พี่พิภพ ธงไชย ขอรับ: ปฏิรูปประเทศไทย?

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
 
พี่พิภพ ธงไชย ขอรับ ผมขออนุญาตเรียก “พี่” นะครับ เพราะผมเห็นว่าพี่เป็นคนที่มี “ความเป็นมนุษย์” ที่น่าเคารพมากที่สุดในบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์พี่พิภพเกี่ยวกับข้อเสนอ “ปฏิรูปประเทศไทย” ในประชาไท (13/04/53) เลยอยากจะขอแลกเปลี่ยนด้วยดังนี้ครับ
 
1. พี่พิภพบอกว่า “...ผมไม่อยากให้การชุมนุมใดๆ ก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม เรามีประสบการณ์จากสมัชชาคนจน ชุมนุมแล้วคนกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งมีความรู้สึกเกลียดชังและดูถูก และพอเรามีการชุมนุมพันธมิตรฯ คนกรุงเทพฯ เพิ่งยอมรับ...”
 
ถ้าผมจำไม่ผิด (หากจำผิดขออภัย) การชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ใช่หรือครับที่เป็นจุดเริ่มต้นสร้างความเกลียดชังคนชนบท คนชั้นล่างในสังคมมากที่สุดก็ว่าได้ในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางการเมือง เพราะคำพูดดูถูกคนจน คนรากหญ้า เช่น ม็อบรับจ้าง โง่ ไร้การศึกษา ไม่รู้ประชาธิปไตย เห็นแก่เงิน เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าที่ได้จากทักษิณและนโยบายประชานิยมมากกว่าประโยชน์ของชาติ พฤติกรรมที่ไล่ให้ชาวบ้านไป “กินหญ้า” หรือประณามว่า “แดงถ่อย” ฯลฯ เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏอย่างแพร่หลายในการชุมนุมของพันธมิตรฯ และยังปรากฏอยู่ในสื่อฟากเสื้อเหลืองจนกระทั่งทุกวันนี้
 
แต่ก็ยังดีครับที่พี่ยังอุตส่าห์นึกขึ้นได้ว่า “...ผมไม่อยากให้การชุมนุมใดๆ ก่อให้เกิดความเกลียดชัง...” ผมขอกราบขอบพระคุณ และขอสนับสนุนการเกิด “สติ” (ความระลึกได้ในความผิดชอบชั่วดี) ดังกล่าวของพี่ด้วยใจจริงครับ
 
2. พี่บอกว่า “...เราไม่เคยได้เห็นโครงสร้างของสังคมที่อยุติธรรม ที่ก่อให้เกิดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ...ผมคิดว่าในกรณีการชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็ทำให้คนเมืองเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ที่จริงงานที่เราจะทำต่อไปของพันธมิตรฯ ก็คือทำยังไงให้คนในเมืองเข้าใจปัญหาคนชนบท"
 
ผมไม่แน่ใจว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ทำให้คนเมืองเข้าใจ “โครงสร้างสังคมที่อยุติธรรมที่ก่อให้เกิดความยกจนและความเหลื่อมล้ำ” อย่างไร ประเด็นปัญหาโครงสร้างอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำถูกหยิบยกมาสู่กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ ก็เพราะเป็น “ประเด็นหลัก” อย่างหนึ่งในการชุมนุมของคนเสื้อแดงมิใช่หรือครับ? หรือคนเสื้อแดงนั่นเองเป็นผู้จุดประเด็นดังกล่าวให้กลายเป็น “กระแสฮ็อต” มาจนบัดนี้
 
ประเด็นหลัก (อย่างหนึ่ง) ของพันธมิตรคือ ปกป้องสถาบัน “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าประเด็นเช่นนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรมให้เป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร ส่วนที่ว่างานต่อไปของพันธมิตรฯ ก็คือทำยังไงให้คนเมืองเข้าใจคนชนบทนั้น ผมคิดว่าคนเมืองสามารถเข้าใจคนชนบทได้ง่ายๆครับ คือ เลิกผลิตคำอธิบายคนชนบทจากมุมมองของตนเอง แล้วเปิดใจรับฟัง “เสียง” และเรียนรู้ “ความจริง” จากคนชนบทให้มากขึ้น
 
3. พี่บอกว่า “...ข้อถกเถียงกันก็คือว่าเมื่อจับได้ว่าคุณทักษิณทุจริต จับได้โดยจิตสำนึกเลยนะ ไม่ใช่จับได้โดยศาล อย่าลืมว่าความรู้สึกของคนว่าคุณทักษิณทุจริตไม่ได้มาจากคำตัดสินของศาลหรือ คตส. เพราะการต่อสู้กับการทุจริตของคุณทักษิณมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ เมื่อจับได้เรื่องทุจริตก็เกิดกระแสต่อต้านใหญ่ขึ้นมา เรื่องอื่นที่เอามาผสมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก"
 
โอเค.ครับ! ถ้าเพียงจับได้ “โดยจิตสำนึก ไม่ต้องจับได้โดยศาล” ว่าคุณทักษิณโกงแล้วออกมาต่อต้านโดยไม่สนใจอะไรอื่น ก็น่านับถือว่าพันธมิตรฯมีจิตสำนึกสูง แต่รัฐประหารที่เห็นอยู่ตำตาล่ะครับ ผม “จับได้โดยหลักฐาน” ว่า พวกพี่ไม่มีจิตสำนึกที่จะต่อต้านรัฐประหารเลย!
 
4. พี่บอกว่า “...ยุบสภาก็จะเป็นคำถามว่ามันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอะไร ก็รู้กันอยู่ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาการกลับเข้ามาสู่อำนาจใหม่ของพรรคการเมืองที่สนับสนุนคุณทักษิณ อันนี้ก็เห็นชัด พอใช้โจทย์นี้เป็นตัวตั้ง คนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณที่ต่อสู้มาก็ไม่รับ คนเมืองก็ไม่รับ นี่เป็นความผิดพลาดของประเด็นการนำไปเป็นประเด็นการนำที่แคบที่เป็นการสนองคุณทักษิณเท่านั้น"
 
ผมมองต่างจากพี่ว่า ถ้ายุบสภาก่อนวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ความรุนแรงนองเลือดไม่เกิดขึ้นแน่นอน ส่วนปัญหาความแตกแยกทางความคิดในสังคมก็ต้องใช้เวลา ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าได้รัฐบาลจากพรรคใดมาแล้ว คนที่ต่อต้านคุณทักษิณ หรือ “คนเมือง” ยอมรับหรือไม่ยอมรับ แต่อยู่ที่ว่าการยุบสภาเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าคนที่ต่อต้านคุณทักษิณ คนเมือง หรือคนชนบทได้ใช้อำนาจอย่างเท่าเทียมในการเลือกรัฐบาลที่เขาต้องการ
หากพันธมิตรฯ เห็นว่ารัฐบาลใหม่จะมาแก้กฎหมายให้นิรโทษกรรมทักษิณ ก็ออกมาต่อสู้ได้อยู่แล้วครับ สู้ตาม “ครรลองประชาธิปไตย” หากคนในสังคมส่วนใหญ่เอาด้วยกับแนวทางของพันธมิตรฯ การนิรโทษกรรมทักษิณก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ ถ้ากลัวทักษิณนี่เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่กลัว “เสียงส่วนใหญ่” ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆครับ!
 
5. พี่บอกว่า “...งานของผมก็คืองานเพิ่มอำนาจภาคประชาชน... อำนาจของประชาชนก็ต้องเพิ่มจากจิตสำนึก เพิ่มจากความกล้า แต่ประชาชนที่เพิ่มอำนาจอย่าไปผูกติดกับอำนาจของชนชั้นนำ ...ระวังอย่าไปผูกติดอำนาจกับของทักษิณ เหมือนที่คุณติงผมว่าอย่าไปผูกติดอำนาจของชนชั้นนำ... แต่ตอนนี้มันกำลังแยกฝ่ายชนชั้นนำ และให้ประชาชนบางส่วนเข้าไปผูกติดกับอำนาจของชนชั้นนำ ทำให้ตัวเองไม่เติบโตในอำนาจของประชาชน"
 
ข้อเท็จจริงคือ การต่อสู้ที่ผูกติดอำนาจของชนชั้นนำ การแยกฝ่ายชนชั้นนำ มันเริ่มจากฝ่ายพันธมิตรฯ มาก่อน ตั้งแต่พันธมิตรฯประกาศ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” แล้วกล่าวหาอีกฝ่ายว่าวางแผนล้มล้างสถาบัน!
แต่เอาล่ะถึงมันจะผูกติดกับอำนาจของชนชั้นนำ ก็ยังน่าพิจารณาต่อไปว่า การต่อสู้ที่ผูกติดกับอำนาจของชนชั้นนำของฝ่ายไหนที่สอดคล้องกับ “หลักการ” ประชาธิปไตย (เช่น เรียกร้อง/ยอมรับการเลือกตั้ง ปฏิเสธรัฐประหาร) และสอดคล้องกับ “อุดมการณ์” ประชาธิปไตย (หรือปกป้องหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม) มากกว่า
 
หรือพูดอีกอย่างว่า การต่อสู้ของฝ่ายไหนที่มี “ความเป็นไปได้” มากกว่าที่พวกเขาจะสามารถควบคุมตรวจสอบชนชั้นนำ (ที่พวกเขาเลือก) ให้ปฏิบัติตามหลักการและอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้มากกว่า? ผมไม่ทราบว่าประเด็นนี้พี่และพันธมิตรฯได้เคยพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมาบ้างหรือเปล่าครับ? (อย่าเอาอคติเรื่องล้มเจ้ามาบดบัง “ความเป็นไปได้” ดังกล่าวนี้นะครับ)
 
สุดท้ายที่พี่พิภพเห็นว่า การปฏิรูปประเทศไทยที่ต้องดึงตัวแทนประชาชนจากทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ต้องทำให้เสร็จก่อนยุบสภา (ทั้งๆที่พี่ก็ยอมรับว่าถึงยุบสภาทันทีแล้วเลือกตั้งใหม่ หลังเลือกตั้งก็ต้องมีฝ่ายต่างๆเสนอให้ปฏิรูปประเทศไทยอยู่แล้ว) นั้น ผมมองไม่เห็นเหตุผลที่แท้จริงของข้อเสนอนี้นอกจาก “ความกลัว” รัฐบาลใหม่ที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือก
 
ก็ในเมื่อยุบสภาทันทีมันจะแก้ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้านี้ได้ และการปฏิรูปประเทศไทยก็ยังทำต่อไปได้หลังจากเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ ทำไมเราไม่เลือก “ทางเลือกที่ดีกว่า” นี้?
 
ผมเคารพการต่อสู้ของพี่พิภพ แต่เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่นักต่อสู้และปัญญาชนชั้นนำทั้งหลายจะเคารพ “ประชาชน” ให้คนทั้งประเทศได้ใช้ความคิดและอำนาจของเขาเองอย่างอิสระเสียที
 
เพราะประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า พวกผูกขาดการคิดแทน ใช้อำนาจแทนนี่แหละ ที่นำประเทศชาติเข้าสู่วิกฤต จนประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน!     
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท