Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

วันนี้หลายคนชอบตั้งคำถามว่ายุบสภาแล้วจะได้อะไร? เพราะทุกคนไม่ว่าจะสีไหน ก็ดูเหมือนจะรู้แก่ใจกันดีอยู่ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังยุบสภา เดี๋ยวพันธมิตรก็ออกมาอีก แล้วเรื่องก็จะไม่จบ ดูเหมือนจะไม่มีตรรกะอื่นนอกเหนือจากนี้ และทุกคนที่มองเห็นตรรกะเช่นนี้ก็จะไม่ยอมรับการยุบสภาว่าเป็นทางแก้ปัญหา (แต่ตัวเองก็ไม่สามารถหาคำตอบ ได้ว่าจะเดินไปอย่างไรต่อไป หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ ไหม?)

ยุบสภาคือคำตอบที่ดีที่สุด ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ทำไมพอมาถึงเมืองไทย คนหลายคนในเวลานี้กลับบอกว่าไม่ใช่? ก็เป็นเพราะตรรกะวิธีคิดแบบข้างบน ว่าต้องมีคนออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก แล้วทำไมแทนที่จะตั้งคำถามว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" ทำไมเราไม่ถามแทนว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง?"

ปัญหาทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากการไม่ยอมเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนได้พูดปาวๆ กันแทบตาย ทุกฝ่ายหมดแล้ว ต่างคนต่างมีสื่อทางเลือกของตนเองที่หาซื้อได้ในท้องตลาดเต็มไปหมดในราคาถูกๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ทั่วไป หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เนชั่น ความจริงวันนี้ กระทั่งจานดาวเทียมที่ดู ASTV ได้ ก็สามารถดูของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน ปัญหาวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการขาดข้อมูลหรือการไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตารับฟังฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายตน ทุกอย่างจากนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกๆ คนแล้ว สภาพการณ์ของทุกวันนี้คือทุกคนต่าง "อิ่ม" ในข้อมูลแล้ว และได้ทำการย่อยจนอยาก "ถ่าย" ออกมาแล้ว และการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็คือการเปิดทางให้พวกเขาได้ "ถ่าย" ข้อมูลที่พวกเขาย่อยแล้ว สรุปออกมาเป็นปัญหาและความต้องการ ให้พวกเขาได้พูดว่าอะไรคือปัญหา ของบ้านเมืองในเวลานี้ และได้เลือกทางเดินของพวกเขาเอง

ปัญหาวันนี้เกิดขึ้นจากการที่คนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับผลการตัดสินใจจากคนส่วนมาก ซึ่งทำกันเช่นนี้มาตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยาฯ แล้ว และต่อเนื่องมาสู่พันธมิตรฯ ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางข้ามหัวคนส่วนใหญ่ ผูกขาดความถูกต้องไว้กับตัวเอง คนเดียว ใช้ตรรกะข้ออ้างว่าพวกตนคนส่วนน้อยคือคนที่รู้ดีที่สุด คือ "คนดี" "มีความรู้" และด่าทอคนส่วนมากที่ยากจนว่า "โง่" "ขาดข้อมูล" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ และใช้ข้ออ้างเหล่านี้ผูกขาดความ ถูกต้องไว้กับตัวเอง ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ ข้ามหัวคนส่วนใหญ่ รัฐประหาร ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ตุลาการวิบัติ ไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา

วันนี้คนเสื้อแดงคือคนส่วนมากของประเทศ คือคนที่เลือกรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และเพื่อไทย และคนที่รักประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ ที่ยอมรับกระบวนการรัฐประหารและสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ได้ ผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชนได้เสียงส่วนใหญ่ จากจำนวนผู้ลงคะแนนคิดเป็นแบบแบ่งเขต 26 ล้านคน คิดเป็นแบบสัดส่วน 12 ล้านคน (จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44 ล้านคน) พวกเขาเลือกรัฐบาลของเขามาด้วยวิจารณญาณและเจตจำนงของเขาเอง แต่สิทธิเหล่านี้ถูกทำลาย ข้ามหัวและช่วงชิงเอาไปตลอดเวลาด้วยข้อหาว่าพวกเขา "ถูกหลอก" "ถูกใช้เป็นเครื่องมือ" "ถูกซื้อ" ฯลฯ วันนี้พวกเขามาทวงคืนสิงที่ถูกขโมยไปเท่านั้นเอง

และอีกความจริงที่คนจำนวนมากไม่เห็นก็คือพวกเขาไม่ได้มาเพราะถูกจัดจ้างจัดตั้งจากนักการเมือง พวกเขามาด้วยหัวใจของเขาเอง จิตสำนึกของพวกเขาถูกปลุกให้ตื่น จากการถูกกระทำย่ำยีหนักหน่วง ในรอบหลายปีที่ผ่านมา วันนี้พวกเขามาเอง เขาไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยนักการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว

นักการเมืองอาจจะมีวาระของตนเองในการเข้าร่วมขบวนการกับมวลชน หรือชักนำมวลชนออกมาสู้ แต่ความจริงก็คือไม่ใช่เพียงนักการ เมืองเท่านั้นที่มีวาระ แต่ทว่ามวลชนก็มีของตัวเองเหมือนกัน วันนี้มวลชนก็กำลังใช้นักการเมืองเป็นเครื่องมือของตนเองเหมือนกัน

เพราะนับแต่มีนโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ทำได้สำเร็จจริงหลายๆ ประการ แม้จะเต็มไปด้วยปัญหาบ้าง แต่อย่างน้อยการที่นักการเมืองได้ทำนโยบายที่หาเสียงไว้ได้จริง มันก็ได้พัฒนาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจแล้ว ว่าประชาธิปไตยหรือ "สิทธิที่จะเลือก" นักการเมืองพร้อมชุดนโยบายที่พวก เขาต้องการ คือสิ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ มันคือกลไกในการดึงเอาทรัพยากรลงมาสู่พวกเขาในรูปแบบที่พวกเขาต้องการได้ เขาสำนึกแล้วว่าวันนี้ประชาธิปไตย เท่านั้นที่จะทำให้เขามี สิทธิเลือกตัวเลือกที่ถูกใจ ที่สุดในการพัฒนาชีวิตของพวก เขา ถ้านักการเมืองทำได้ดีจริง พวกเขาก็จะเลือกต่อไป ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เลือกต่อไป สิ่งนี้ทำให้นักการเมืองต้องปรับตัวเองให้เข้ากับความต้องการของประชาชนตลอดเวลา ทำให้นักการเมืองถูกกดดันที่จะต้องทำให้ประชาชนพอใจ มิเช่นนั้น มันอาจหมายถึงการดับสูญของอนาคตทางการเมืองของพวกเขาได้

เพราะฉะนั้น ประชาชนไม่ได้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองในการได้มาซึ่งคะแนนเสียงและตำแหน่งเท่านั้น นักการเมืองวันนี้ กลับกลายมาเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการดึงการพัฒนามาสู่ ชุมชนและชีวิตของพวกเขาด้วย เช่นกัน มันคือการแลกเปลี่ยนกันผ่านกลไก การเลือกตั้ง มันเป็นเหมือนการยื่นหมูยื่นแมว หากฝ่ายการเมืองไม่ได้ยื่นสิ่งที่ประชาชนต้องการให้แก่ประชาชน ประชาชนก็จะไม่ยื่นในสิ่งที่นักการเมืองต้องการให้แก่นักการเมือง

ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ผลประโยชน์ของนักการเมือง จะสามารถสอดคล้องและไปด้วยกันกับผลประโยชน์ของประชาชนได้เช่นนี้ ซึ่งนี่เป็นกลไกปกติที่สุดตามระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ในบ้านเมืองนี้ ซึ่งเผด็จการไม่สามารถมีให้ได้ วันนี้พวกเขาเลือกนักการเมืองด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ พวกเขามาด้วยจิตสำนึกเช่นนี้

เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" เป็นคำถามที่ดูไม่ใช่คำถามของคน ที่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ทำไมแทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของ คนส่วนมาก แทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของพวก เขาอย่างแข็งขัน แทนที่เราจะยืนยันเพื่อที่จะเคารพสิทธิของพวกเขา และเชื่อในวิจารณญาณของพวกเขา แทนที่เราจะยืนยันในหลักการประชาธิปไตย ที่ให้เสียงข้างมากได้ ชี้ขาด และให้เสียงข้างน้อยได้พูดโน้ม น้าว เรากลับไปยืนยันสิทธิของคนส่วน น้อยที่จะเอาอย่างที่กูต้อง การให้ได้โดยไม่สนวิถีทาง

ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะตราบใดที่เราให้น้ำหนักแก่ความเอาแต่ใจของเสียงข้างน้อยที่จะทำทุกอย่างได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ให้น้ำหนักถึงขั้นที่ว่าเราไม่ กล้าที่จะยืนยันความชอบธรรม ของเสียงข้างมาก ด้วยตรรกะประเภทที่ว่า "ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เพราะพันธมิตรจะกลับมาล้มรัฐบาล อีก" หลายคนอาจพูดด้วยความรู้สึกเป็น กลาง แต่หารู้ไม่เลยว่าการพูดเช่นนี้ เท่ากับเป็นการยอมรับให้พันธมิตร กลับมาได้ เพราะเป็นการยืนยันว่าเสียงข้าง น้อยอย่างพันธมิตรมีสิทธิ ที่จะทำตามใจชอบได้ แทนที่จะยืนยันในสิทธิของเสียงข้างมาก

แล้วคำถามก็คือทำไมเราต้องยอม ให้พันธมิตรกลับมาล้มรัฐบาลล่ะ? ทำไมเรายังคงยืนยันให้พันธมิตรกลับมาได้แทนที่จะต่อต้านอย่างแข็งขันล่ะ ทำไมแทนที่เราจะยอมรับประชาชนคนส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย เรากลับไปยอมรับว่าพันธมิตรสามารถกลับมาล้มรัฐบาลได้? ไม่ใช่ว่าพันธมิตรไม่มีสิทธิออก มาเคลื่อนไหวเลย แต่พันธมิตรมีสิทธิที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายในการ "โน้มน้าว" ใจคนส่วนใหญ่ให้เชื่ออย่างที่ตน เห็นว่าจริง เพื่อนำเอาประชาชนส่วนใหญ่ไปล้มรัฐบาลตามวิถีประชาธิปไตย แต่ทว่าที่ผ่านมา พันธมิตรฯกลับเคลื่อนไหวในแนวทาง ของการ "จะเอาให้ได้" ตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยสามารถกินใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ได้เลย ซึ่งไม่ใช่หลักการใช้เสียข้างน้อยที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย

ตามหลักประชาธิปไตยแล้ว หากเสียงข้างน้อยทำไม่สำเร็จในการโน้มน้าวใจคน นั่นก็คือความล้มเหลวของเสียง ข้างน้อยเอง ที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่หันมาเชื่อตนเองได้ ไม่ว่าจะด้วยการที่ไม่พยายามมาก พอ หรือไม่พยายามเลย กระทั่งมีความอดทนไม่มากพอ หรือแม้แต่การที่ความเชื่อของพวกเขานั้นผิดและไม่สามารถสอดคล้องไปกับความต้องการของมวลชนที่แท้จริงได้

แต่วันนี้กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก ที่เสียงข้างน้อยที่ล้มเหลวในการกินใจประชาชนอย่างขบวนการพันธมิตรฯ กลับไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง กลับไปโทษว่าเป็นความผิดของชาวบ้านที่ "งมงาย" หรือ "ขาดข้อมูล" ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย (อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ข้อมูลข่าวสารในท้องตลาดของทุกฝ่าย มีออกมาในราคาถูกพอหาซื้อได้เต็มไปหมด) น่าเสียใจที่ขบวนการพันธมิตรฯ ที่มีคนเป็น "สหาย" เก่าในขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ไม่สามารถจะซึมซับเอาวิธีการบทเรียนแห่งความอดทนของพรรคมาใช้ได้

ในอดีต ผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำงานด้วยความอดทนในพื้นที่ ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อพยายามโน้มน้าวมวลชนให้ได้ พวกเขาใช้เวลานับสิบปี ยี่สิบปี พยายามทำให้สำเร็จ แม้จะล้มเหลวก็ตามทีในบั้นปลาย ด้วยความพ่ายแพ้ป่าแตก แต่วันนี้มวลชนจำนวนมากในชนบทที่เคยผ่านการใช้ความพยายามของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลงไปทำงานความคิดกับพวกเขา กลับยังคงเชื่อมั่นและนับถือพรรค ที่เคยต่อสู้เพื่อพวกเขา และหลายคนยังคงรอวันพรรคกลับมาอยู่ด้วยซ้ำไป พวกเขาก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดและสำเร็จในขั้นหนึ่งในการกินใจประชาชน แม้จะล้มเหลวในการเปลี่ยนประเทศ นี้ก็ตามที

ต่างกับพันธมิตรที่ไม่เคยใช้ความพยายามเหล่านี้เลย ความพยายามที่พวกเขาใช้มาตลอดเวลา กลับกลายเป็นความพยายามในการผลักมวลชนและแนวร่วมออกไปไกลยิ่งขึ้น ด้วยการด่าทอพวกเขาว่า "โง่" "งมงาย" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ

สิ่งที่เราควรจะสื่อสารถึงทุกฝ่าย ในวันนี้ควรจะเป็นว่า 1. คุณมีสิทธิแสดงความคิดเห็น และใช้โอกาสนั้นโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ให้เห็นด้วยกับคุณให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณล้มเหลวเอง 2. คุณต้องยอมรับผลของการเลือกตั้ง จากคนส่วนใหญ่ของประเทศ และการยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะพันธมิตรในนามพรรคการเมืองใหม่ ฝ่ายเนวิน ประชาธิปัตย์ หรือใครๆ ก็ตามล้วนแต่มี 1 คน 1 เสียงเท่ากัน

ปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่ายุบสภาแล้วไม่จบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าการยุบสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามันไม่จบเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อย แต่กดขี่ข่มเหงคนส่วนมากตลอดเวลา ขโมยสิทธิของเขาตลอดเวลาและไม่ยอมรับความจริงที่ตัวเองเป็นเสียงข้างน้อย

วันนี้คนเสื้อแดงแค่มาทวงในสิ่งที่เป็นของตนเองอย่างชอบธรรมกลับคืนเท่านั้นเอง พวกเขาถูกขโมยไปอย่างหน้าด้านๆ เมื่อครั้ง 19 กันยาฯ พวกเขาถูกปฏิเสธเมื่อครั้งพันธมิตรชุมนุม และรัฐบาลทุกวันนี้ก็ไม่ใช่รัฐบาลที่พวกเขาเลือก

ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ว่าไม่ถูกต้อง ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อครั้งพันธมิตรฯ มาล้มรัฐบาลเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ร่วมกับทหาร และตุลาการวิบัติ ทำไมเรายืนยันนั่งยันนอนยันให้ พวกเขาถูกกดขี่เหยียดหยามช่วงชิงขโมยสิทธิตลอดเวลาด้วยการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร

ทำไมเราไม่ออกมาปกป้องสิทธิของคนส่วนมาก จะไม่พูดก็ได้ไม่เป็นไรหรอก จะอยู่เฉยๆ ไปตลอดก็ไม่มีใครว่า แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เวลาตัวเองไม่เดือดร้อน แต่มาโวยวายเวลาตัวเองเดือดร้อน โดยไม่เคยคิดถึงเลยว่าสิ่งที่เขา ถูกกระทำย่ำยีมาโดยตลอดเวลา หลายปี เขาเดือดร้อนมายาวนานมากพอแล้ว และพวกเขาต้องทนเดือดร้อนอย่าง นั้นอยู่หลายปี ก็เพราะไม่มีใครออกมาปกป้องช่วยพวกเขาตอนถูกปล้นอำนาจไปเลย ด้วยการอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิต "ปกติ" ให้พวกเขาถูกกดขี่ตาม "ปกติ" ต่อไป หลายครั้งรวมถึงการยินดีชมชอบกับการรัฐประหารและสิ่งพวกนี้ด้วยซ้ำ

ทุกๆ อย่างมันจะไม่แย่ลงๆ ถ้าเรายอมรับในเสียงข้างมาก และเข้าใจหลักประชาธิปไตยที่ให้เสียงข้างมากชี้ขาด และเสียงข้างน้อยได้พูด (ซึ่งได้พูดกันมากมายบานตะไทอยู่แล้ว เต็มตลาดแผงหนังสือและสัญญาณจานดาวเทียมที่มีมากมายเต็มไปหมด) แต่มันจะแย่ลงก็เพราะคนจำนวนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยแต่จะเอาอย่างที่ต้องการให้ได้ต่างหาก แทนที่จะจี้คนเสื้อแดงให้หยุดการเคลื่อนไหวยุบสภา ทำไมเราไม่ไปจี้ไอ้พวกเสียงข้างน้อยพวกนั้นให้หยุดการกระทำย่ำยีคนส่วนมากตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนติดต่อมาถึงทุกวันนี้ล่ะ ปัญหามันเกิดจากคนพวกนั้นต่างหาก

การยุบสภาคือการแก้วิกฤติที่ดีที่สุด วันนี้ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างว่ายุบสภายังไม่ได้ เพราะยังมีวิกฤติความขัดแย้งที่ต้องแก้ แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาวิกฤติทุกวันนี้ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการที่เสียงข้างน้อยไม่ได้เป็นเสียงข้างน้อยที่ดีตามระบอบประชาธิปไตยต่างหาก แนวทางการแก้ปัญหาวันนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะคืนสิ่งที่เป็นของประชาชนโดยชอบธรรมคืนให้แก่ประชาชน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net