Skip to main content
sharethis

ที่โรงแรมเรดิสัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวการคาดการณ์ทิศทางการเมืองไทยหลังยึดทรัพย์ 7.6 พันล้านทั้งหมดว่า หัวข้อคงเห็นแล้วว่า ตนคาดการณ์ยังไง เชื่อยังใจเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ ขอชี้แจงก่อนว่าที่มาแถลงข่าววันนี้ไม่ต้องการที่จะกดดันศาล ไม่ต้องการที่จะให้เกิดผลใดๆ ต่อการตัดสินคดี เพราะเชื่อว่า ไม่มีใครที่จะกดดันศาลได้ และคาดว่า ถึงอย่างไรก็จะมีการยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านทั้งหมดอยู่แล้ว ที่จะมาแสดงความเห็นนี้ คือต้องการวิเคราะห์การเมืองก่อนและหลัง โดยเฉพาะหลังการยึดทรัพย์  รวมทั้งที่จะเสนอข้อเสนอต่อฝ่ายต่างๆ โดยหวังว่าจะลดความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบ้านเมือง และหวังว่าจะให้ฝ่ายต่างๆ นำไปคิดเพื่อที่จะสร้างความสมานฉันท์ และเพื่อที่แก้ปัญหาประเทศให้เป็นประชาธิปไตย และมีความยุติธรรมมากขึ้นในโอกาสต่อไป

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนคาดการณ์การเมืองค่อนข้างจะแม่น จะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค ท่านสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นยังไง  ท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีจะเป็นยังไง ทักหลายๆ พรรคจะยุบหรือไม่ก็ถูกตลอด ครั้งนี้เป็นการคาดการณ์หรือจะเรียกว่าทายก็ได้ เป็นการคาดการณ์อยากให้ผิด แต่ว่าทำไมตนจึงเชื่อว่าจะมีการยึดทรัพย์ทั้ง 7.6 หมื่นล้าน ที่สำคัญตนไม่ดูรายละเอียดของสำนวน ไม่ได้ดูรายละเอียดของกฎหมาย ไม่ทราบความคืบหน้าในการพิจารณาคดีในเนื้อหาสาระเลย แต่เหตุที่เชื่อว่าจะมีการยึดมีอยู่ 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือมีความเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับรององค์กรตรวจสอบที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น อย่าง คตส. และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังรับรองการกระทำทุกอย่างของ คตส.แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่นว่า การสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระบบยุติธรรมของไทยก็ได้ยอมรับการรัฐประหารและการแทรกแซงระบบยุติธรรมของคณะรัฐประหาร

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เหตุผลส่วนที่ 2 ที่สำคัญกว่า ที่ผ่านมาอย่างน้อย 2-3 เดือน ได้มีการปล่อยมีการกดดันศาลและชี้นำสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะให้เห็นว่าทรัพย์สินนี้ได้มาโดยมิชอบ ควรที่จะยึดเสีย และจะมีเหตุวุ่นวายรุนแรงแรงก่อนพิจารณาคดีและหลังพิจารณาคดี

“การกดดันศาลและสร้างกระแสสังคมเพื่อให้มีการตัดสินไปก่อนศาล ให้สังคมตัดสินไปก่อนศาล ได้ทำโดยบุคคลสำคัญของรัฐบาลเอง บางอย่างทำโดยนายกรัฐมนตรีเอง และบุคคลในรัฐบาล มีการใช้สื่อของรัฐอย่างเป็นระบบต่อเนื่องเพื่อการนี้ และมีการปล่อยให้มีการแสดงความคิดเห็นทั้งสื่อของรัฐ และสื่อต่างๆ ในลักษณะที่กดดันศาล ชี้นำสังคม สร้างกระแสสังคม ให้สังคมตัดสินไปก่อน โดยบุคคลสำคัญของรัฐ พันธมิตรประชาธิปไตย และอดีต กรรมการคตส.เอง ความจริงเป็นกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และหลักความยุติธรรม โดยทั้งหมดเกือบจะไม่เห็นการชี้แจงฝ่ายเจ้าของทรัพย์ที่จะถูกยึดเลย ใครพูดถึงบ้างในแง่ชี้แจงแทนเจ้าของทรัพย์ หรือให้ความเห็นไปในทางที่ไม่ยึด ก็จะถูกกล่าวหาทันทีว่ากดดันศาล” นายจาตุรนต์

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า จากเหตุผล 2 ส่วนนี้สันนิฐานว่า คนสำคัญๆ ของรัฐบาล พันธมิตรฯ อดีตกรรมการ คตส.ก็ดี จะรู้หรือเชื่อว่า จะมีการยึดทรัพย์ทั้งหมด โดยเฉพาะการเตรียมการของฝ่ายความมั่นคง การเตรียมการใช้ทีวีของรัฐชี้แจงการยึดทรัพย์ จะมีการหาทางป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดหลังการตัดสินคดี ทำให้ตนเชื่อว่าจะมีการยึดทรัพย์ทั้งหมด 7.6 หมื่นล้าน เมื่อยึดทรัพย์หมดแล้ว การเมืองไทยจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งก็จะดีใจกระโดดโลนเต้น อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่เห็นด้วย ไม่พอใจ และอาจมีบางส่วนถึงอาจโกรธแค้น มีฝ่ายหนึ่งถึงอาจช็อคคิดไม่ถึง  ตกใจ นึกไม่ถึง เรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้คนในสังคมไทย ต่อระบบ กระบวนการยุติธรรมของประเทศ ทั้งในแง่การชื่นชม และมีการตั้งคำถามกันครั้งใหญ่ นอกจากนั้นจะมีความเสี่ยงความรุนแรงตามมา และอาจจะนำไปสู่การใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ความขัดแย้งในสังคมไทยยึดลึก บานปลายออกไป ยากที่จะสมานฉันท์

“อย่างที่พูดนี้ไม่ได้หวังผล ไม่ได้ต้องการกดดันศาล และไม่ต้องการให้มีผลต่อการตัดสินคดี แต่ที่พูดหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งก่อนการตัดสินคดีและหลังการตัดสินคดี และย้ำว่า สิ่งที่ผมวิเคราะห์นี้ยังอยากให้ทายผิด คาดผิด ข้อเสนอที่มีต่อฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายความมั่นคง ก็คงต้องเสนอตรงไปที่นายกฯ คือเสนอว่า ท่านนายกฯและรัฐบาลควรจะต้องยุติ ล้มเลิกการดำเนินการในลักษณะเป็นการกดดันศาล ชี้นำสังคม สร้างกระแสสังคมที่เชื่อมโยงกับการเตรียมการให้กำลังจัดการกับประชาชนด้วย อยากจะขอเสนอให้ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่า การต่อสู้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้อย่างสันติ เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความยุติธรรม ยังไม่มีการเสนออะไรกับคดีด้วยซ้ำ แต่แน่นอนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือความยุติธรรมของประชาชนนั้น ที่ผ่านมาประชาชนได้รับการปฏิบัติอย่าง 2 มาตรฐานในการรักษากฎหมาย ปิดทางที่เขาจะได้รับความยุติธรรม และประชาธิปไตย ในช่องทางเขาถูกปิดเรื่อยมา จะอาศัยองค์กรอะไรในบ้านเมืองที่จะขอความยุติธรรมก็ยากเต็มที และนอกจากนั้นล่าสุดความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อความสมานฉันท์ก็ถูกปิดไปอีก ช่องทางนี้ก็ถูกปิดไปอีกโดยรัฐบาลนี้ประชาชนบางส่วนก็อาจจะมีความคิดไม่หวังพึ่งระบบ และคิดถึงการใช้กำลัง ใช้ความรุนแรงบ้าง ซึ่งก็ยังเป็นประชาชนส่วนน้อย สิ่งที่อยากเสนอก็คือ รัฐบาล และฝ่ายความมั่นคงอย่าได้ใช้ประโยชน์ความจากสภาพอย่างนี้ สภาพอัดอั้นตันใจ อดรนทนไม่ไหวของประชาชน อย่าฉวยโอกาสใช้คนเพียงจำนวนหนึ่งที่อาจจะมีความคิดใช้ความรุนแรง สร้างความวุ่นวายขึ้นมาเป็นโอกาสปราบปรามประชาชน เพราะว่าถ้าหากไปทำอย่างนั้นแล้ว รัฐบาลได้เปรียบหลายด้วย กุมสื่อไว้หมด เครื่องมือกลไกอะไรต่างๆ อยู่ในมือหมด และฝ่ายเคลื่อนไหวเองก็เพลี่ยงพล้ำมีบางส่วนที่คุมกันไม่อยู่ พูดอะไรแล้ว เสนออะไรแล้ว สังคมไม่ค่อยรับอยู่ด้วย รัฐบาลก็อาจชนะทางการเมือง ปราบปรามประชาชนได้อย่างสบายๆ แต่หลังจากนั้นถ้าพูดถึงระยะยาวออกไป สังคมไทยก็จะเป็นสังคมขัดแย้งกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น มีแผลบาดลึกมากยิ่งขึ้น ยากที่จะเยียวยา ยากที่จะสมานฉันท์ และเป็นการเผชิญหน้าไม่รู้จักจบจักสิ้น สร้างความเสียหายให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของรัฐบาลอยากจะเสนอว่า รัฐบาลควรตั้งหลัก ตั้งสติ พยายามที่จะสร้างความสมานฉันท์ ส่งเสริมหรือเข้าร่วมในการแก้ไขกติกาให้เป็นประชาธิปไตย และส่งเสริมให้มีการแสดงความคิดเห็นเพื่อที่จะปรับปรุงระบบยุติธรรมประเทศนี้ให้มีความยุติธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า  ในส่วนของฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตนก็อยากเสนอให้ยึดมั่นแนวทางสันติวิธี อย่างเคร่งครัดดำเนินการทุกอย่างภายใต้กฎหมาย และแยกแยะเสียว่า ใครคือแกนนำหรือไม่ใช่แกนนำ อะไรคือแนวทางขององค์กรที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ปล่อยให้สับสน ข้อเสนออะไรที่ไม่ใช่ข้อเสนอในแนวทางสันติวิธี เช่น ถ้ามีรัฐประหารก็ให้ถือขวดมาคนละใบ ใส่น้ำมันคนละลิตร อย่างนี้ไม่ใช่ข้อเสนอสันติวิธี การมีนักรบ มีทหารพรานเตรียมพร้อมที่จะสู้ตอบโต้ หรือการพูดเฉียดไปเฉียดมาของสงครามการเมือง รวมทั้งล่าสุดข้อเสนอตั้งกองทัพประชาชน ซึ่งความจริง ผู้เสนอหรือผู้ที่เป็นต้นคิด เป็นกองทัพที่ไม่ใช้อาวุธ ไม่มีอาวุธ แต่เนื่องจากผู้พูดก็มีมากกว่าหนึ่งคน  และเป็นฝ่ายบู๊ซะด้วย จึงทำให้คนคิดหรือนึกไปด้วยว่า เป็นกองทัพที่เป็นกองกำลังอาวุธ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นการต่อสู้อย่างสันติวิธี เพราะฉะนั้นยังอยากเห็นแกนนำต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยปฏิเสธ ซึ่งปฏิเสธไปแล้วพอสมควร ควรจะนำเรื่องที่มีการพูดกันมานำมาปฏิเสธเสียให้ชัด และหากมีข้อเสนออะไรในทางที่จะไม่เป็นไปตามแนวทางสันติวิธีต้องปฏิเสธให้ชัดเจน รวมทั้งพยายามดูแลไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ที่อยากเสนอทั้ง 2 ส่วนคือ ทั้งกับรัฐบาลและกับผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคือ นอกจากระมัดระวังก่อนถึงวันตัดสินแล้ว และหลังวันตัดสินคดี อยากเสนอให้ฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาไตย ต้องมีการเตรียมความคิด เตรียมความรู้สึกประชาชน ให้มีความอดทน อดกลั้นมากที่สุด รัฐบาลหรือมีผู้อำนาจให้ความร่วมมือในการที่จะเปิดโอกาสให้มีการเสวนา มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงการวิชาการและวงการนักการเมือง เพื่อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการอย่างเหมาะสม เพื่อให้คนมาคิดกันว่า ระบบยุติธรรมของไทยดีหรือไม่ดีอย่างไร ยุติธรรมจริงหรือไม่อย่างไร แล้วหาทางแก้ปัญหาตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายโดยสันติวิธี เรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องที่หลายๆ ท่านอาจมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของทรัพย์สิน แม้จะมากก็เป็นของคนๆ เดียว แต่ที่มาเสนอเพราะเห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่จะเชื่อมโยงไปกับระบบทั้งระบบ ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ ระบบยุติธรรมของประเทศ และความขัดแย้งหรือความสามัคคีกันของคนในประเทศ จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนทั้งประเทศ ผลของเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความยุติธรรมนั้น จะเกี่ยวกับประชาชนทั้งประเทศ จึงอยากให้ประชาชนติดตามเรื่องนี้ด้วยใจเป็นธรรม ศึกษาหาข้อมูลในเรื่องนี้โดยเปิดรับข้อมูลจากทุกฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้มีการให้ข่าว ให้ข้อมูลชี้นำอยู่ฝ่ายเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ส่วนจะใช้วิจารณญาณตัดสินใจอย่างไร เห็นว่าอะไรดีไม่ดีอย่างไร ถ้าทุกอย่างอยู่ภายใต้กระบวนการของกฎหมาย อยู่ภายใต้สันติวิธี สังคมคงจะหาทางออกมาในอนาคตกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกมาพูดครั้งนี้เกรงว่าจะมีการพูดหมิ่นศาลหรือไม่ ที่พูดว่าอาจจะมีการกดดันศาลจากฝ่ายรัฐบาล แต่ฝ่ายศาลอาจจะไม่ได้พิจารณาหรือจากเงื่อนไขจากการกดดัน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการกดดันศาลอย่างชัดเจน ชี้นำสังคมอย่างชัดเจน ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และตนเรียกร้องไม่อยากให้ทำอย่างนี้ ดูเหมือนไม่มีใครว่าอะไร ในวันนี้ที่มาพูดบอกชัดเจนว่า ไม่ได้หวังผล ไม่ต้องการผลต่อคดีนี้เลย เพราะเชื่อว่าคงยึดแล้ว ตนกำลังเรียกร้องต่อสังคมให้หาทางป้องกันปัญหาที่จะตามมา การพูดอย่างนี้ถ้าเป็นกลายเป็นว่ากดดันศาลก็จะแปลกมาก เพราะที่ผ่านมาเห็นทีวีของรัฐวิเคราะห์ว่า ทรัพย์สิน วิเคราะห์ว่าทรัพย์สินควรจะถูกยึดอย่างไร อดีตคตส.ก็ออกมาพูดในทางที่จะให้ยึด วันนี้ผมก็บอกว่าเชื่อว่ายึด ไม่เห็นจะบอกว่าต้องการให้เป็นอื่นอย่างไรเลย เพียงแต่อยากให้สังคมได้เตรียมความคิด และหาทางแก้ไขปัญหาที่ตามมา

เมื่อถามว่า เงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านที่วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ กลุ่มเสื้อแดงจะไปชุมนุมที่กกต. มองหรือไม่ว่าจะสามารถทำให้กกต.เปลี่ยนใจหรือตัดสินใจไปในทางใดทางหนึ่ง นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เสื้อแดงไปกดดันกกต.ไปทวงถามกกต.มากกว่า ผลที่เกิดขึ้นคือทำให้สังคมมาสนใจในเรื่องนี้มากขึ้นได้อีกหน่อย เข้าใจว่าตอนนั้นข่าวอื่นคงจะกลบเสียด้วย แต่คงทำให้สังคมสนใจวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น และคงทำให้กกต.โดยเฉพาะประธานกกต.มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปมากยิ่งขึ้น ก็อาจจะทำให้ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ไม่กล้ายื้อเวลาอีกต่อไป หรือไม่กล้าที่จะช่วยช่วยพรรคประชาธิปัตย์มากๆ อย่างที่ทำไปในฐานะประธานกกต.เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ประธานกกต.ได้ทำผิดไปแล้ว เห็นชัดเจนอยู่แล้ว ที่ไปลงมติไปเสร็จแล้วมาบอกว่าขอเวลาอ่านอีกมันผิดอยู่แล้ว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net