Skip to main content
sharethis

สัมภาษณ์ครอบครัวเหยื่อไทยพุทธ 4 ศพแห่งหมู่บ้านฮูแตยือลอ นราธิวาส เผยอยู่ในบ้าน 3 หลังสุดท้าย เพื่อนบ้านมุสลิมแห่ร่วมงานศพ

ด.ญ. ปาลิตา คงเพ็ชร์ 

ฮูแตยือลอ (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์)

 

วงสนทนาใต้ร่มไม้ใหญ่ภายในวัดบางนรา อำเภอเมืองนราธิวาส บางครั้งก็มีเสียงสรวลเสเฮฮา ภาษายาวีบ้างไทยบ้างปะปนกัน ช่างขัดกับบรรยากาศโศกเศร้า เนื่องจากกำลังมีการจัดงานศพ 3 ศพจากหมู่บ้านฮูแตยือลอ หมู่ที่ 6 ตำบลบาเร๊ะใต้ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส

เป็นบรรยากาศในช่วงบ่ายไม่กี่วันหลังเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายแต่งกายคล้ายทหารตำรวจบุกเข้าไปยิงชาวบ้านไทยพุทธในหมู่บ้านดังกล่าวที่มีอยู่ 3 หลัง ทำใหม่มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ศพ และบ้านทั้ง 3 หลังถูกเผาวอด เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 18 กันยายน 2553

ทั้ง 4 ศพประกอบด้วย นายชื่น คงเพ็ชร อายุ 83 ปี เสียชีวิตในบ้านเลขที่ 111 นายเจริญศีลป์ บุญทอง อายุ 47 ปี และ นางสมศรี บุญทอง อายุ 58 ปี ซึ่งเป็นสามี ภรรยา ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่บ้านเลขที่ 93/9 ห่างจากบ้านหลังแรกประมาณ 50 เมตร ส่วนอีกศพ คือ นางห้อง คงเพ็ชร์ อายุ 76 ปี ภรรยานายชื่น เสียชีวิตในบ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ห่างจากหลังที่ 2 ประมาณ 100 เมตร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของถนน

สำหรับบ้านเลขที่ 111 ซึ่งเป็นบ้านของนางวนิดา คงเพ็ชร์ ลูกสาวของนายชื่น ซึ่งได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว

คนหนึ่งในวงสนทนานั้น คือนายชูรสิทธิ์ คงเพ็ชร์ อายุ 36 ปี ลูกชายของนางห้อง หนึ่งในผู้เสียชีวิตดังกล่าว กำลังถามไถ่เพื่อนบ้านมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่มาเยี่ยมในงานศพผู้เสียชีวิตทั้ง 4 ราย ถึงสภาพบ้านพักอาศัยที่ถูกเผาวอด ด้วยภาษายาวีอย่างคล่องแคล่ว รวมทั้งยังถามถึงลูกลิงแสมตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้ เพราะวันนี้เขาไปกล้ากลับไปที่บ้านตัวเองอีกแล้ว

เพื่อนบ้านคือเพื่อนที่โตมาด้วยกันกับชูรสิทธิ์ เพราะครอบครัวของชูรสิทธิ์เข้ามาตั้งรกรากที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่า 40 ปีแล้ว

ชูรสิทธิ์ เล่าว่า พ่อ แม่ของตน คือ นายชื่อกับนางห้อง เข้าไปอาศัยในหมู่บ้านฮูแตยือลอนี้ โดยการซื้อที่ดินมาจากชาวบ้านที่เข้าไปจับจองที่ไว้ก่อนหน้านั้น จากนั้นมีญาติตามมาอยู่อาศัยในหมู่บ้านนี้ด้วย จึงเป็นคนในหมู่บ้านเพียง 3 หลังที่นับถือศาสนาพุทธ จากทั้งหมด 200 กว่าครัวเรือน

โดยทั้ง 3 หลัง มีทรัพย์สินนอกจากบ้านที่ถูกเผาวอดแล้ว ยังมีที่ดิน 33 ไร่ 12 ไร่ และ 5 ไร่ ตามลำดับ

“ชีวิตความเป็นในหมู่บ้านเป็นปกติ มีการไปมาหาสู่กันฉันท์เพื่อนบ้านทั่วไป ไม่เคยมีปัญหาต่อกัน” ชูรสิทธิ์ กล่าว

ขณะที่เพื่อนบ้านมุสลิมในวงสนทนา ต่างก็ช่วยกันระบุว่า มีการพึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอด ระหว่างชาวบ้านมุสลิมกับชาวพุทธจากบ้านทั้ง 3 หลังนี้ แม้แต่ในวันรายอ (วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม) นายชื่นกับนางห้องยังจ้างคนทำตูปะ (เป็นอาหารว่างทำจากข้าวเหนียวห่อด้วยใบกะพ้อ) เพื่อเอามาเลี้ยงเพื่อนบ้านด้วยซ้ำ

“ครั้งหนึ่งตอนที่ชาวบ้านจะตั้งโรงเรียนขึ้นมาในหมู่บ้านก็มีนายชื่นเป็นคนช่วยประสาน เนื่องจากชาวบ้านคนอื่นๆ พูดภาษาไทยไม่ได้” เพื่อนบ้านที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มย้อนความหลังให้ฟัง ก่อนจะย้ำด้วยว่า

“เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่คนนอกเข้ามาสร้างปัญหา ต้องการให้เกิดความแตกแยก เพราะก่อนหน้านี้ 3 วันก่อนถึงวันถือศีลอดในเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิม เจ้าหน้าที่ได้ยิงปะทะกับคนร้ายในหมู่บ้าน ทำให้มีวัยรุ่นตายไป 2 คน ซึ่งทั้ง 2 คนก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน และก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในหมู่บ้านเลย”

เหตุการณ์ที่ว่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2553 โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายคือ นายวาเหะและนายบัคซอรี อารอบีรือเสาะ

แต่สำหรับเหตุล่าสุดที่หมู่บ้านฮูแตยือลอนั้น นับเป็นความโชคดีอย่างสุดๆ ของชูรสิทธิ์ กับภรรยาและลูกอีก 1 คน จากทั้งหมด 3 คน ไม่ได้อยู่ที่บ้าน เพราะได้เดินทางไปร่วมงานศพญาติผู้ใหญ่ที่จังหวัดระนอง

ส่วนลูกอีก 2 คน อยู่ในเหตุการณ์

เด็กหญิงปาลิตา คงเพ็ชร์ อายุ 11 ปี คือลูกสาวคนโตของชูรสิทธิ์ ซึ่งคืนเกิดเหตุเธออยู่กับย่า คือนางห้อง กับน้องชายอายุ 10 ขวบอีก 1 คน

เธอเล่าว่า “มีคนมาเรียกบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาเยี่ยมบ้าน ย่าจึงไปเปิดประตูบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วคนร้ายก็ถามหนูว่า กินข้าวหรือยัง หนูตอบว่ากินแล้ว คนร้ายถามต่อว่า แล้วทำอะไรอยู่ หนูตอบว่า กำลังดูโทรทัศน์ คนร้ายก็ถามอีกว่า พ่อไปไหน หนูก็บอกว่า พ่อไประนอง จากนั้นคนร้ายกันหันกลับจะออกจากบ้านไป”

“แต่เมื่อย่าจะไปปิดประตู คนร้ายก็ดึงประตูไว้ แล้วพูดว่า มีทรัพย์สินอะไรเอาออกมาให้หมด แล้วก็ใช้ปืนยิงย่าจนล้มลง แล้วก็ผลักหนูกับน้องออกไป หนูก็วิ่งไปหลังบ้าน เห็นคนร้ายเข้าไปรื้อของในบ้านแล้วจุดไฟเผาบ้าน”

“จากนั้นมีคนร้ายก็ตามมาคนหนึ่ง หนูกับน้องจึงไปปล่อยหมาที่เลี้ยงไว้ 3 ตัว ให้ออกจากกรง ทั้ง 3 ตัวก็ไปรวมกัดคนร้ายคนนั้นจนเขาวิ่งหนีไป จากนั้นหนูกับน้องก็วิ่งที่บ้านเพื่อนที่เป็นมุสลิม อยู่ที่นั่นจนกระทั่งเที่ยงคืน จึงมีทหารมาช่วยนำตัวออกไป”

เธอพูดต่อว่า “อยากให้ช่วยหาชุดนักเรียนกับหนังสือให้หนูค่ะ เพราะถูกเผาหมดแล้ว”

แต่เมื่อถามว่า อยากกลับไปบ้านอีกไหม เธอได้แต่นิ่งเงียบ ขณะที่ชูรสิทธิ์ผู้เป็นพ่อ บอกว่า คงไม่กลับไปตอนนี้ รอให้เหตุการณ์สงบมากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยกลับไป

ชูรสิทธิ์ เล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่าทางบ้านจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เพียง 2 สัปดาห์ พี่สะใภ้ซึ่งอาศัยอยู่ที่ที่บ้านอีกหลังก็ถูกคนร้ายลอบยิงได้รับบาเจ็บมาแล้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สองที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน

“คิดว่าน่าจะเป็นการล้างแค้นขอบกลุ่มคนร้ายที่ไม่สามารถตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ได้ จึงหันมาทำร้ายชาวบ้านแทน” ชูรสิทธิ์ กล่าว

ส่วนอนาคตหลังจากนี้จะดำเนินไปอย่างไรนั้น ชูรสิทธิ์ยังให้คำตอบไม่ได้ “ยังไม่ได้คิดอะไรเลย รอจัดการงานศพให้เสร็จก่อน” แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ชูรสิทธิ์กับครอบครัว คงได้อาศัยศาลาวัดเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวไปก่อน

อย่างน้อยก็ไปจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2553 ซึ่งจะเป็นวันพิธีเผาศพทั้ง 4 ศพ โดยอีกศพหนึ่ง คือ นายชื่น จะถูกเคลื่อนจากวัดกำแพง ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านเดิมของนายชื่นมา ทำพิธีเผาศพร่วมกับอีก 3 ศพที่วัดบางนรา

ไม่นานวงสนทนาเล็กๆ ก็เริ่มสลาย เมื่อมีแขกทยอยมาร่วมงานศพกันมากขึ้น แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ยังไม่รู้ว่าหลังจากนี้ จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนต่างศาสนิกในหมู่บ้านเดียวกันได้อีกเมื่อไหร่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net