การคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าว กับ ความมั่นคงของรัฐไทย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

รัฐชาติในโลกปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ แหล่งทำมาหากินได้อย่างอิสระเสรีมาตั้งแต่การสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก  เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคเอชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง ไทย พม่า ลาว หรือกัมพูชา  ก็ล้วนเกิดพรมแดนระหว่างรัฐในลักษณะที่เป็นขอบเขตพรมแดนเพื่อจำกัดอำนาจอธิปไตยของแต่ละรัฐมิให้ใช้อำนาจก้าวก่ายของรัฐอื่นโดยเฉพาะกิจกรรมที่อยู่เขตแดนรัฐอื่น  ดังนั้นรัฐจึงเข้ามาควบคุมการเคลื่อนไหวของคนที่มีลักษณะ “ข้ามพรมแดน” มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในรูปแบบของการจัดกองกำลังรักษาความมั่นคงเข้าป้องกันแนวชายแดน การจับกุมคุมขังและเนรเทศคนที่หลบหนีข้ามพรมแดนมาอย่างผิดกฎหมาย  ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับดินแดน เขตแดน หรือพรมแดน ก็คือ “สัญชาติ” นั่นเอง  เพราะสัญชาติเป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลใดผูกติดมีสิทธิหน้าที่อยู่กับรัฐผู้มีอำนาจเหนือดินแดนใด

หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ  มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนแต่ต้องแสวงหาทางรอดของตนเอง  ในอารยธรรมของทุกเผ่าพันธุ์ ล้วนมีประวัติศาสตร์ในการอพยพย้ายถิ่นเพื่อหลบหนีภัยพิบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม ความอดอยากแร้นแค้นทั้งที่เกิดตามธรรมชาติหรือเกิดจากการกดขี่ขูดรีดโดยมนุษย์ด้วยกัน  ดังนั้นการอพยพย้ายถิ่นฐานจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของสัญชาตญาณการแสวงหาทางอยู่รอดของมนุษย์ในการอยู่รอดและไม่สูญเสียเผ่าพันธุ์ลงไปโดยการเปลี่ยน “พื้นที่”   ก่อนยุครัฐชาติ “สัญชาติ” และ “เขตแดน” มิได้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการควบคุมการอพยพของคนไปยังพื้นที่ต่างๆ

สถานการณ์ปัจจุบันพบว่าเกิด ปัญหาการพยายามข้ามพรมแดนของคนสัญชาติหนึ่งในเขตอำนาจรัฐหนึ่ง ไปสู่ เขตแดนของอีกรัฐหนึ่งที่ตนไม่มีสัญชาติ ย่อมเกิดปัญหาว่า รัฐผู้มีอำนาจเหนือเขตแดนปลายทางดังกล่าวต้องปกป้องดินแดนของตนมิให้บุคคลสัญชาติอื่นย้ายข้ามพรมแดนมา  เนื่องจากรัฐต่างๆมีหน้าที่พื้นฐานในการรักษาความมั่นคงและสงบเรียบร้อยภายในเขตแดนของตนเป็นเบื้องต้น  การปล่อยให้คนที่รัฐไม่รู้จักไม่คุ้นเคย ไม่มีการตีตราทะเบียนราษฎร์ให้สังกัดไว้กับรัฐตน ก้าวข้ามพรมแดนเข้ามา รัฐย่อมวิตกกังวัลว่ารัฐจะควบคุม ดูแลคนเหล่านั้นมิให้สร้างปัญหากระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐได้อย่างไร  ยิ่งไปกว่านั้น รัฐยังมีหน้าที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลที่อยู่ในการปกครองของตน ผ่านการจัดงบประมาณเพื่อสร้างบริการสาธารณะมารองรับ อาทิ บริการสาธารณสุข อาหาร หรือที่พักพิง  หากมีบุคคลอื่นที่มิใช่ประชาชนของรัฐตน ก็มีความวิตกว่าจะเอางบประมาณที่ไหนมารองรับหากมีคนจากที่อื่นเข้ามาเยอะๆ   จากข้อกังวลของรัฐข้างต้นจะพบสิ่งที่เป็นปัจจัยต่อนโยบายรัฐ ในการห้ามคนอื่นข้ามพรมแดน ก็คือ

1. คนจากที่อื่นจะเข้ามาสร้างปัญหาต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย
2. คนจากที่อื่นจะเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรในการจัดบริการสาธารณะของรัฐ

การมองปัญหาการเข้าเมืองมาทำงานของแรงงานต่างด้าวในสายตารัฐไทยจึงมีความกังวล 2 ประการนี้ประกอบไปด้วยเสมอ ก็ด้วยความห่วงใยที่มีต่อความมั่นคงสงบเรียบร้อยของชาติ  และความกังวลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างบริการสาธารณะให้ “ปวงชนชาวไทย”

ปัญหาการอพยพของแรงงานต่างด้าวเมื่อมองจากสายตาของรัฐไทยจึงถือเป็น “ภัย” รูปแบบหนึ่งต่อการปกครองประเทศ  อย่างไรก็ดี “แรงงานต่างด้าว” ซึ่งเป็นบุคคลที่มาจากที่อื่นย่อมมิใช่ทรัพย์สิ่งของที่จะกระทำอย่างไรก็ได้ เนื่องจากแรงงานต่างด้าว ก็ถือเป็นมนุษย์เฉกเช่นมนุษย์คนอื่น ย่อมสร้างประโยชน์และสร้างปัญหาได้ไม่ต่างกับมนุษย์ที่สังกัด “สัญชาติ” และ “เขตแดน” ของรัฐไทย  ต่างกันตรงที่ประชาชนชาวไทยผ่านกระบวนการต่างๆที่ทำให้รัฐพอเชื่อได้ว่าจะปกครองได้ ไม่ว่าจะเป็น การศึกษา กฎหมาย ทะเบียนราษฎร์ หรือที่ใหญ่กว่านั้นคือ วัฒนธรรมการเมืองการปกครองที่ครอบงำจิตใจคนไทยได้อย่างเข้มแข็ง

ปัญหาแรงงานต่างด้าวที่จะกล่าวถึงในบทความนี้จะเน้นไปที่แรงงานต่างด้าวซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายดังที่ทำกันอยู่ในช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา  แต่จะมุ่งไปที่กลุ่มแรงงานต่างด้าวซึ่งมิได้จดทะเบียน ตกเป็นกลุ่มที่อยู่นอกสำรวจอย่างเป็นทางการซึ่งมีตัวเลขที่ประกาศออกมาว่ามีประมาณ 2 ล้านคน  ซึ่งแรงงานต่างด้าวเหล่านี้เองที่อาจอยู่ในความวิตกกังวลของรัฐไทย  และเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกกดขี่ละเมิดสิทธิจากนายจ้างหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
คำถามสำคัญของเรื่องนี้จึงน่าจะอยู่ที่  “รัฐไทยจะจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างไร”  เมื่อจะตอบคำถามนี้ให้ได้จึงต้องหันมาดูสิ่งที่รัฐไทยยึดถือเป็นกรอบการใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ  รัฐไทยประกาศตนเป็น “นิติรัฐ” ที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสูงสุดในการปกครองประเทศ และอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีกฎหมายระหว่างประเทศผูกพันรัฐไทยบางประการ  ชุดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาแรงงานต่างด้าว นอกจากส่วนที่เป็นกฎหมายเรื่องการเข้าเมืองแล้ว ก็จะเป็นในส่วนของกฎหมายประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่อยู่ในรูปแบบของ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ  กฎหมายรัฐธรรมนูญภายใน และกฎหมายที่มีลักษณะประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล อาทิ รัฐธรรมนูญ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นต้น  เมื่อนำกฎหมายสองชุดที่เกี่ยวข้องมาตอบปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ก็จะตอบเป็นแนวทางได้ดังต่อไปนี้

กรณีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเมื่อดูตามนิยามสถานะของบุคคลตามกฎหมายแล้ว มิน่าจะใช่ผู้ลี้ภัย เนื่องจากแรงงานต่างด้าวมีการเคลื่อนย้ายพรมแดนอันเนื่องมาจากเหตุผลที่มิใช่ “การประหัตประหาร” โดยตรง จึงไม่ถือเป็น “ผู้ลี้ภัย” ที่สามารถอ้างสิทธิเพื่อลี้ภัยไปยังดินแดนอื่น  รัฐไทยที่เป็นปลายทางหรือระหว่างทางของการอพยพไม่จำเป็นต้องให้สิทธิต่างๆแก่แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในฐานะ “ผู้ลี้ภัย” และมิพักต้องให้สิทธิเสรีภาพบุคคลเทียบเท่าพลเมืองของรัฐตน   คำถามที่ตามมาจึงเป็นการแสวงหาขอบเขตว่ารัฐไทยมีกรอบหน้าที่ในการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างไร  หากจะมองให้ง่ายกว่านั้นก็คือ  “สิทธิใดบ้างที่แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายต้องได้รับการคุ้มครอง”

แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายถือเป็นมนุษย์และบุคคลตามนิยามของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิต่างๆตามที่กฎบัตรรับรองแน่นอน  รัฐไทยในฐานะที่มีพันธกรณีอยู่กับกฎบัตรสิทธิมนุษยชนย่อมมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและงดเว้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างด้าว แต่กลุ่มดังกล่าวมิใช่พลเมืองสัญชาติไทย ดังนั้นจึงมีการถกเถียงกันว่าหากรัฐไทยต้องประกันสิทธิเสรีภาพทั้งหมดให้กับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอาจจะสร้างภาระและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐไทย  คำถามที่เฉพาะเจาะจงกับปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายมากขึ้นก็คือคือ “สิทธิใดบ้างที่แม้แต่คนต่างด้าวหรือไร้สัญชาติพึงได้รับการคุ้มครอง”  ไม่ว่าจะด้วยผลของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ อาทิ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง  หรือผลของกฎหมายภายใน อาทิ รัฐธรรมนูญ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯลฯ

สิทธิที่รับรองโดยกฎหมายนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ

1. สิทธิที่จะไม่ถูกละเมิด (Passive Rights) คือ สิทธิเสรีภาพที่มีติดตัวบุคคลทั้งหลายอยู่แล้ว แม้รัฐมิได้ยื่นมือเข้ามาคุ้มครองบุคคลเหล่านั้นก็มีสิทธิอยู่แล้ว เช่น สิทธิในชีวิต เนื้อตัว ร่างกาย ปลอดจากการกระทำที่โหดร้าย ทรมาน สิทธิในการกระบวนการยุติธรรม กล่าวคือ หากรัฐจะจับบุคคลมาลงโทษจะต้องมีกระบวนการพิสูจน์ความผิดก่อนที่จะลงโทษ  ดังนั้นหน้าที่ของรัฐในสิทธิประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นการงดเว้นการละเมิดสิทธิ เช่น ไม่อุ้ม ฆ่า ทรมาน หรือขังลืมโดยไม่มีกระบวนการลงโทษตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด  ซึ่งสิทธิเหล่านี้มิได้สร้างภาระในเชิงงบประมาณหรือความรับผิดชอบมากนัก เพียงงดเว้นการใช้อำนาจโดยมิชอบและใช้กระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่แล้วจัดการกับคนที่ต้องสงสัยว่ากระทำความผิด  ข้อสังเกตที่สำคัญต่อสิทธิประเภทนี้ คือ สิทธินี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานส่วนบุคคล หากบุคคลไม่ได้รับการคุ้มครองก็อาจตายได้ เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆจึงต้องงดเว้นการละเมิดสิทธิเหล่านี้ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนไทยหรือไม่ก็ตาม ดังเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ปรากฏอยู่ในตอนร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พ.ศ.2540 และ พ.ศ.2550

2. สิทธิก่อตั้ง (Active Rights) คือ สิทธิเสรีภาพที่บุคคลใช้แล้วอาจมีผลเปลี่ยนแปลงอนาคตของชุมชน สังคม หรือรัฐชาติ  เช่น  สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ประชามติ ประชาพิจารณ์ สิทธิในการจัดสรรทรัพยากรชุมชน/รัฐ  ดังนั้นหน้าที่ของรัฐในสิทธิประเภทนี้ คือ จัดหากระบวนการมารองรับการตัดสินอนาคตของบุคคลแล้วมีกระบวนการมารองรับผลการตัดสินใจให้เปลี่ยนไปเป็นนโยบาย กฎหมาย หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาทิ การจัดเลือกตั้งและรับรองการเลือกตั้ง การจัดประชาพิจารณ์ การจัดลงประชามติ หรือกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ที่ผลเปลี่ยนแปลงนโยบาย  ข้อสังเกตของสิทธิประเภทนี้คือ เป็นสิทธิในการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าสังคมหรือรัฐที่ผลต่อบุคคลอื่นๆหรือสังคมด้วย  ประเทศส่วนใหญ่ในโลกจึงไม่ให้สิทธิเหล่านี้แก่คนต่างด้าวหรือคนไร้สัญชาติเพราะไม่มีจุดเกาะเกี่ยวที่ต้องมารับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม

การจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายจึงจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน(Passive Rights) แต่มิต้องให้สิทธิก่อตั้ง(Active Rights) เนื่องจากแรงงานต่างด้าวมิใช่คนชาติที่ต้องมาร่วมรับชะตากรรมจากการใช้สิทธิก่อตั้งกำหนดอนาคตของสังคมอันมีผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ  แนวทางในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายโดยไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐไทย ก็คือ การนำตัวผู้อพยพข้ามพรมแดนมาอย่างผิดกฎหมายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม  แล้วใช้กระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่พิสูจน์ความผิดและลงโทษตามกฎหมายการเข้าเมืองฯกำหนดไว้ ซึ่งมาตรการขั้นเด็ดขาดอาจนำไปสู่การเนรเทศก็ได้  หากเราพิสูจน์ได้ว่ากระบวนการทั้งหมดที่นำมาใช้จัดการปัญหานั้นได้ประกันสิทธิในชีวิต เนื้อตัว ร่าง กาย ไม่มีการทรมาน  อันเป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับรัฐที่มีกฎหมายเป็นเครื่องมือสูงสุดในการปกครองประเทศตามหลัก “นิติรัฐ”  ที่จำต้องใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยไม่ขัดกับหลักนิติธรรมนั่นเอง  แนวทางนี้ย่อมนำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานในการจัดการปัญหาผู้ลักลอบอพยพข้ามพรมแดนของคนต่างด้าว คนไร้สัญชาติอย่างชัดเจนมั่นคงกว่าการปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังซุกซ่อนไว้ รอวันปะทุออกมาเป็นความรุนแรงที่ยากจะจัดการในอนาคต

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท