Skip to main content
sharethis

การชุมนุมของคนเสื้อแดงเดือนมีนาคม 2553 นั้นมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง และอารยะเสียยิ่งกว่าการชุมนุมใดๆ หากรัฐและสังคมไทยจะรู้จักเรียนรู้ วิเคราะห์ และเก็บรับอย่างปราศจากอคติ

การชุมนุมของคนนับแสนในกรุงเทพฯ และเรือนล้านที่ไม่ได้มาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ มีที่มาจากความคั่งแค้น ถูกกดขี่ ถูกละเมิด และความรู้สึกถูกกระทำตลอดเวลายาวนาน อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าความรู้สึกเหล่านี้คนชั้นกลางในเมืองและสื่อที่มีใจภักดิ์กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

การเก็บความรู้สึกคั่งแค้น สะสม และกดสัญชาติญาณของความรุนแรงไว้ภายใน แล้วเลือกแสดงออกอย่างสันติ เต็มไปด้วยระเบียบวินัยที่ไม่ได้มีใครบังคับ ทั้งยังมุ่งมั่นต่อการพิสูจน์บนแนวทางสันติ ท่ามกลางความยั่วยุ ดูถูกดูแคลน หากไม่เรียกว่า ‘อารยะ’ โลกทั้งใบนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วที่พอจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘อารยะ’

ผมไม่รีรอและไม่ลังเลที่จะสรรเสริญแนวทางของคนเสื้อแดงที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้  เราแทบไม่เห็นข่าวการตรวจพบอาวุธตลอดการเดินทางและตลอดการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งๆ เชื่อได้ว่า หากพบเพียงมีดพร้าสักเล่ม สื่อมวลชนและสื่อของรัฐคงไม่รีรอที่จะกระพือข่าว

หากได้ลองไปชุมนุม ไม่ว่าคุณจะใส่เสื้อสีอะไร คุณก็จะสังเกตได้ไม่ยากถึงน้ำจิตน้ำใจ และความมุ่งมั่นในแนวทางสันติของผู้ร่วมชุมนุม เช่น เราแทบจะหาคนกินเหล้าได้น้อยมาก น้อยจริงๆ ผมสังเกตพบเพียงขวดเบียร์ในมือของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสองคน ตลอดการไปสังเกตการณ์ 4 วัน เพื่อนร่วมงานบางคนรายงานว่า ได้กลิ่นเหล้าโชยมาอยู่ครั้งหนึ่ง แต่มองไปไม่เห็นขวด ขณะที่คุณจะสังเกตได้ถึงความระแวดระวังเงื่อนไขที่จะทำให้สื่อและรัฐนำไปกระพือโหมโจมตีได้อย่างไม่ยาก ทั้งในระดับปัจเจกชนที่เข้าร่วม และในระดับการปราศรัยของแกนนำส่วนใหญ่ หากคุณจะอยู่ในการชุมนุมนานขึ้นสักหน่อย

เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า ขณะที่การชุมนุมเคลื่อนที่ และตำรวจปิดกั้นจราจรแบ่งขบวนออกเป็นสองท่อน ไม่ให้เสื้อแดงขบวนหลังเคลื่อนไปสมทบ เสียงโห่ของผู้ชุมนุมก็ดังขึ้น แต่ก็เงียบและเย็นลงทันทีหลังจากที่เพื่อนผม ซึ่งไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงหรือเป็นแกนนำใดๆ  ร้องบอกให้ทุกคนใจเย็น...

เรื่องเล่านี้ไม่ได้บอกเราว่า ผู้ชุมนุมได้รับการอบรมหรือเตรียมมาอย่างดี เพราะคงไม่มีใครไปบอกผู้ชุมนุมเหล่านี้ หากแต่ระเบียบและวินัยแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้ออกมาจากผลึก ‘อารยะ’ ในใจภายใต้เครื่องแต่งกายมอมแมม ไร้รสนิยม ผิวกายสีคล้ำๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสครีมฟอกขาว และกลิ่นเหงื่อที่ไม่เคยถูกบังด้วยน้ำยาดับกลิ่นหรือโรลออนใดๆ

พูดจริงๆ นะครับ มีตัวอย่างอีกมากที่ไม่อยากจะเล่า เพราะความจริงเหล่านี้ แม้จะเล่าก็เล่ามากไม่ได้ เพราะคุณจะถูกหาว่า ‘เป็นเสื้อแดง’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ผิดตรงไหน อย่างไรก็ตาม การตีตราแบบนี้ก็ค่อยๆ ได้รับการคลี่คลายทีละน้อย ผิดน้อยลงทุกที เท่ห์ขึ้นทุกวัน และเริ่มมีแรงบวกว่า “เป็นคนรักความเป็นธรรม ไม่แบ่งชนชั้น เคียงข้างคนจน” มากขึ้นทุกขณะ แน่ละนี่คือผลของแนวทางสันติของการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

การบ้านและการพิสูจน์ตนของคนเสื้อแดงที่จะต้องทำ จึงยากกว่าการบ้านของการชุมนุมไหนๆ เป็นการบ้านระดับปริญญา ที่ยากจะสอบผ่าน แต่ก็ผ่าน...และไม่ใช่การบ้านระดับประถม ที่ทำอย่างไรก็ถูกไปหมด เหมือนการชุมนุมอื่นๆ

พูดจริงๆ นะครับ การบ้านชิ้นที่ยากที่สุด และทำผู้ชุมนุมเจ็บช้ำน้ำใจที่สุด คือการฝ่าอคติของ ‘นักบริโภคสันติวิธี’ ย้ำอีกครั้งว่า มันคือ ‘อาวุธ’ ชิ้นที่ร้ายกาจที่สุดที่ฟาดฟันเข้าใส่ผู้ชุมนุมในการชุมนุมเดือนมีนาคม 2553

อย่าลืมนะครับ การปั่นสถานการณ์ของฝ่ายรัฐว่า เสื้อแดงเตรียมใช้ความรุนแรง เสื้อแดงมีคนต่างชาติแฝง แม้ไม่ใช่ญวนเหมือนตอน 6 ตุลา 2519 แต่เป็นขแมร์ใน พ.ศ.2553 หากเป็นรัฐบาลสุจินดา คราประยูร หรือรัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย พูด ม็อบฮือไปแล้ว สื่อรุมอัดไปแล้ว เอ็นจีโอดาหน้าประณามว่า ยั่วยุไปแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีนะครับ ‘สุเทพ เสนพงศ์’ เลยได้ใจ ออกมาปล่อยข่าวต่อครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งลอบสังหาร ทั้งก่อวินาศกรรม ฯลฯ

ครั้นคนเสื้อแดงทำข้อสอบ ‘ไม่รุนแรง’ ผ่าน และกำหนดมาตรการสันติวิธี ด้วยการเจาะเลือดตัวเองแท้ๆ ก็ยังถูกหมิ่นแคลนและให้ค่าจนกระทั่ง การกรีดเลือดตัวเอง กลายเป็นความรุนแรงไปได้

ผมแอบเห็นดอกเตอร์หลายคนไปเข้าแถวเจาะเลือด สองในหลายคน เป็นเพื่อนผมเอง ผมไม่เชื่อหรอกครับว่า สองคนนี้โง่กว่าคนอื่นๆ หรือไม่อารยะเอาเสียเลย หนึ่งในสองคนนี้ ศึกษาเรื่องสันติวิธีมาโดยเฉพาะ และอีกคนก็มีรสนิยมทางศิลปะเลิศซะไม่มี

“นี่คือการเสียเลือด ที่ไม่ต้องบาดเจ็บ ไม่ต้องล้มตาย หากมันไม่แทนการต่อสู้ หรือหากรัฐผู้มีอำนาจไม่เข้าใจเสียแล้ว ก็เท่ากับรัฐต้องการให้บาดเจ็บและตายกันจริงๆ”

ในเฟสบุ๊ค ในทวิตเตอร์ ก็รุนแรงนะครับ กล่าวประณามการเจาะเลือดว่า ‘ถ่อย โง่ ไม่อารยะ’ เพื่อนอีกคนผู้รักสันติเสียเหลือเกิน ชวนกันไปดูหนังรางวัลออสการ์ว่าด้วย ภารกิจกู้ระเบิดในอิรัก กล่าวกับผมก่อนเข้าโรงหนังว่า “ไปเจาะเลือดทำไม เสียดาย เอาไปบริจาคดีกว่า” สรุปง่ายๆ ก็คือ มาตรการสู้ด้วยเลือดของตัวเองแท้ๆ ก็คือความ ‘โง่’ นั่นแหละ

ก็อาจจะจริงครับ! แต่ผมยังสงสัยว่า จะมีหมอที่ไหนรับบริจาคเลือดคนละ 10-20 ซีซี โดยเฉพาะเลือดคนจนๆ ซึ่งคงจะถูกกว่าราคาค่าเข็มฉีดยา โดยที่หมอๆ ก็กลัวเสียเกินว่า จะทำให้เชื้อโรคแพร่ระบาด เอดส์แพร่กระจาย

เลยอยากจะถามแกมประชดใส่เพื่อนผมคนนั้นไปว่า “ทำไมไม่เรียกร้อง ให้เลิกชุมนุมไปเสียเลยล่ะ เอาเงินและหยาดเหงื่อที่เสีย ไปบริจาคดีกว่า” แต่ก็ไม่ได้โต้ไปนะครับ ‘เพื่อสันติ’

ผมว่านะครับ คนที่สื่อเลือกให้มีปากมีเสียง อย่างนักวิชาการ เอ็นจีโอ ผู้ซึ่งเรียกร้องสันติวิธี (เฉพาะการชุมนุมเสื้อแดง) เหล่านี้ ไม่ได้พูดตรงๆ

เขาควรจะพูดตรงๆ เลยว่า “ห้ามชุมนุมกดดันรัฐบาลของเขา” จะได้เลิกสร้างข้อหาว่า รุนแรง ไม่มีอารยะ และฉาบคลุมมันไว้ด้วยความปรารถนาดีในนาม ‘สันติวิธี’ จนกลายเป็นอาวุธทำลายความชอบธรรมการต่อสู้อย่างสันติของคนเสื้อแดง

พูดตรงๆ ไปเลยไม่ได้หรือว่า

“อย่าต่อสู้ อย่าเรียกร้องความเป็นธรรม เพื่อสันติ”
“จงให้เรากดขี่ต่อไปได้ไหม เพื่อสันติ”
“จงยอมรับความรุนแรงที่พวกเราและรัฐของเรากระทำต่อคุณได้ไหม เพื่อสันติ”

คนเหล่านี้ไม่รู้เลยหรือว่า ภายใต้น้ำลายแห่งสันติที่ใช้เป็นอาวุธฟาดฟันสันติที่สร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อ ผลของมันคืออะไร

หากการหลั่งเลือดของตัวเอง เพื่อยืนยันการต่อสู้อย่างสันติ ถูกให้ค่าอย่างหมิ่นแคลนหยามเหยียด ด้วยน้ำลายที่มีฤทธิ์ยิ่งกว่ากรดกว่าด่างเสียแล้ว จะผลักไสให้การต่อสู้ที่ถูกต้องชอบธรรมของเขา ต้องเปลี่ยนไปทางไหน

หากการเรียกร้องให้ ‘ยุบสภา’ ของพวกเขา อันเป็นวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำหรับพวกเขา “เป็นข้อเรียกร้องที่น้อยที่สุดแล้ว” ยังถูกบอกว่า ทำไม่ได้ ไม่ถูกต้อง และรัฐยังดักหลุมพรางกับดัก (กรรมการสิทธิฯ เหลืองอ๋อย ล่อเหยื่อเจรจา) เพียงเพื่อแก้ปัญหาการชุมนุม (อันเป็นปัญหาของรัฐ) แต่ไม่แก้ปัญหาถึงเหตุที่เขามาชุมนุม (อันเป็นปัญหาของผู้ชุมนุม) ผมก็นึกไม่ออกว่า หลังการชุมนุมสลายตัวไปแล้ว การต่อสู้ชนิดไหนจะเข้ามาแทนที่

ย้ำอีกที หากข้อเรียกร้อง ระดับ “ไล่องคมนตรี เอารัฐธรรมนูญ 40 กลับมาใช้ แล้วยุบสภา” ถูกลดระดับเหลือเพียงแค่ “ยุบสภา” แถมยังถูกต่อรองด้วยการเจรจาเข้าไปอีก หากรัฐไม่ตอบสนอง ผมก็นึกไม่ออกว่า หลังการชุมนุมสลายตัวไปแล้ว การต่อสู้ชนิดไหนจะเข้ามาแทนที่ และข้อเรียกร้องชนิดไหนจะกลายเป็นธงนำ

และบางทีเราอาจจะได้เห็นการต่อสู้สันติของคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย

เราอยากให้เป็นเช่นนั้นหรือ?

ผมบอกได้เลยว่า ภายใต้การจัดตั้งแบบเป็นไปเองของคนเสื้อแดง ซึ่งทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง (ย้ำ! ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง) ทั้งในเชิงคุณภาพ และปริมาณ โดยไม่มีบุคคลชี้นำ ผลของมันเมื่อถึงคราเปลี่ยนยุคสมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรับไม่ไหว แม้แต่ร้อย ‘เปรม ติณสูลานนท์’ ที่อ้างว่าภักดีสถาบันฯ เป็นละอองธุลีพระบาทเสียเหลือเกินก็รับไม่ไหว

หากรัฐให้เสื้อแดงที่ยืนหยัดสู้ด้วยสันติวิธี กลับไปมือเปล่า ระยะสั้น เสื้อแดงอาจจะดูเหมือนแพ้ แต่รัฐและอำนาจนำ ‘แพ้แน่’ ในระยะกลาง ทั้งการเลือกตั้งและการต่อสู้ระยะยาวต่อจากนั้น

พูดก็พูดเถอะครับ นี่คืออัศจรรย์ของ ‘สันติวิธี’ ที่สร้างจากเลือดเนื้อ เพราะพลานุภาพของมันจะยังอยู่ แม้การชุมนุมจะสลายไปแล้วก็ตาม

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net