และในวันที่ 21 มิ.ย.นี้จะถึงกำหนดครบรอบ 5 ปี การจากไป
ผลงานในระหว่างที่อยู่สวนโมกข์
- รับผิดชอบและดูแลงานห้องสมุดธรรมะของสวนโมกข์ (โมกขพลบรรณาลัย)
- เป็นวิทยากรในการฝึกอบรมธรรมะให้กับกลุ่มเยาวชนและนักศึกษาจากสถาบันการ ศึกษาต่างๆ ที่สนใจเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมในสวนโมกข์
- ช่วยงานของวัดในการอบรมอานาปานสติและการจัดค่ายเยาวชน
- ริเริ่มและพัฒนาการฝึกอบรมในสวนโมกข์โดยใช้วิธีการอบรมแบบมีส่วนร่วม
- ร่วมจัดตั้งกลุ่มพุทธทาสศึกษา เพื่อศึกษาผลงานของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างเป็นระบบ
- จัดทำเอกสาร และเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประยุกต์ธรรมะเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคม
- ร่วมเตรียมการและจัดกิจกรรมในโครงการธรรมยาตราเพื่อฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นการเดินรณรงค์ให้ชุมชนหันมาสนใจทะเลสาบสงขลาที่กำลังอยู่ในภาวะ วิกฤติ โดยโครงการนี้ได้จัดอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 – 2548
- ร่วมรื้อฟื้นหนังสือพิมพ์ “พุทธสาสนา” เพื่อสื่อสารธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสกับคนร่วมสมัยให้มากขึ้น
- ออกแบบและจัดรูปเล่มหนังสือธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสให้น่าดึงดูดใจผู้ อ่านมากขึ้น โดยผลงานจัดรูปเล่มหนังสือที่สำคัญในช่วงนี้คือ ผลงานชุด “ปณิธาน : เพื่อสืบสานปณิธานพุทธทาส” จำนวน 12 เล่ม
- ร่วมจัดกิจกรรมที่เน้นประเด็นทางสังคม โดยประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในและนอกสวนโมกข์
ผลงานหลังออกจากสวนโมกข์และจัดตั้งกลุ่มพุทธทาสศึกษา
- ทดลองจัดทำเว็บไซต์ธรรมะ “สมาคมคนน่ารัก” (www.khonnarak.com) เพื่อสื่อสารหลักธรรมอย่างเรียบง่ายและงดงามผ่านอินเตอร์เน็ต
- จัดทำและพัฒนาเว็บไซต์พุทธทาสศึกษา (www.buddhadasa.org) ซึ่งมีผู้เข้ามาใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก
- จัดทำและพัฒนาเว็บไซต์กลุ่มเสขิยธรรม (www.skyd.org) ซึ่งเป็นเครือข่ายของพระสงฆ์และแม่ชีที่ทำงานด้านประยุกต์ใช้ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
- จัดทำและพัฒนาเว็บไซต์ www.kruamas.org และล่าสุด กำลังเตรียมการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อรณรงค์ให้วัดและพระปลอดบุหรี่ ชื่อเว็บไซต์ โครงการเสริมสร้างภูมิชีวิตพิชิตบุหรี่ในเพศบรรพชิต (www.nosmoke.in.th)
- ให้คำปรึกษาและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์กับองค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานทางด้านสังคมอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังเช่น องค์กรในเครือข่ายของมูลนิธิเสฐียรโกเศศนาคะประทีป มูลนิธิโกมลคีมทอง เครือข่ายพุทธิกาเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม
- เป็นบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ของจดหมายข่าวเสขิยธรรมรายสามเดือนตั้งแต่ พ.ศ. 2542 – 2548
- จัดรูปเล่มหนังสือธรรมะต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิเช่น หนังสือชุดสรรนิพนธ์พุทธทาส ชุดธรรมทัศน์ของพุทธทาส จดหมายข่าวธรรมานุรักษ์ และหนังสือธรรมะอื่น ๆ จำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่า 100 เล่ม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)