เนื่องด้วยวันนี้ (21 ก.ย. 2553) เวลา 10.00 น. นายสาวิทย์ แก้วหวาน (เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียน เรื่อง "ความเห็นตามธรรมนูญองค์การแรงงานระหว่างประเทศข้อ 23 ต่อกรณีที่รัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตาม พันธกรณีที่มีอยู่ตาม อนุสัญญาว่าด้วยการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน (เรื่องเงินทดแทนกรณีอุบัติเหตุ) ค.ศ. 1925 (อ.ที่ 19)" ถึง คุณคลีโอพัตรา ดัมเบีย เฮนรี ผู้อำนวยการแผนกมาตรฐานแรงงานองค์การระหว่างประเทศ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกระเบียบที่เลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติในการเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน
ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือร้องเรียนระบุว่า "ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฉบับที่ 19 ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2511 แต่ขณะนี้ กลับปฏิเสธไม่ให้แรงงาน ข้ามชาติจากประเทศพม่าซึ่งบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการทำงานในประเทศไทยหรือผู้อยู่ในอุปการะของแรงงานเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในเรื่องเงินทดแทนกรณีอุบัติเหตุจาก การทำงานเฉกเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อแรงงานสัญชาติไทย"
โดยระบุอีกว่า จากข้อมูลที่รวบรวมไว้โดยมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) แสดงให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าที่ประสบอุบัติเหตุ จากการทำงานถูกปฏิเสธการเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน ซึ่งเป็น หน่วยงานภายใต้สำนักงานประกันสังคม กองทุนเงินทดแทนจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ “แรงงาน” ทุกคนในกรณีที่ประสบ อุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน รวมถึงมีการกีดกันนายจ้างไม่ให้จ่ายเงินทดแทน ทั้งยังยกตัวอย่างกรณี นางหนุ่ม ไหมแสง แรงงานก่อสร้างหญิงชาวไทยใหญ่ จากรัฐฉาน ประเทศพม่าประสบอันตรายในขณะที่กำลังทำงานในสถานที่ก่อสร้างเมื่อปี 2549 มาเป็นกรณีตัวอย่าง
นอกจากนี้ยังมีแถลงการณ์ ที่เรียกร้องขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อสิทธิของแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติที่จะได้รับการคุ้มครองตามที่กฎหมายแรงงานไทยได้บัญญัติให้ลูกจ้างทุกคนอย่างไม่แบ่งแยกและถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการอันสำคัญของอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 19 ซึ่งประเทศที่ไทยได้ให้สัตยาบันไว้ตั้งแต่ปี 2511 และเป็นสมาชิกตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
โดยแถลงการณ์มีเนื้อหาดังนี้
แรงงานข้ามชาติต้องได้รับการคุ้มครอง รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม
อนุสัญญาองค์การแรงงานประเทศ ฉบับที่ 19
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฉบับที่ 19 ว่าด้วย “การว่าด้วยการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในเรื่องค่าทดแทนสำหรับคนงานชาติในบังคับและคนงานต่างชาติ” เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2511 โดยสาระสำคัญกำหนดให้ประเทศสมาชิกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับนี้ ดำเนินการอนุญาตให้ชนในชาติของประเทศสมาชิกอื่น ๆ ที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับนี้ หรือผู้มาพำนักอาศัย ผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย เนื่องจากอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในดินแดนของตน ได้รับการปฏิบัติในเรื่องค่าทดแทนของคนงานเช่นเดียวกับที่มีให้ต่อคนในชาติของตน โดยปราศจากเงื่อนไขในเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัย แต่ในทางปฏิบัติและความเป็นจริง แรงงาน ข้ามชาติจากประเทศพม่าซึ่งบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการทำงานในประเทศไทย กลับถูกปฏิเสธจากหน่วยงานของรัฐไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการคุ้มครองตามที่กฎหมายบัญญัติได้ โดยอ้างเหตุผลบางประการ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติในเรื่องการได้รับเงินทดแทนกรณีอุบัติเหตุจาก การทำงานเฉกเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อแรงงานสัญชาติไทย ซึ่งขัดต่อหลักการอันสำคัญของอนุสัญญาฉบับดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ให้สิทธิประโยชน์ในเงินทดแทนสำหรับแรงงานข้ามชาติ จาก ประเทศพม่า
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ได้หยิบยกเอาประเด็นของนางหนุ่ม ไหมแสง ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาทำการรณรงค์และผลักดันให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้การตอบสนองจากหน่วยงานและรัฐบาลไทย สรส.ในฐานะที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์แรงงานโลก (International Trade Union Confederation : ITUC) ได้ยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ด้านมาตรฐานแรงงาน ในการประชุมใหญ่ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศสมัยที่ 98 เมื่อปี 2552 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และเรื่องดังกล่าวได้ถูกนำไปพิจารณาในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญแห่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศด้านการมีผลบังคับอนุสัญญา และคณะกรรมการฯได้รายงานต่อที่ประชุมใหญ่ในการประชุมสมัยที่ 99 ปี 2553 และเสนอต่อรัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับที่ 19
แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าเป็นกลุ่มที่เปราะบางและถูกแสวงประโยชน์มากที่สุดกลุ่มหนึ่งใน สังคม เมื่อเทียบกับแรงงานกลุ่มอื่นๆ พวกเขาทำงานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก อันตราย สกปรก ทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย จากการทำงานบ่อยครั้ง แรงงานเหล่านี้หนีภัยจากสถานการณ์ความขัดแย้งทาง การเมืองและเศรษฐกิจที่เลวร้ายในประเทศพม่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มสพ.บันทึกกรณีอุบัติเหตุจากการทำงานของแรงงานพม่ากว่า 200 กรณี ซึ่งมาจาก 2 จังหวัด ในจำนวน 77 จังหวัดของประเทศไทย แม้ไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการ แต่อาจประมาณการได้ว่า แรงงานข้ามชาติพม่าหลักพันประสบอุบัติเหตุจากการทำงานในแต่ละปี และยังมีอีกหลายคนทุกข์ทรมานอยู่ หรือจะประสบปัญหาโรคจากการทำงานในอนาคต
การดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวรัฐบาลไทยได้สร้างระบบเงินทดแทนอุบัติเหตุจากการทำงานต่างหากเพื่อรองรับ โดยการใช้ระบบประกันชีวิต เพื่อรับทำประกันแก่แรงงานข้ามชาติโดยบริษัทเอกชน โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมเป็นผู้กำหนด อัตราเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ มิได้สอบถามความเห็นจาก สรส. และตัวแทนแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด
สรส. มีความเห็นว่า แผนการให้มีเงินประกันต่างหากและให้ภาคเอกชนเข้ามาบริหารงาน เพื่อจ่ายเงิน ทดแทนกรณีได้รับอุบัติเหตุ เจ็บป่วย พิการ และเสียชีวิตแก่แรงงานข้ามชาติ (และทายาท) จากประเทศพม่า ที่ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานเป็นพัฒนาการที่น่าวิตก เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยจะเพิกเฉยต่อหลักการ ไม่เลือกปฏิบัติในการเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน มีข้อกังขาที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เนื่องจากความไม่โปร่งใส และไม่เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายว่า สิทธิประโยชน์จากระบบประกันเอกชนที่วางแผนไว้ อาจน้อยกว่าสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างไทยได้รับจากกองทุนเงินทดแทน สรส. ถือว่าแผนการดังกล่าวละเมิด พระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทน พ.ศ. 2537 ที่กำหนดให้ “ลูกจ้าง” มีสิทธิเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน โดยไม่จำกัดสัญชาติ
ดังนั้น สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) จึงขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อสิทธิของแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติที่จะได้รับการคุ้มครองตามที่กฎหมายแรงงานไทยได้บัญญัติให้ลูกจ้างทุกคนอย่างไม่แบ่งแยกและถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการอันสำคัญของอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 19 ซึ่งประเทศที่ไทยได้ให้สัตยาบันไว้ตั้งแต่ปี 2511และเป็นสมาชิกตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในอนาคต ที่จะไม่ให้นานาชาตินำประเด็นนี้มากล่าวหาประเทศไทยว่าแสวงประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติชาวพม่าที่ทุกข์ยากเข้ามาเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า อันจะทำให้ประเทศไทยอาจถูกปฏิเสธการยอมรับจากประชาคมโลก
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
21 กันยายน 2553
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)