อดีตบิ๊ก "คตน.- ดีเอสไอ" แนะรัฐเร่งออกกม.ลูก ให้กก.สิทธิฟ้องศาลโลก แทนญาติเหยื่อฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ ฝาก"คัมภีร์"เร่งเอาผิดคนสั่งการ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ล่าตัวรับโทษอาญา "วสิษฐ"ให้พ่วงสอบเหตุพฤษภาฯ ปี′53 ด้วย
สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ จัดอภิปรายเรื่อง ฆ่าตัดตอน คดีที่ต้องสานต่อให้จบ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ อดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบศึกษาและวิเคราะห์ การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฎิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายและชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน (คตน.) และพ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
พล.ต.ท.วันชัย กล่าวว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดคดีฆาตกรรม 2,604 คดี มีผู้เสียชีวิต 2,873 คน เป็นคดีฆาตกรรมที่ผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1,187 คดี คดีวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นทั้งหมด 45 คดี มีผู้เสียชีวิต 54 คน และคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้ตายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 35 คดี และเมื่อเปรียบเทียบคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นช่วง 2 ปี ทั้งก่อนและหลังประกาศสงครามกับยาเสพติด พบว่า ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน 2544, 2545, 2547, 2548 มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 454 คดี แต่ช่วงประกาศนโยบายระหว่างเดือนกุมภาพันธ์– เมษายน 2546 คดีฆาตกรรมสูงขึ้นถึงเดือนละ 853 คดี หรือเพิ่มขึ้นเดือนละร้อยละ 87
พล.ต.อ.วันชัย กล่าวอีกว่า คตน. ได้ทำรายงานสรุปเสนอรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ความเสียหายต่อชีวิตเป็นผลจากการนำนโยบายปราบปรามยาเสพติดไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นผลต่อการบังคับใช้กฎหมายอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศ จึงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และต้องหาผู้รับผิดทางอาญา ตามกระบวนการการยุติธรรมทางอาญา โดยกำหนดการรับผิด ฐานเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด ทั้งการใช้บังคับขู่เข็ญจ้างวาน ซึ่งคณะกรรมการ คตน. ที่มีนายคัมภีร์ แก้วเจริญ อดีตอัยการสูงสุด ในฐานประธานคตน.คนใหม่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม เพราะเป็นการฆาตกรรมที่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ยังขอให้คณะกรรมการชุดใหม่ดำเนินการต่อใน 3 ข้อ คือ 1.หาผู้รับผิดทางอาญามารับโทษ 2. เยียวยาผู้เสียหาย 3. หาแนวทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีก
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวว่า คตน.ชุดเดิม มีข้อมูล ร้อยละ 80 โดยคตน.ชุดใหม่ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติ่มเพื่อความชัดเจน และศึกษาวิธีการ การนำคดีดังกล่าวไปสู่ศาลระหว่างประเทศ เนื่องจากคดีดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ความรับผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาระหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฎว่า ผู้กำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติด มีเจตนาให้เกิดผลเสียหายต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การนำคนมารับผิดทางอาญาต้องทำคู่ขนานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศ คตน.ชุดใหม่ต้องมีอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถส่งสำนวนดคีไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ หรือคณะกรรมการสิทธิฯ เพื่อส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องคดี สำหรับแนวทางดำเนินคดีในต่างประเทศ ให้ญาติผู้เสียชีวิต ไปฟ้องร้องกับศาลอาญาระหว่างประเทศโดยตรง ผ่านช่องทางของสหประชาติ
พล.ต.อ.วสิษฐ์ กล่าวว่า เหยื่อจากการปราบปรามยาเสพติดสามารถฟ้องร้องระหว่างประเทศฐานละเมิดปฏิญญาระหว่างของครอบครัวได้ เช่น เดียวกับการฟ้องร้องประธานาธิบดี ยูโกสลาเวีย ที่กระทำผิดต่อชีวิตมนุษยชาติ และสุดท้ายศาลโลกพิพากษาดำเนินคดีทางอาญาและติดตามยึดทรัพย์ แต่การฟ้องร้องในประเทศอาจติดขัดเรื่องพยาน เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องยาก ทางที่ดีควรให้ดีเอสไอเข้าไปดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การดำเนินกับผู้สั่งการสามารถทำได้ โดยคณะกรรมการสิทธิฯ เป็นผู้ดำเนินการ เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุว่า คณะกรรมการสิทธิฯดำเนินการได้หากมีผู้ร้องขอ เพราะเป็นการละเมิดต่อส่วนรวม แต่จะมีปัญหาเนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายลูก กฎหมายลูกยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา จึงประสานให้สภาทนายความช่วยฟ้องให้
"รัฐบาลควรจะเร่งออกกฎหมายลูกเพื่อให้กรรมการสิทธิฯ ฟ้องแทนเหยื่อและผู้สูญเสีย เพราะจะฟ้องได้ทั้งแพ่งและอาญา รวมทั้งยังมีอานิสงส์ให้เหตุการณ์อื่นๆด้วย เช่น เหตุการณ์พฤกษา 53" พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)