หมายเหตุ: ปัจฉิมกวีนิพนธ์ ในรูปแบบกลอนหัวเดียว ด้วยตัวบท “ในวงสำรับใหญ่ฯ” โดย กฤช เหลือลมัย อ่านในวันสุดท้ายของการประชุมประจำปีทางมานุษยวิทยาครั้งที่ 9 ภายใต้หัวข้อ ปาก-ท้อง และของกิน: จริยธรรมและการเมืองเรื่องอาหารการกิน ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม 53 ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร คลิกเพื่อฟังเสียง ได้ที่นี่ |
ในวงสำรับใหญ่ฯ
สาลีเปลือกปล้อน (๑)
ทวดเล่าถึงข้าว “สาลีเปลือกปล้อน” ท่านว่า “..เมล็ดอ่อนมันเท่ามะละกอลูกใหญ่
ครั้นสุกก็บินมาถึงบ้าน ไม่ต้องไปไถหว่านในแปลงนาที่ไหน
ทั้งถูกลิ้นกินอร่อยกินดี กินเปล่าๆ ไม่ต้องมีกับข้าวก็ได้
วันหนึ่งคนคุ้มร้ายคุ้มดี เอาไม้มาตีจนแตกกระจายไป
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็ต้องทำนาตกกล้าหว่านไถ
ดินดำน้ำท่าฟ้าฝน ก็อัตคัดขัดสน เกิดทุพภิกขภัย..”
ข้าฯ ควรจะเชื่อเรื่องนี้ หมั่นทำความดี พร้อมๆ กับทำใจ ?
หรือทุกเรื่องที่เป็นตำนาน, ทั้งชาดก นิทาน ฯลฯ ข้าฯ ควรจะสงสัย
เรื่องเก่านมนานหลายปี (ซ้ำ) ใครเล่าเรื่องพวกนี้ ? เขาต้องการอะไร ?
เสนไก่ (๒)
ข้าฯ นั่งติดริมข้างฝา เห็นท่านปีนหน้าต่างมาจากหัวบันได
แม่เชื่อว่าท่านนำข่าวสาร จากเมืองบนสู่บ้านเฮือนชานเราผู้ไท
แต่การที่จะให้ท่านเล่า ทุกๆ ปีหมู่เฮาต้องเสนหมูเสนไก่
ต้องทำจุ๊บผัก ลาบเต๊า หน่อปิ้งหน่อเผา ลาบมะเขือ จุ๊บไก่
ยังมีแจ่วมะเอือดด้าน นี่ถ้าเราไม่บนบาน, ท่านจะยอมเล่าไหม ?
พิธีกรรมมันช่างศักดิ์สิทธิ์ จนบางครั้งดวงจิตข้าฯ ก็เคลิ้มหวั่นไหว
แต่เมื่อข้าฯ นึกถึงไอ้โต้ง (ซ้ำ) ก็มันเป็นไก่กระทง ตัวยังไม่ใหญ่
กระดูก, เนื้อ, เส้นเอ็นอ่อน เมื่อต้มในน้ำร้อน ย่อมหงิกงอเกินไป
แค่ท่านดูอุ้งตีนของมัน แล้วแปลงเป็นข่าวสำคัญ..ข้าฯ ยังสงสัย
ก็ข้าฯ น่ะต้มกินมาเสียนัก เรื่องตีนงอตีนหัก ข้าฯ คุ้นเคยกว่าใคร
ถ้าเรื่องมันเพียงเท่านี้ ข้าฯ ว่าข้าฯ รู้ดีกว่าท่านเป็นไหนๆ
เวียงหนองล่ม (๓)
เวิ้งน้ำนั้นหรือ..เวียงหนองล่ม ? เมืองทั้งเมืองยุบจมเป็นทะเลสาบใหญ่
คนตายไปนับหมื่นแสน เพื่อสังเวยความแค้นของพญาปลาไหล
ชาวดินต้องกินข้าวปลา จะใช่ชาวฟ้าอิ่มทิพย์ก็หาไม่
พวกเขาอิ่มหนำสำราญ หลังอดอยากมานาน มันผิดตรงไหน ?
ก็ถ้าหากนี่คือ “การล่า” (ซ้ำ) ก็แค่เรื่องธรรมดาสามัญทั่วไป
หรือว่า..หรือว่ามันเป็นเรื่อง “อำนาจ” ที่พวกท่านผูกขาดชนชั้นท่านไว้ ?
ศิวะเทพ (๔)
ข้าฯ ตั้งบายศรีสราธรรม สร้างเวทีปะรำหน้าปราสาทองค์ใหญ่
ข้าวปลาล้วนโอชารส มีสุรา เนื้อสดเป็นสำรับเซ่นไหว้
ทรงพอพระทัยไหม ? องค์เทพ.. ที่ท่านส้องเสพ คือมังสาหารเครื่องใหญ่
โอสถมวน, สุราบาน ฯลฯ ต้องอาศัยแรงงานมากมายเพียงไหน
เฮอะ..ถ้าข้าวที่ข้าฯ ปลูกทั้งปี ได้แค่ครึ่งหนึ่งนี้ ข้าฯ ก็คงจะดีใจ
ยังสุราที่ข้าฯ ต้มกลั่นเอง ท่านไยต้องข่มเหงมาริบเอาไป ?
แค่หมาใจดำ, ดาวลอย..ฯลฯ มันความสุขเล็กน้อยของพวกเราชาวไพร่
จะให้ข้าฯ เชื่อว่าเทวรูปหิน ยังต้องอยู่ต้องกินเหมือนคนหรืออย่างไร ?
ท่านอิ่มทิพย์อยู่บนฟ้า (ซ้ำ) ยังอยากได้ถั่วงาของลูกข้าฯ อีกทำไม ?
เจืองฟ้าธรรมิกราช (๕)
ท่านเจืองฟ้าธรรมิกราชฯ ข้าฯ ผู้เขลาขลาดขอเข้าร่วมสงครามใหญ่
ปลดปล่อยเมืองดินเมืองฟ้า ให้ทุกเม็ดข้าวกล้าตกถึงคนทั่วไป
มา..มากินลาบก้อยร่วมเขียง ร่วมม้วนคำเมี่ยงเคียงบ่าเคียงไหล่
จงเราเอาเลือดเติมเลือด ให้ระอุคุเดือดยิ่งกว่าครั้งไหนไหน
แล่เนื้อเติมเนื้อให้แกร่งกร้าว ให้รู้ว่าพวกเราจะไม่ยอมอีกต่อไป !
โคควายวายชีพให้เรา มีเรี่ยวแรงรบเจ้าและแถนหลวงทั้งหลาย
เราจะคืนทุ่งหญ้าผลาหาร, น้ำทุกโตรกธาร, ไม้ป่าทุกใบ,
เนินเกลือ, สายแร่เหล่านั้น ให้ทุกคนแบ่งปันเท่าๆ กันตลอดไป
สมมุติสงฆ์ (๖)
โบราณว่า “..เห็นขนมอยากบวช พอเห็นนมสวดก็อยากสึกออกไป”
อยากฉันสำรับหวานคาว แต่ครั้นเจอโยมสาวๆ มันชักอดไม่ไหว
เห็นมัสมั่นพะแนงแกงบวด จันอับน้ำตาลกรวดทั้งขนมใส่ไส้
เผือกกวนบัวลอยไข่หวาน มันเชื่อมลูกตาลเขียวหวานปลากราย
ยำแตงกุ้งแห้งทรงเครื่อง แกงพริกแกงเหลืองน้ำยาปักษ์ใต้
ซาวน้ำแกงเลียงเมี่ยงก๋วยเตี๋ยว ‘ตัวเดียวอันเดียว’ – ข้าวเหนียวหน้าไก่
โอวห่วย ตีนเป็ดผัดขิง หอยอบคุณหญิง – ไข่เจียวคุณชาย ฯลฯ
หรือสำรับทั้งปวงเหล่านี้ เปรียบกับอิสตรีก็แทบไม่มีความหมาย
ท่านคิดว่าโลกฆราวาส มันร่ำรวยเหลือขนาดกันนักหรืออย่างไร ?
ท่านเคยฉันไหม ? แกงโฮะ.. กับข้าวเหลือโละ เอามาผัดรวมกันใหม่
บ้างเยิ้มเหนียวจนเป็นยาง ต้องตะไคร้ซอยบางๆ จึงพอดับกลิ่นได้
บ้างผุดขึ้นฟองเน่าบูด ต้องซอยใบมะกรูดแยะๆ ใส่ลงไป
แล้วคิดว่ามันอร่อย หลอกตัวเองบ่อยๆ มันก็พอทำใจ
ญาติโยมกินกันอย่างนี้ เพราะว่าของดีๆ ต้องประเคนท่านไป
ถ้านักบวชคือผู้ขอ, แล้วความเพียงพอของท่านอยู่ตรงไหน ?
ท่านมองเห็นคนไร้บ้าน ไม่มีอาหารจะกินบ้างหรือไม่ ?
ข้าฯ น่ะ เห็นถังสังฆทาน กลายเป็นขยะเต็มลานทุกวันพระใหญ่
เห็นบาตรท่านเต็มจนล้น แต่จานข้าวคนจนไม่มีข้าวจะยาไส้
มันเป็นอย่างนี้มานาน (ซ้ำ) แล้วสงฆ์อย่างท่านจะทำทานบ้างได้ไหม ?
Anthrops (7)
ข้างบนนั้นสบายดี ? ท่านเลวี สเตราส์.. ที่ท่านเคยบอกกล่าว เรายังจำได้
“อาหารควบคุมด้วยความคิด ไม่ได้ถูกกั้นปิดด้วยวัตถุเสมอไป”
ท่านว่าเมื่อเรากินอาหารค่ำ เราทำพิธีกรรมล้างบาปโดยนัย
มันคือการกินเนื้อมนุษย์ ชำระจิตให้บริสุทธิ์และบูชาด้วยไฟ
แล้วเธอใช่ไหม ? มิลตัน ที่บอกว่าเราเพิ่งกินเนื้อกันเมื่อไม่นานเท่าไร
เธอรู้ว่าในยุคไพลสโตซีน พวกออสตราโลพิเทซีนส์ต้องปรับตัวครั้งใหญ่
ข้อมูลที่เธอบอกเรานั้น มันช่างน่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร..
มอร์แมน..คุณคงกินมาหลายมื้อ คุณว่าปลาย่างไทลื้อรสชาติพอไหวไหม ?
อาจารย์ปริตตาที่เคารพ หวังอาจารย์จะพบความอร่อยจนได้...
และ..อาจารย์อานันท์ครับ ปลาเค็มโตนเลซ๊าบมันจะวิเศษไปได้ยังไง ?
ก็มันเจอทั้งหมูสับ, ไข่สด ซ้ำยังนอกบริบทมาจนถึงเชียงใหม่ !
อาจารย์ว่า “อร่อยแน่คุณเอ๊ย” มันสักกี่คนเอ่ยจะมีกินอย่างนี้ได้ ?
......................................
พวกเราทั้งหลาย (๘)
ข้าฯ ยืนอยู่ ณ ที่ซึ่ง “อาหาร” ไหลเวียนวนผ่านเป็นวาทกรรม ความหมาย
วิถีบริโภค พรมแดน ฯลฯ ที่นี่ช่างอัดแน่นไปด้วยคำอธิบาย
ลองมองไปข้างนอกให้ทั่ว มีปลาเค็มอีกหลายตัว เน่าจนหนอนไช
ยุ้งข้าวยังเต็มไปด้วยมอด น้ำมีสารปรอทปนเปื้อนมากมาย
ข้าฯ เห็นปากลิ้นที่ชาด้าน ไม่รู้รสอาหารอันแสนจะเลวร้าย
มันยังคงมีความต่าง (ซ้ำ) บางสิ่งบางอย่าง อยู่ในเราทั้งหลาย
หรือความต่างระหว่างพวกเรา อยู่ในสิ่งที่พวกเราต่างกินเข้าไป ???