Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
 
หลายครั้งและหลายโอกาสที่ผมมักได้ยินผู้นำแรงงานและผู้ใช้แรงงานพูดอยู่เสมอว่า “เราเป็นผู้ใช้แรงงานไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องการเมือง” ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้นอย่างยิ่ง เพราะว่าการเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคนที่จะต้องให้ความสำคัญ เพราะตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับตาลง หรือตั้งแต่เกิดจนตาย การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีวิตของเราตลอดเวลา เราต้องเรียนรู้เพื่อนำสิ่งที่ได้รู้มาวิเคราะห์ข้อมูล ว่าอะไรควรทำหรืออะไรไม่ควรทำ ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองที่มีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนและสุดโต่งทางความคิด เราในฐานะที่เป็นกรรมกรเป็นชนชั้นล่างหรือรากฐานของสังคมและเศรษฐกิจ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาระยะห่างและความสัมพันธ์ทางการเมืองกับแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน แต่ไม่ใช่เป็นกลางเพราะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นความเป็นกลางมันไม่มี
 
จากบทเรียนของแรงงานในอดีตจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากทหารหรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่หลายคนบอกว่าเป็นประชาธิปไตย ชนชั้นกรรมาชีพหรือผู้ใช้แรงงานก็ยังเป็นชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีดและถูกเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา เราไม่สามารถที่จะปลดปล่อยพันธนาการอันหนักหน่วงที่ถูกกดทับอยู่บนบ่าลงได้ เราไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเลือกผู้แทนที่เป็นของชนชั้นผู้ใช้แรงงานของเราเองอย่างแท้จริงได้
 
มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน คือ การตีความหมายหรือการเข้าใจความหมายของคำว่า “กรรมกร” มักถูกบิดเบือนไป กรรมกรที่อยู่ในโรงงานก็ถูกแบ่งออกเป็นคอปกขาวกับปกน้ำเงิน และที่สำคัญคือ แรงงานนอกระบบซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรมก็ถูกแบ่งออกเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนงานไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสังคมก็แล้วแต่ทุกคนถือว่าเป็นกรรมกร เพราะต้องใช้แรงงานเพื่อให้ได้ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนซึ่งอาจเป็นเงินหรือสิ่งของก็ได้
 
วันนี้กรรมกรได้เรียนรู้อะไรบ้างจากความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้ การต่อสู้กันของสงครามตัวแทนระหว่างชนชั้น“คือชนชั้นผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่” ในครั้งนี้ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะกรรมกรอย่างเราก็จะไม่ได้อะไร เพราะสิทธิ์และเสียงของเรานั้นมันถูกกลืนหายเข้าไปในระบบอุตสาหกรรมแล้ว โอกาสที่กรรมกรอย่างเราจะกลับไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นมีไม่ถึง ๕๐% หรือถ้าคิดเป็นจำนวนของเสียงก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ เสียง จากจำนวนแรงงานในระบบประมาณเกือบสิบล้านคน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมนักการเมืองจึงไม่ให้ความสำคัญกับพี่น้องกรรมกรอย่างเรา ทั้งที่ในความเป็นจริงเราคือพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
 
มีท่านที่อยากเป็นผู้นำกรรมกรแต่ความสามารถไม่ถึงหลายคนออกมาบ่นว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้ต้องมีคนตกงานได้รับความเดือดร้อนจาการเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งแท้จริงแล้วคนที่ออกมาชุมนุมเหล่านั้นก็ คือ พ่อ แม่ หรือพี่น้องของเราเอง แต่กรรมกรทั้งหลายกลับเพิกเฉย ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งนัก หลายคนออกมาโอดครวญว่าต้องตกงานขาดหนทางในการประกอบอาชีพ
 
แต่ผมกลับมองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตอนวิกฤติเศรษฐกิจ ปี ๒๕๔๐ และ ปี ๒๕๕๑ นั้นมีคนตกงานมากมายแต่ไม่เห็นมีใครหน้าไหนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลต้องปกป้องผลประโยชน์ของคนงาน แต่ในทางตรงกันข้ามกลับไปเร่งเชิญชวนให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเอาทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีอยู่อย่างจำกัดเป็นสิ่งล่อใจและที่สำคัญคือไปบอกกับชาวต่างชาติว่าแรงงานไทยฝีมือดีและราคาถูก ท่านผู้นำประเทศที่เคารพครับท่านดูถูกและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของชนชั้นกรรมกรอย่างเราโดยไร้ยางอายจริงๆ
 
เมื่อเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองสิ้นสุด นับจำนวนคนตายได้เก้าสิบพอดี มีคนแอบกระซิบบอกว่า“ขาดไปอีกเพียงเก้าคนไม่งั้นตัวเลขจะสวยกว่านี้”เก้าสิบชีวิตกับผู้บาดเจ็บกว่าสองพันมันคือการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มากมายนักสำหรับครอบครัวของเขา นี่คือรางวัลสำหรับผู้กล้าหรือผู้ที่บังอาจร้องขอให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือผู้ที่ต้องการประชาธิปไตย
 
หลังสิ้นเสียงปืนและยังไม่สิ้นกลิ่นคาวเลือดดีนัก ก็ได้ยินเสียงเชิญชวนของผู้นำแรงงานขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อเยียวยาคนตกงานจากเหตุการณ์ทางการเมือง “โอ้พระเจ้า!คนตกงานช่างน่าสงสารยิ่งนัก ?” ส่วนคนเจ็บและคนตายจะเป็นใครหรือเป็นอย่างไรช่างหัวมัน “ไม่ใช่เรื่องของกรู........” หลายคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นกรรมกร เป็นผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ หลายคนที่รอดชีวิตออกมาต้องอยู่อย่างวิตกหวาดหวั่นและความกลัวจากการตามล่าหรือข่มขู่ทุกรูปแบบ นี่หรือประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นักวิชาการหรือนักสิทธิมนุษยชนต่างๆ ก็เกิดอาการหูหนวกตาบอดกะทันหันอย่างไม่น่าเชื่อ หรือเขาเหล่านั้นดูหนัง Hollywood มากเกินไปจนลืมตัวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์จริง และคิดว่าเป็นหนังที่มีผู้กำกับการแสดงจบจากสถาบันอันลือชื่อจากต่างประเทศ
 
ในการลุกขับเคลื่อนต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ยากนักที่จะลืมเลือนในความรู้สึกของผม เพราะผมรู้สึกว่า พวกเขาต่อสู้แบบลืมโลกทั้งโลก และใจจดใจจ่ออยู่กับเหตุการณ์ข้างหน้าคว้าหนังสติกออกมายิงทายท้ากับห่ากระสุนปืนข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ เขาคิดเพียงว่า “เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง” หลอมหัวใจและจิตวิญญาณของตัวเองเข้ากับสิ่งที่เขาทำ ห้วงเวลานั้นเป็นห้วงเวลาที่เขามีความสุข สุขจากการได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ถึงแม้ว่าสิ่งตอบแทนมันอาจหมายถึงความตายที่รออยู่ตรงหน้า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ต้องมานั่งตีราคาคิดถึงค่าตอบแทนหรือเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญใดๆ เพราะค่าตอบแทนที่ได้มัน คือ “ความตาย”
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net