Submitted on Sat, 2009-11-21 01:20
บ่ายวันนี้ (20 พ.ย.52) เวลาประมาณ 15.00 น.เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหมืองทอง ซึ่งเป็นนายตำรวจเกษียณอายุ และพวกอีก 5 คน ของบริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด ได้เข้าไปปักป้ายขนาด 2×3 เมตร ในที่ดินพิพาทระหว่างชาวบ้านและบริษัท อัครา ไมนิ่ง โดยมีข้อความว่า “บริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ ให้ทำเหมืองทองคำ”
ต่อมาชาวบ้านจึงได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจทับคล้อ ในอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตรในเวลาต่อมา แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ เนื่องด้วยที่ดินยังเป็นคดีอยู่ในชั้นศาล ตำรวจจึงเพียงแต่ลง ‘บันทึกประจำวัน’ เพียงเพื่อเป็นหลักฐานเท่านั้น
ทั้งนี้ที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตประทานบัตรหรือเขตสัมปทาน ในเขตหมู่ 9 บ้านเขาหม้อ ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ที่ดินพิพาทแปลงนี้กำลังดำเนินการอยู่ในชั้นศาล เนื่องด้วยกรมป่าไม้ได้ฟ้องคดีโดยกล่าวหาว่า ชาวบ้านบุกรุกที่ป่าในช่วงปีพ.ศ.2550 ผลการตัดสินของศาลชั้นต้นให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะคดี แต่กรมป่าไม้ไม่ยอมรับในคำพิพากษาจึงได้อุทธรณ์คำสั่งศาล ขณะนี้ที่ดินพิพาทแปลงนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ คือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือ น.ส.3 แต่เมื่อมีการแบ่งที่ดินออกเป็นสองแปลงเนื่องจากมีถนนตัดผ่าน ที่แปลงหนึ่งออกโฉนดได้ แต่อีกแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่พิพาทกลับไม่สามารถออกได้ ชาวบ้านจึงได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมเป็นเช่นนั้น?
อีกทั้งตามกฎหมายแร่ หรือ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 มาตรา 50ซึ่งระบุว่า “ถ้าที่ซึ่งขอประทานบัตรเป็นที่อันมิใช่ที่ว่าง หรือมีที่อันมิใช่ที่ว่างรวมอยู่ในเขต ผู้ยื่นคำขอต้องแสดงหลักฐานให้เป็นที่พอใจของพนักงานเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ขอจะมีสิทธิทำเหมืองในเขตที่นั้นได้
“ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอนำหนังสืออนุญาตของผู้มีสิทธิในที่นั้นมาแสดงว่า ผู้ขอจะมีสิทธิทำเหมืองได้ หนังสือนั้นต้องมีคำรับรองของนายอำเภอประจำท้องที่ประกอบด้วย”
จากบทบัญญัติจะเห็นได้ว่า ผู้ยื่นคำขอหรือบริษัท อัครา ไมนิ่ง จะต้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของชาวบ้านเสียก่อน ถึงจะได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ แต่ทำไมที่ดินซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลกลับได้รับการอนุญาตเมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม 2551 ที่ผ่านมา