สังคมสองมาตรฐานย่อมไถลไปสู่สงครามกลางเมืองและความป่าเถื่อน
ทางออกมีทางเดียว...ต้องกลับมาสู่มาตรฐานเดียวกัน
ผมจะไม่ขอกล่าวถึงอำนาจรัฐสองมาตรฐานซึ่งเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว (ไม่ใช่เฉพาะในยุคนี้) … ที่น่าเป็นห่วงกว่านี้อย่างยิ่งคือสถานการณ์ของสังคมสองมาตรฐาน
ในปัจจุบันสมาชิกสังคมจำนวนมากมายที่เคยร่วมกันต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเพื่อระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกส่วนโดยไม่เลือกหน้า ได้สละทิ้งคุณค่าดั้งเดิมที่ตนเคยยึดถือมาตลอด โดยได้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน หันมาเผชิญหน้ากัน และเล็งมวลมนุษย์ในฝ่ายตรงกันข้ามเป็นศัตรูของตนโดยทั้งหมด
ดูเหมือนพวกเราทุกคนทุกฝ่ายยังอ้างคำว่าประชาธิปไตยอยู่ แต่พฤติกรรม คือการนิยมระบอบประชาธิปไตยเฉพาะเมื่อเอื้ออำนวยต่อประโยชน์ของฝ่ายเรา หากเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยอาจเอื้ออำนวยต่อฝ่ายตรงกันข้าม เราก็จะหันเหไปทางอื่น ทหารยึดอำนาจเราก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ (ตราบใดที่เป็นทหารของฝ่ายเรา) เมื่อฝ่ายตรงข้ามเรียกร้องการเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ เราก็จะออกมาคัดค้านทันที หากมองว่าฝ่ายเราจะเสียเปรียบจากการเลือกตั้งนั้น
เรื่องสิทธิเสรีภาพก็เช่นเดียวกัน เราทุกคนเห็นด้วยกับเสรีภาพในการชุมนุมตราบใดที่เป็นการชุมนุมของฝ่ายเรา แต่เมื่อเป็นการชุมนุมของฝ่ายตรงกันข้ามก็ขอให้อำนาจรัฐฝ่ายเรารีบจัดการ หากอำนาจรัฐฝ่ายเราทำให้ผู้ชุมนุมฝ่ายตรงกันข้ามเสียชีวิตก็แล้วไป ช่วยไม่ได้ เสียใจนะ แต่คุณเลือกข้างผิดเอง แต่หากอำนาจรัฐฝ่ายตรงข้ามทำให้ผู้ชุมนุมฝ่ายเราเสียไป ต้องประณามถึงที่สุด … ฆาตกร !
เสรีภาพสื่อหรือ? แน่นอนพวกเราทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่งในเสรีภาพของสื่อมวลชนที่อยู่ฝ่ายเรา ใครมาข่มเหงเราสู้ตาย แต่หากอำนาจรัฐฝ่ายเราจะปิดสื่อของฝ่ายตรงกันข้าม เรารู้สึกเฉยๆ
สิทธิมนุษยชนสำคัญมาก แต่หากคนในฝ่ายตรงข้ามติดคุกเพราะแสดงความคิดเห็นตามที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิ ก็เป็นเรื่องที่เขาแส่เรียกหาคุกเอาเอง ไม่ใช่ธุระของเรา
กฎหมายเผด็จการต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้อำนาจรัฐย่ำยีประชาชน (กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ) เราย่อมคัดค้าน เพราะขัดต่อระบอบประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าจะใช้ต่อฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเรื่องจำเป็น เข้าใจได้
สังคมไทยได้เกิดวัฒนธรรมใหม่ที่พวกเราทุกฝ่ายไม่รู้จักมองคนในฝ่ายตรงข้ามเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมสังคมเดียวกัน ไม่สามารถมองเขาเป็นคนแบบเรา ที่มีอาชีพแบบเรา มีครอบครัวแบบเรา มีความใฝ่ฝันแบบเรา และมีคุณธรรมแบบเรา
เมื่อผมเขียนบทความก่อนหน้านี้เรื่อง ‘นายอภิสิทธิ์มองตัวเองในกระจกก็เห็นหน้านายทักษิณ’ มีหลายคนอีเมล์มาถามผมว่า แล้วผมมีดีอะไร? มองตัวเองในกระจกแล้วเห็นใคร ? ผมก็คงต้องยอมรับว่า ผมก็ไม่ต่างกับเพื่อนมนุษย์คนอื่น เคยทำผิดมามาก โดยเฉพาะที่เสียใจจนทุกวันนี้ คือการที่ผมไม่ได้ออกมาต่อต้านรัฐประหารปี 2549 อย่างจริงจัง แต่ตอนนี้ผมมองเข้าใจแล้วถึงความเสียหายมหาศาลที่เป็นผลพวงจากรัฐประหารครั้งนั้น ผมยอมรับว่า ผมเองก็เป็นมนุษย์สองมาตรฐานเหมือนกัน แต่กำลังพยายามแก้ไขอยู่และอยากชวนเพื่อนๆ ทุกฝ่ายทำเช่นเดียวกัน
หากเราไม่ช่วยกันแก้ไขสังคมสองมาตรฐานที่ลืมคุณค่าเดิมของการใช้มาตรฐานระบอบประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และสิทธิมุษยชนอย่างเสมอภาคเสมอหน้า ไม่เลือกปฎิบัติ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือสงครามกลางเมือง และเราจะกลายเป็นสังคมที่ป่าเถื่อน เพราะอำนาจจะได้มาทางเดียวโดยการใช้กำลังความรุนแรง พยายามทำลายซึ่งกันและกัน ใครชนะก็กินขาด
ในประเทศประชาธิปไตยที่มีอารยธรรม การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่พวกเขาไม่มองกันเป็นศัตรู แค่เป็นคู่ต่อสู้กันทางการเมืองโดยสันติ โดยอาศัยกฎกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน
หากพวกเราทุกคนจะช่วยกันแก้วิกฤติสังคมไทย เราต้องสร้างมาตรฐานการต่อสู้ทางการเมืองทำนองเดียวกัน
ผมเสนอทางออกที่ไม่ง่ายนักดังนี้
1. เราต้องมีการเลือกตั้งโดยเร็ว
2. ทุกพรรคการเมืองให้สัญญาต่อประชาชน (ร่วมกันยิ่งดี) ว่าใครชนะเลือกตั้งก็ตาม จะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยพลการ แต่จะดูแลให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรํฐธรรมนูญใหม่โดยเร็ว ที่มีผู้แทนประชาชนทุกกลุ่มทุกส่วนเป็นสมาชิกมาจากการเลือกตั้งในกลุ่มของตน แต่ละพรรคเสนอรูปแบบโครงสร้าง ส.ส.ร.ที่พรรคนั้นเห็นว่าเหมาะสมระหว่างการหาเสียงเพื่อให้ประชาชนได้เลือก
3. กลุ่มพลังทางการเมืองทุกฝ่ายตกลงร่วมกันงดการชุมนุมทุกรูปแบบระหว่างการเลือกตั้งและการร่างรัฐธรรมนูญ และเคารพต่อผลการเลือกตั้งและการร่างรัฐธรรมนูญ
4. รัฐธรรมนูญใหม่ร่างเสร็จภายใน 9 เดือนและทำประชามติ
ถ้าเริ่มต้นสร้างมาตรฐานเดียวกันได้อย่างนี้ สังคมไทยยังคงมีความหวัง
จอน อึ๊งภากรณ์
11 เมษายน 2553