8 ก.พ.53  แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ชุมนุมหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อสอบถามคืบหน้าในคดีบุกรุกที่ดินเขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ของ พล.อ.สุรยุท์ จุลานนท์ องคมนตรี กรณีบุกรุกที่ดินเขาสอยดาว จ.จันทบุรี และคดีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ที่เป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ทั้งนี้หลังการชุมนุม ในเวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ผบก.ประจำ บช.น.และโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ( บช.น.) กล่าวสรุปสถานการณ์การชุมนุมบริเวณหน้าอัยการสูงสุดของกลุ่มเสื้อแดงว่า มีผู้ชุมนุมประมาณ 600 คน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ในพื้นที่ กทม.นั้น จะมีขึ้นอีกในวันที่10 กุมภาพันธ์  หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ หน้าสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.)  และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ บริเวณศูนย์ราชการ (กกต.)

ทั้งนี้โฆษก บช.น. กล่าวด้วยว่า ภายในสัปดาห์หน้า ตำรวจและทหาร จะทำการซักซ้อมแผนการรับมือและการปราบจลาจล โดยจะใช้กำลังกว่า 5,000 คน นอกจากนี้ ยังได้ตรวจสอบความพร้อมการรักษาความปลอดภัยงบุคคลสำคัญ ซึ่งมีกลุ่มบุคคลสำคัญอยู่ในพื้นที่ให้กำหนดมาตรการดูแล ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี/คณะรัฐมนตรี องคมนตรี ป.ป.ช. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยอ้างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ครม. ได้อนุมัติเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ใน 38 จังหวัด ที่คาดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหว ทั้งก่อนและหลังวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 26 กุมภาพันธ์นี้ โดยเป็นกำลังผสม ตำรวจ ทหาร และพลเรือน โดยในบางจังหวัดจะเข้มงวดเป็นพิเศษ โดยในส่วน กทม. และปริมณทลจะมีการตั้งด่าน 200 จุด ใช้กำลังผสม 54 กองร้อย และคุมเข้มสถานที่สำคัญๆ ซึ่งจะทยอยเข้าพื้นที่ หลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์

นายปณิธาน กล่าวด้วยว่า จะเน้นตรวจสอบกลุ่มที่เคลื่อนไหวว่า ได้ติดอาวุธเพื่อก่อความไม่สงบ หรือเตรียมวินาศกรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือไม่ ซึ่งอาจจะทำให้มีผลกระทบบานปลาย ที่สำคัญต้องระวังไม่ให้มือที่สาม เข้ามาแทรกแซง ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ และหากมีความจำเป็นก็จะประกาศใช้กฎหมายที่มีความเข้มข้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ทุกมาตรการเป็นขั้นตอนปกติตามกฎหมาย โดยเชิญสื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์ทุกขั้นตอน