ปีกซ้ายพฤษภาฯ : ประชาชนไทย : สรุปบทเรียน ในวาระ 3 ปีหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

I. ทบทวนประวัติศาสตร์

 
ก่อน 2475
ก่อน พ.ศ.2475 แผ่นดินสยามอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันมีลักษณะเฉพาะพิเศษที่เรียกขานกันว่า ‘ศักดินา’
 
อำนาจทั้งหมดมิได้รวมศูนย์อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ แต่ทว่าผูกขาดรวมศูนย์แบ่งปันกันในกลุ่ม ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์’ โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเพียง ‘สัญลักษณ์’ ซึ่งสามารถถูกถอดถอน บีบบังคับ ครอบงำ หรือแม้กระทั่งถูกปลงพระชนม์ได้เสมอ หากขัดต่อประโยชน์เชิงอำนาจ/บารมีกับกลุ่ม ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์’ (ท่านสามารถศึกษาประวัติศาสตร์เรื่องนี้ได้จาก พงศาวดารไทยฉบับมาตรฐานทุกๆ ฉบับ หรือชมภาพยนตร์เรื่อง ‘สุริโยไท’ ก็ได้)
 
ลักษณะสำคัญที่ระบบเผด็จการ ‘ศักดินา’ ขูดรีดแรงงาน และทรัพย์สินจากประชาชนไทย ก็โดยการ ‘กด’ ประชาชนลงไปเป็น ‘ไพร่’
‘ไพร่’ ไม่มีสิทธิเสรีภาพใดๆ, ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต, ไม่มีสิทธิแม้แต่ในชีวิตของตนเอง หรือ ของสมาชิกในครอบครัว โดย ‘เจ้านาย’ อ้างความเป็น ‘เจ้าชีวิต’ เหนือ ‘ไพร่’ทุกคน
 
จริงอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ได้ทรงประกาศเลิกทาสในรัชสมัยของพระองค์ แต่นั่นมิได้หมายความว่า ประชาชนสยามจะมีสภาพกลายเป็น ‘เสรีชน’ ไปกับการเลิกทาสนั้น   เพราะแม้ไม่มีทาส แต่ประชาชนสยามก็ยังคงสถานะ ‘ไพร่’ ที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพแต่อย่างใด อำนาจและความมั่งคั่งยังคงถูกผูกขาดอยู่ในกลุ่มเผด็จการ ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์’ เช่นเดิม
 
กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้ทำให้สังคมสยามเห็นความอ่อนด้อย ไร้ประสิทธิภาพ และเหลวแหลก ไร้ศีลธรรมของกลุ่มเผด็จการ ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์’ ในสมัย รัชกาลที่ 6 และ 7 จนนำไปสู่การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน 2475
 
2475
การอภิวัฒน์ 2475 มักถูกบิดเบือนโดยเผด็จการไทยสมัยใหม่ (และนักวิชาการไทยที่ถนัดในการบิดเบือนหลักวิชาการ เพื่อรับใช้ผู้กุมอำนาจ) ว่า เป็นการ ‘ชิงสุกก่อนห่าม’ บ้าง, ‘ทำไปโดยไม่ดูความพร้อมของประชาชนไทย’บ้าง, ‘เป็นการตัดตีนให้เข้ากับเกือก’บ้าง, ‘ตามก้นฝรั่ง/คลั่งตะวันตก’บ้าง
 
ข้ออ้างเพื่อการบิดเบือนเหล่านี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพียงประการเดียวคือ เพื่อทำลายอุดมการณ์และหลักการของการอภิวัฒน์ 2475 ให้สิ้นไปจากสังคมไทย  
 
อุดมการณ์และหลักการของการอภิวัฒน์ 2475 ที่เหล่าเผด็จการต้องการทำลาย ก็คือ
1)       อำนาจอธิปไตย เป้นของประชาชนไทย
2)       เลิก ‘ไพร่’, เกิด ‘เสรีชน’
3)       ความเท่าเทียมกันในสิทธิเสียงของคนไทยทุกคน
4)       การกำหนดให้รัฐต้องรับใช้และตอบสนองความต้องการของประชาชน
5)       การสร้างเสริมศักยภาพของประชาชนทุกชนชั้น
6)       การกระจายทรัพยากรที่กลุ่มเผด็จการ ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์’ ขูดรีดจากประชาชน ให้กลับไปบำรุงความสุขสมบูรณ์ของประชาชน
 
หลัง 2475
หลังการอภิวัฒน์ 2475 กลุ่มเผด็จการ ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์’ ได้ผนึกกำลังรวมกลุ่มกับกลุ่มเผด็จการทหาร และระบบราชการ ทำลายระบอบประชาธิปไตย และอุดมการณ์หลักการของการอภิวัฒน์ 2475 ทีละน้อยๆ จนกลายรูปเป็นระบอบ ‘เผด็จการแบบไทย’ (หรือจะเรียกให้ฟังดูดีว่า ‘ประชาธิปไตยแบบไทย’ ก็ได้)
 
ระบอบ ‘เผด็จการแบบไทย’ มีระดับความเข้มข้นแตกต่างกันไปหลายระดับ ตั้งแต่เป็นเผด็จการทหารเต็มรูป (เช่น ยุคสฤษฏ์) เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบหรือเผด็จการครึ่งใบ (เช่น ยุคเปรม) เป็นเผด็จการอำพราง (เช่น ยุคอภิสิทธิ์)
 
14 ต.ค. 2516 – 6 ต.ค. 2519
เหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 เป็นผลโดยตรงจากความขัดแย้งระหว่างระบอบเผด็จการทหาร กับความต้องการสิทธิเสรีภาพของประชาชน ผนึกกับความต้องการส่วนแบ่งในอำนาจของชนชั้นนายทุน และชนชั้นกลาง
 
ในขณะที่การต่อสู้กำลังแหลมคม และมีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในระดับลึกถึงโครงสร้าง ผู้กุมอำนาจรัฐอย่างแท้จริง ก็คือ กลุ่ม ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์/ทหาร/ระบบราชการ’ [เพื่อความสะดวก ขออนุญาตใช้คำย่อ ‘จขอทร.’ แทน ‘เจ้านาย/ขุนนางอำมาตย์/ทหาร/ระบบราชการ’] ก็เลือกที่จะโยนบาปทั้งหมดให้กับเผด็จการทหารกลุ่ม ‘ถนอม-ณรงค์-ประภาส’ เพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ และสร้าง ‘ชัยชนะลวง’ ให้กับประชาชน
 
ผลจากสังคมที่มีสิทธิเสรีภาพ และผลจากการเปิดโปงการกดขี่ข่มเหงของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ทำให้ประชาชนเรียกร้องและต่อสู้ภายใต้อุดมการณ์ ‘สังคมนิยม’ และนั่นทำให้กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’จำต้องใช้มาตรการเด็ดขาด โดยการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
 
ระบอบเปรมาธิปไตย (ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือ เผด็จการครึ่งใบ)
ความพยายามที่จะย้อนเอาประเทศไทยกลับไปสู่ยุคก่อน 14 ต.ค.ของคณะปฏิรูปการปกครองแห่งประเทศไทย มีอันต้องล้มเหลว
 
กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ จึงได้สถาปนาระบอบเปรมาธิปไตยขึ้น โดยยอมให้มีการเลือกตั้ง ยอมให้มีรัฐบาลผสม แต่ไม่ยอมให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้มีอำนาจอย่างแท้จริง ทุกนโยบาย ทุกโครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้กุมอำนาจรัฐตัวจริงเสมอ นั่นก็คือ กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’
 
รวมไปถึงการมีนายกฯที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ โดยตรงอย่าง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
 
ยุคสมัยนี้ ถือเป็นยุครุ่งเรือง และเป็นยุคแห่งอุดมคติของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ โดยแท้ ด้วยเหตุผลสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
 
1)        อำนาจรัฐที่แท้จริงอยู่ในกำมือของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’
2)        รัฐบาล และนักการเมือง เป็นหนังหน้าไฟ หรือกันชนให้ เวลามีข้อขัดแย้งกับประชาชน หรือ กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
3)        ด้วยความจำกัดของระบบข้อมูลข่าวสารในหมู่ประชาชน ทำให้กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ สร้างภาพความศักดิ์สิทธิ์/คุณธรรมมาครอบงำสังคมได้อย่างเต็มที่ ยิ่งมีภาพความอำมหิตของเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 และมีการเพิ่มโทษกฎหมายอาญา ม.112 ให้รุนแรงขึ้น สร้างความหวาดกลัว จนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง
4)        ผลของการให้ความยอมรับกับกลุ่มปัญญาชนที่เคยมีบทบาทในยุค 14 ต.ค. สื่อมวลชน และ NGO ทำให้กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ได้คนกลุ่มนี้มาเป็นสมุนรับใช้ และสะสมมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายมาเป็นกำลังสำคัญของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ จนถึงทุกวันนี้
 
พฤษภาคม 2535
หลังจากเปรม ถูกขับไล่ และไม่สามารถที่จะขึ้นเป็นนายกฯได้อีก จนนำไปสู่การนำรัฐบาลโดย ‘น้าชาติ’ พล อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แม้แผ่นดินไทยจะมีนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ก็ยังคงเป็นผู้ถือครองอำนาจรัฐตัวจริงอยู่ดี
 
เมื่อ ‘น้าชาติ’ เริ่มล้ำเส้น เสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น ‘เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า’ ปฏิรูประบบราชการ การพยายามกำจัดอิทธิพลทางการเมืองของทหาร ฯลฯ
 
ความนิยมที่ประชาชนมีต่อน้าชาติเริ่มสูงมากขึ้น สร้างความหวาดผวาให้กับกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ จนนำไปสู่การรัฐประหาร โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในเดือน ก.พ. 2534 โดยมีจุดหมายสำคัญ คือการนำระบอบเปรมาธิปไตยอันเป็นสังคมในอุดมคติของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’กลับคืนมา
 
แต่แล้วในเดือน พ.ค.2535 รสช.ก็ต้องถูกต่อต้านจากกระแสประชาธิปไตย ประกอบกับเกิดการแย่งชิงอำนาจกันในกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ กันเอง ทำให้กลุ่ม รสช.ต้องลงจากอำนาจ และแน่นอนว่า ในช่วงที่ประชาชนกำลังต่อสู้อย่างแข็งขัน ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย 14 ต.ค.2516 อีกครั้ง เมื่อภาพ ‘ชัยชนะลวง’ของประชาชนได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
 
แม้ดูเหมือนว่า หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ฝ่ายประชาชนจะไม่ได้รับชัยชนะใดๆ อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน   แต่ความจริงแล้ว ยังมีสิ่งที่มีค่ามหาศาลที่ได้มา ก็คือ ‘รัฐธรรมนูญ 2540’
 
ก่อนที่รัฐธรรมนูญ 2540 จะมีผลบังคับใช้นั้น ประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้ระบอบ ‘เปรมาธิปไตย’ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 มีผลใช้บังคับ ระบอบ ‘เปรมาธิปไตย’ ก็ค่อยๆ หมดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ
    
 
II. ระบอบทักษิณ ???
 
ระบอบทักษิณมีอยู่จริง!!! แต่ถ้อยคำที่พยายามสร้างภาพให้ระบอบนี้เป็นเรื่องของตัวบุคคล เป็นเรื่องลวง!!!
 
‘ระบอบทักษิณ’ ที่ถูกต้องควรถูกเรียกว่า ‘ระบอบรัฐธรรมนูณ 2540’ !!!
 
ลักษณะพิเศษของระบอบรัฐธรรมนูญ 2540 ก็คือระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทยอย่างกว้างขวางและสั่นคลอนไปถึงราก นั่นคือ
 
1)            การเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ทำให้ผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนของราษฎรจริงๆ
2)           การเลือกตั้งแบบระบบสัดส่วนทำให้ประชาชนสามารถ เลือกนายกรัฐมนตรีได้โดยตรง!!! ประชาชนสามารถเลือกพรรคที่มีนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้โดยตรง!!!
พูดแบบตรงไปตรงมา การเลือกตั้งระบบสัดส่วนตามรัฐธรรมนูญ 2540 ก็คือ ระบบกึ่งประธานาธิบดีนั่นเอง !!!
3)            การเลือกตั้งวุฒิสภา ทำให้วุฒิสภาที่เคยมีที่มาจากการแต่งตั้งของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ต้องหมดอำนาจในสภาไป
4)            ร่วมกับการกำหนดให้รัฐบาลมีสถานะที่เข้มแข็ง (แต่ก็ถูกตรวจสอบได้ทั้งจากรัฐสภา องค์กรอิสระ และประชาชน) ทำให้ทั้งรัฐบาลและรัฐสภาต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งด้านการนำเสนอนโยบาย และต้องนำมาปฏิบัติให้ได้ผลอย่างจริงจังด้วยจึงจะขึ้นสู่อำนาจได้ นั่นก็หมายความว่า ด้วยข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญนี้ ทำให้ผลประโยชน์ที่เคยกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ต้องถูกกระจายลงไปสู่ประชาชนโดยตรง!!!
 
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ประชาชนไทยมีสิทธิเลือกรัฐบาลของตนเอง และเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลต้องตอบสนองความด้องการของประชาชนอย่างจริงจัง
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ประชาชนไทยก้าวออกจากการเป็น ‘ไพร่’ มาสู่การเป็น ‘เสรีชน’ เต็มตัว !!!
 
รัฐธรรมนูญ 2540 สร้างความตระหนก ไม่เพียงแต่กับกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ แต่ยังสร้างความตระหนกอย่างรุนแรงให้กับชนชั้นกลางทั่วไปด้วย เพราะอยู่ๆ รัฐธรรมนูญ 2540 ก็ทำให้ชนชั้นล่างที่ถูกเชื่อกันว่า โง่ ขาดการศึกษา [ที่จริง การศึกษาภาคบังคับที่ขยายจำนวนปีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความแตกต่างทางการศึกษาของคนไทยลดลงเรื่อยๆ ยิ่งการศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย ยังเน้นการท่องจำ และยังเป็นระบบ ‘อาจารย์เป็นใหญ่’ ก็ยิ่งทำให้ความแตกต่างระหว่างผู้จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย กับผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอก แทบไม่มี] กลายมาเป็นเสรีชนที่มีคุณภาพ และ กลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากการกระจายทรัพยากรของรัฐที่เคยเป็นของชนชั้นกลาง
 
ทำให้กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ได้แนวร่วมจากชนชั้นกลางผนึกเข้าไปอีกกลุ่ม
 
วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ จึงเป็นวาทกรรมลวงโลก ความจริงก็คือ ความต้องการปฏิเสธ ระบบกึ่งประธานาธิบดีของระบอบรัฐธรรมนูณ 2540 !!!
 
ความเกลียดชัง ‘ทักษิณ’ คือการอำพรางความเกลียดกลัวต่อ ‘เสรีชน’ จำนวนมหาศาลในประเทศไทยที่กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ และ ‘ชนชั้นกลาง’ ต้องการให้เป็น ‘ไพร่’ตลอดไป!!!
 
ว่ากันว่า ถึง ‘ทักษิณ’ ตาย ก็ยังมี ‘ระบอบทักษิณ’ และ ถึงสิ้น ‘ระบอบทักษิณ’ ก็ยังมี ‘วัฒนธรรมคนแบบทักษิณ’ อีก !!!
 
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า ศัตรูตัวจริงของกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ไม่ใช่ ‘ทักษิณ’ แต่เป็น ‘เสรีชน’ ที่ก้าวพ้นความเป็น ‘ไพร่’ มาต่างหาก!!!
 
การรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’    หลังจากลองมาหลายวิธี ไม่ว่าจะให้ยุบสภา คาร์บอมบ์ ใช้การสร้างสถานการณ์ต่างๆ นานา แต่ก็ไม่สามารถทำให้ ‘เสรีชน’ กลับไปเป็น ‘ไพร่’ ได้อีก
 
มีแต่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 และทำลายหลักการ 4 ข้อของรัฐธรรมนูญ 2540 (1 เขต 1 คน ระบบสัดส่วน เลือกตั้งวุฒิสมาชิก รัฐบาลเข้มแข็ง) เท่านั้น จึงจะทำให้ ‘เสรีชน’ กลับเป็น ‘ไพร่’ ดังเดิมได้!!!
   
และ วิธีเดียวที่จะทำให้ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ได้ ก็คือ การรัฐประหาร !!!
 
เป้าหมายสูงสุดของการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 จึงมิใช่ทักษิณ (และไม่ใช่เหตุผล 4 ข้อที่เอามาอ้าง) แต่เป็น
1)            เปลี่ยน ‘เสรีชน’ ให้กลายเป็น ‘ไพร่’ ดังเดิม
2)            ดึงเอาทรัพยากร อำนาจ และบารมีของ ‘เสรีชน’ กลับมาสู่กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ และแบ่งเศษกากเดนให้ ‘ชนชั้นกลาง’
 
การรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แทบจะเรียกได้ว่า เป็นการย้อนรอยเลียนแบบการรัฐประหาร 6 ต.ค.2519 !!!
 
นั่นคือ ก่อนการรัฐประหาร มีการระดมปูพื้นสร้างความชอบธรรมโดยนักวิชาการปัญญาชน (แบบเดียวกับกลุ่มนวพล) ใช้สื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวจริงปนเท็จ (แบบเดียวกับ นสพ.ดาวสยาม ชมรมวิทยุเสรี และ สถานีโทรทัศน์ของรัฐ) ใช้มวลชนชนชั้นกลาง (แบบเดียวกับลูกเสือชาวบ้าน) ใช้อันธพาลการเมืองจัดตั้ง (แบบเดียวกับ กระทิงแดง) ชี้นำด้วยอุดมการณ์เปล่ากลวง ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’ (เหมือนกันอีก)
 
ต่างกันเพียง การรัฐประหารครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้อง เข่นฆ่ากันอย่างทารุณแบบ 6 ต.ค.2519 เท่านั้น (นั่นหมายความว่า ถ้าจำเป็นก็ทำแน่)
 
 
III. เราสูญเสียอะไรไปกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ?
 
1) สิ่งสำคัญที่สุดที่เราสูญเสียไป ก็คือ ความเป็นเสรีชน สิทธิเสรีภาพในการออกสิทธิเสียงโดยการเลือกตั้งได้ถูกปล้นไปโดยการรัฐประหาร รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนถล่มทลายถูกทำลายไปในชั่วพริบตา พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชนสูงสุดในประวัติศาสตร์ถูกยุบโดยกระบวนการตุลาการภิวัฒน์  สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกทำลาย พร้อมๆ กับการใช้ ป.อ. มาตรา 112 เป็นเครื่องมือปิดปากประชาชนที่กล้าพูดความจริง
 
2) เราสูญเสีย ระบอบประชาธิปไตยไปอย่างไม่มีวันกลับ ตราบเท่าที่ผู้ทำการรัฐประหาร (และผู้อยู่เบื้องหลัง) ยังคงลอยนวล ไม่ต้องรับผิดใดๆ และผู้เสียหายจากการรัฐประหารยังไม่ได้รับการชดเชย และตราบเท่าที่รัฐธรรมนูญ 2540 ยังไม่กลับมา
 
จริงอยู่ แม้ปัจจุบันเราจะมีรัฐสภา มีพรรคการเมือง มีนายกฯที่ผ่านการเลือกตั้งมา ฯลฯ แต่ทว่า นั่นเป็นเพียงแค่หน้ากาก หรือเสื้อคลุมที่อำพรางกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ที่เป็นผู้กุมอำนาจรัฐอย่างแท้จริงไว้เท่านั้น
 
3) ประเทศไทยต้อง สูญเสียโอกาส ทั้งทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ รัฐบาลที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง หากมาจากการแต่งตั้ง หรือได้รับความเห็นชอบจากกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ ทั้งยังปราศจากความสามารถและประสิทธิภาพในการต่อสู้กับสภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในระดับโลกได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้โอ่ประโคมยกหางตนเองว่า เป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต และมีฝีมือในระบบราชการ (ซึ่งก็คือ การทำงานเอาใจเจ้านายขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้ตำแหน่งสูงๆ ในกระทรวง โดยไม่ต้องมีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด)
 
ผลก็คือ ประเทศก้าวถอยหลังทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจถดถอย หนี้สินเพิ่มพูน โรงงานปิดตัว คนตกงานมากมาย ฯลฯ
 
4) ระบบกฎหมาย นิติธรรม นิติรัฐ ถูกทำลายจนย่อยยับด้วยระบบตุลาการภิวัฒน์ อันเป็นความอัปยศ และความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกลงในกระบวนการยุติธรรมไทยไปเสียแล้ว ทำให้อำนาจตุลาการยอมหมอบราบคาบแก้วต่อกฎหมายที่มิได้มีที่มาจากประชาชน แต่มาจากปืนและรถถัง   
 
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงอาจารย์ทางนิติศาสตร์ที่คอยเสนอความเห็นที่วิปลาสจากหลักกฎหมาย และอ้างตนเป็นพหูสูต แสดงความเห็นหน้าจอโทรทัศน์ได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องมีข้อมูลรอบด้านแต่อย่างใด
 
5) เราสูญเสีย สื่อของประชาชน ไป เหลือเพียงกลุ่มธุรกิจสื่อสารมวลชน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักวิชาชีพหรือจรรยาใดๆ เพียงมุ่งหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ และสร้างอิทธิพลทางการเมืองให้กลุ่มและพวกพ้องของตนเองเท่านั้น
 
6) อุดมการณ์ที่ดีงามกำลังหายไปจากสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์รับใช้ประชาชน อุดมการณ์ความเสมอภาค อุดมการณ์เสรีภาพ อุดมการณ์มนุษย์นิยม อุดมการณ์สันติภาพ อุดมการณ์เสรีนิยม อุดมการณ์สังคมนิยม อุดมการณ์สันติวิธี อุดมการณ์ธรรมราชา อุดมการณ์ความเป็นธรรม ฯลฯ   ถูกครอบงำด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมที่คับแคบกระหายสงคราม อุดมการณ์ศาสนาแบบงมงาย อุดมการณ์เทวราชาที่หลอกลวง อุดมการณ์เหยียดไพร่ใฝ่เจ้า อุดมการณ์อำนาจนิยม อุดมการณ์อุปถัมภ์ยึดพวกพ้อง อุดมการณ์ยึดเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ อุดมการณ์เผด็จการ อุดมการณ์ความมั่นคง ฯลฯ
 
7) เราสูญเสีย ความเป็นไทย ไป จากการสมาทานอุดมการณ์เลวร้าย ทำให้อวิชชาบังตา จนเห็นพี่น้องประชาชนที่ยากไร้เป็นศัตรู เป็นคนโง่ เป็นคนชั่ว เป็นสัตว์นรก เป็นไข่แม้ว เป็นพวก นปก. เป็นพวกเสื้อแดง เป็นคอมมิวนิสต์ ฯลฯ (ถึงขั้นที่ว่า ฆ่าตีพวก นปก.ไม่บาป หรือแพทย์ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยเสื้อแดง หรือ ตำรวจ ฯลฯ) ตราบเท่าที่อุดมการณ์สามานย์เหล่านี้ยังธำรงอยู่ ความสมานฉันท์ย่อมไม่เกิดและความเป็นไทยย่อมสูญหายไปชั่วนิรันดร์
 
8) ประชาชนต้องสูญเสียสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งในอุดมการณ์ธรรมราชา และในอุดมการณ์ประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นร่มพระบรมโพธิสมภารที่ประชาชนสามารถใกล้ชิด เข้าหา และมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ ทั้งยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์ แนะนำ ปรับปรุงได้ด้วย แต่ภายใต้อุดมการณ์เผด็จการ สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถูกผูกขาดและหวงแหนไว้โดยกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้รักชาติ และจงรักภักดีอย่างแท้จริง กลับถูกขับไล่ออกจากร่มเงาของสถาบันพระมหากษัตริย์
 
ผู้เผด็จการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้างในการกระทำชั่วทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร การทำลายศัตรูทางการเมือง การกดขี่ประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร การปิดปากประชาชนที่รักเสรีภาพ การเข่นฆ่าประชาชน การยึดสถานที่ราชการและสนามบิน การพูดปดมดเท็จใส่ร้ายใส่ความ การทำลายความยุติธรรม ฯลฯ กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’สามารถท่องคาถา ‘ปกป้องสถาบัน’ แล้วก็กระทำการชั่วร้ายใดๆ ก็ได้โดยไม่ต้องรับโทษ
 
หากเปรียบสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นร่มไม้อันร่มเย็นกว้างใหญ่ไพศาล ที่ประชาชนสามารถพื่งพิงพักอาศัย กันแดด กันฝน กันลมพายุ (ตามอุดมการณ์ธรรมราชา) กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ก็เปรียบเสมือน อสรพิษร้ายและกาฝาก ที่ไม่เพียงแต่จะขับไล่ประชาชนส่วนใหญ่ออกไปจากร่มไม้นี้ หากยังริดกิ่งรานใบกัดกร่อนลำต้น และเซาะทำลายไปจนถึงรากแก้วนั่นเอง
 
หากยังปล่อยให้กลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ เบียดบังทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป อนาคตของประเทศไทย และประชาชนไทยจะเป็นอย่างไร ท่านก็คงคาดเดาได้ไม่ยาก !!!
 
 
IV.  บทสรุป และ เราจะก้าวไปอย่างไรต่อ?
การต่อสู้กับกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’ ที่ยึดครองอำนาจรัฐมาอย่างยาวนานนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่อาจจะเห็นผลได้ในระยะเวลาอันสั้น มีแต่จะต้องค่อยๆ สะสมชัยชนะเท่านั้นจึงจะทำได้
 
จึงมีข้อเสนอ ดังนี้
 
1)   ต้องไม่หลงประเด็นว่า ศัตรูของพวกเราเป็นใคร เพราะศัตรูไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ ไม่ใช่คุณสนธิ และไม่ใช่คุณเปรม แต่เป็นกลุ่มเผด็จการ ‘จขอทร.’
 
2)   ต้องไม่หลงประเด็น วางเป้าหมาย ‘สูงสุด’ เพียงแค่การช่วยคุณทักษิณเท่านั้น เป้าหมายสูงสุดของเราต้องวางไว้ที่การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ปลดปล่อย ‘ไพร่’ ให้กลายเป็น ‘เสรีชน’
 
3)   การช่วยให้คุณทักษิณได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเรื่องสำคัญ และสำคัญมากในเชิง ‘สัญลักษณ์’ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการเรียกร้องประชาธิปไตย
 
4)   รัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่สำคัญและมีผลในการเปลื่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศได้จริงๆ ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญ 2540 สามารถทำให้ ‘ไพร่’ กลายเป็น ‘เสรีชน’ ได้จริงๆ ในขณะที่รัฐธรรมนูญ 2550 ก็สามารถทำให้ ‘เสรีชน’ กลับลงไปเป็น ‘ไพร่’ได้อีก    
 
ผมยอมรับว่า ‘รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม’ นั้น มีอยู่จริง แต่การที่นักวิชาการบางสำนักเอาแต่พล่ามเรื่อง’รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม’ โดยดูเบาบทบาทของ ‘รัฐธรรมนูญตัวจริง’ ทำให้สังคมตกลงไปในหล่มทางความคิดที่ไม่มีทางออก
 
5)   พวกเราบางท่าน ‘ฝัน’ ไปถึงเป้าหมายที่สูงเกินไป ไม่ว่าจะเป็น ‘รัฐสวัสดิการ’ ‘เลือกนายกฯโดยตรง’ ไปจนสุดขั้วถึงขั้น ‘สาธารณรัฐ’ 
 
ไม่ว่าท่านจะฝันไปไกลขนาดไหน อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีประชาธิปไตย แบบรัฐธรรมนูญ2540 ก็เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไปสู่ฝันของท่านโดยหนทางแห่งความสงบสันติ
 
6) หนทางไปสู่จุดหมายไม่ได้มีทางเดียว ควรเลือกทางที่มีโอกาสสูญเสียน้อยที่สุด
 
7) ชัยชนะ ไม่ได้เกิดจากการยึดพื้นที่ หรือยึดอำนาจมาใช้ แต่ได้มาจากการยึดกุมหัวใจและความคิดของประชาชนส่วนใหญ่
 
8) ต้องสะสมชัยชนะระยะยาว ไม่หวังความสะใจระยะสั้น และไม่ใช้ทางลัด (เช่น การรัฐประหาร การก่อวินาศกรรม ฯลฯ)
 
9) เนื่องจากเราไม่อาจพึ่งสื่อกระแสหลักได้ จึงต้องเร่งสร้างสื่อให้ครบทุกด้าน เข้าถึงทุกกลุ่ม
 
10) ไม่ก้าวตามพันธมิตร นั่นคือ ไม่ใช้ความเท็จ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้ความงมงาย ไม่แอบอิงเผด็จการ  ไม่ดูถูกประชาชน ไม่สนับสนุนการรัฐประหาร ไม่กระหายอำนาจ ไม่เป็นสุนัขรับใช้ให้ศัตรูของประชาชน
 
11) สร้างบรรยากาศการวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งในเชิงปฏิเสธ และในเชิงสร้างสรรค์ (ที่ผ่านมา มักเน้นกันแต่ในเชิงปฏิเสธ)
 
12)   หากคิดจะต่อสู้ด้วยสันติวิธีกันอย่างจริงใจ (ไม่ใช่แบบพันธมิตรที่ปากคาบสันติวิธี แต่การกระทำกลับป่าเถื่อนอำมหิต) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฝึกฝน มีการสมมติสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือ มีการกำหนดหน้าที่รับผิดชอบกันอย่างเคร่งครัด ฯลฯ
 
13) รำลึกไว้เสมอว่า การต่อสู้ย่อมมีทั้งแพ้และชนะ วาทกรรมที่ว่า ‘ในท้ายที่สุด ชัยชนะย่อมเป็นของประชาชนเสมอ’ หรือ ‘ธรรมะย่อมชนะอธรรมในตอนจบ’ หรือ ‘ประวัติศาสตร์จะตัดสินอย่างเที่ยงธรรม’    วาทกรรมเหล่านี้ เป็นเพียงการปลอบใจตนเอง หรืออาจถึงขั้นเป็นการหลอกตัวเองก็ได้
 
ท้ายที่สุด เราอาจจะชนะ และเราอาจจะแพ้  
แต่ถ้าหากเราแพ้ ก็ขออย่าให้เป็นการ ‘ยอมแพ้’ เท่านั้น มันก็น่าพอใจแล้ว !!!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท