Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เดือนกันยายน พ.ศ.2553 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะมีอธิการบดีคนใหม่ เวลานี้จึงเป็นช่วงของการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยคนใหม่

ผู้เข้ารับการสรรหาล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิชาการเป็นอย่างดี เพราะต่างผ่านการศึกษาในระดับสูง มีผลงานด้านการวิจัย มีประสบการณ์การสอน และเคยมีตำแหน่งบริหารทั้งในระดับคณะหรือในระดับมหาวิทยาลัยมาไม่มากก็น้อย

คุณสมบัติตามที่กล่าวมาคงมีไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือ ภาพลักษณ์ของอธิการบดีคนใหม่กับภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากรากเหง้าที่มาและตัวตนของมหาวิทยาลัยที่ครั้งหนึ่งเคยชื่อว่ามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง

โดยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำเนิดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2477 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยเพียง 2 ปี นอกจากนี้ผู้ก่อตั้งหรือผู้ประศาสน์การคือนายปรีดี พนมยงค์ ยังเป็นหัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ที่เป็นมันสมองของคณะราษฎร มีความมุ่งหมายในการก่อตั้งว่า "มหาวิทยาลัย ย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร์ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมี ควรได้รับตามหลักเสรีภาพในการศึกษา"

ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงเป็นมหาวิทยาลัยเปิด ที่ใครๆ ก็สามารถทำงานด้วยเรียนไปด้วยได้ ลูกคนยากคนจนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำเนิดขึ้นก็สามารถพลิกผันชีวิตตนเองจนได้เป็นธรรมศาสตรบัณฑิต กลายเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง ได้กลับมาช่วยเหลือคนยากคนจนก็มีให้เห็น

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตนักคิดนักเขียน นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจเผด็จการ นักต่อสู้เพื่อคนยากคนจำนวนไม่น้อย

หลายเหตุการณ์ทางการเมืองที่มหาวิทยาลัยเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นขบวนการเสรีไทย กบฏวังหลวง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายเหตุการณ์ ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอมา ดังคำขวัญที่คุ้นๆ กันอยู่เสมอว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" (กุหลาบ สายประดิษฐ์)

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังมีภาพลักษณ์เป็นมหาวิทยาลัยที่เคียงคู่และต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้กับประชาชน ดังคำขวัญที่ว่า "หากขาดโดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ ก็เหมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์" (เปลื้อง วรรณศรี)

ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยสอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน ทุกครั้งเมื่อประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในอดีตมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่เคยนิ่งดูดาย

วาระที่ พ.ศ.2553 เป็นวาระครบรอบ 110 ปี ชาตกาลของนายปรีดี พนมยงค์ มีคำขวัญที่คุ้นหูว่า "110 ปี ความดีไม่สูญหาย" เวลาที่ผ่านไปพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ต้องพบรักมรสุมทางการเมืองด้วยการถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา จนไม่อาจอยู่บนผืนแผ่นดินไทยที่รักของท่านได้ก็ตาม แต่เวลาได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า "110 ปี ความดีไม่สูญหาย" จริงๆ

มีคนจำนวนไม่น้อยตระหนักและเห็นความสำคัญของท่าน ที่ต้องการให้ประเทศชาติเกิดความเจริญก้าวหน้า สามารถธำรงปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับประชาชน

นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมหาวิทยาลัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลากว่า 70 ปี เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมเสมอมา ตลอดจนการต่อต้านการใช้อำนาจเผด็จการแม้แต่คราวที่มหาวิทยาลัยถูกทหารยึดในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ตาม แต่ในที่สุดด้วยพลังของความสามัคคี นักศึกษาก็สามารถยึดมหาวิทยาลัยกลับคืนมาได้

ด้วยที่มาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดจนภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่เป็นมหาวิทยาลัยของคนทุกชนชั้น และมหาวิทยาลัยเพื่อปวงชน ดังนั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์และภาระหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้พึงมี การสรรหาจนกระทั่งได้ตัวอธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คงไม่อาจได้เพียงผู้มีความรู้ความสามารถด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว หรือเพียงบริหารมหาวิทยาลัยได้เก่ง ได้ดีเท่านั้น

นั่นคืออธิการบดีต้องทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นเหมือนบ่อน้ำที่บำบัดความกระหายของราษฎรเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ข้างประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งด้วยการมุ่งผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ความสามารถ มีจิตสำนึกแบบประชาธิปไตย มุ่งรับใช้ประชาชน แม้ท่ามกลางความเปลี่ยนไปของสังคมในวันนี้ ที่กระแสทุนนิยมเข้าครอบงำวิถีชีวิตผู้คนที่ทำให้เห็นเงินเป็นใหญ่ แต่ภาระของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ การสร้างจิตวิญญาณให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวเหล่านี้ให้ได้

ดังนั้น คนเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงต้องมีสัญญาประชาคม ที่ต้องนำพามหาวิทยาลัยให้เป็นบ่อบำบัดความกระหายของราษฎร และเป็นสถาบันทางการศึกษาที่มีหน้าที่ปลูกปั้นปัญญาให้แก่ผู้คนในสังคม

รวมทั้งการปกป้องธำรงรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหมือนดั่งเจตนารมณ์ของผู้ประศาสน์การ และอยู่เคียงข้างประชาชนทุกชนชั้นอย่างแท้จริง

แต่บทบาทท่าทีของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ทั้งการใช้ความรุนแรงกับประชาชน การที่ประเทศต้องตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน อธิการบดีไม่ได้แสดงท่าทีของการอยู่เคียงข้างประชาชน หรือปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้สมกับที่เป็นผู้นำสถาบันการศึกษาที่ควรเป็นเสาหลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด

ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบันแทบไม่มีบทบาทของมหาวิทยาลัยของคนทุกชนชั้น และเป็นที่พึ่งของประชาชน ทั้งที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นผลผลิตของคณะราษฎร และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475

ภาพลักษณ์ดังกล่าวของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน จึงเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องกับการกำเนิดและบทบาทของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในอดีต

ดังนั้น ในวาระที่จะมีอธิการบดีคนใหม่ หากการสรรหาแล้วได้บุคคลที่มีทั้งความรู้ความสามารถด้านวิชาการ การบริหาร และมีภาพลักษณ์ของความเป็นนักประชาธิปไตย และมีความรักต่อประชาชนโดยเฉพาะคนยากคนจนแล้ว

อธิการบดีคนใหม่คงเป็นความภาคภูมิใจของชุมชนธรรมศาสตร์ และคนในสังคมได้อย่างไม่อายใคร

 

 

-----------------------------------
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ประชาไทเห็นว่าน่าสนใจจึงขออนุญาตเจ้าของบทความมานำเสนออีกครั้ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net