Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

สถานีรถไฟใต้ดินและรถไฟฟ้าบีทีเอส จะปรากฏหน่วยทหารติดอาวุธพร้อมรบประจำตามทางขึ้นลงมานานไม่น้อยกว่า 1 เดือนแล้ว เรื่องนี้อาจจะเป็นกระทำเพื่อรักษาความสงบจากสถานการณ์การก่อวินาศกรรมก่อนหน้านี้ การแถลงข่าวของพรรคเพื่อไทยที่บอกว่าจะมีการวางระเบิดตามสถานที่สาธารณะ เช่น สถานีรถไฟฟ้า หลังจากนั้น ศอฉ. ได้จัดทหารเข้าประจำพื้นที่ดังกล่าว แต่มีคำถามว่ามีความเหมาะสมและป้องกันได้จริงหรือไม่

จัดกำลังเพื่อแก้ไขหรือคุกคาม

ด้านการก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้ถูกตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่า เป็นการก่อวินาศกรรมเชื่อว่าจากทั้งเสื้อแดงฮาร์ดคอร์และทหารด้วยกัน มีข้อสังเกตว่า การก่อวินาศกรรมด้วยอาวุธสงครามอีกหลายครั้งอาจจะเป็นฝีมือวงศ์เทวัญ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการก่อวินาศกรรมจะเกิดจากฝ่าย การจัดกำลังในลักษณะปัจจุบันจะตอบโต้และควบคุมสถานการณ์ได้จริงหรือไม่ และผลกระทบที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงไร

ถ้าผู้ก่อวินาศกรรมจะวางระเบิดภายในสถานีรถใต้ดินและรถไฟฟ้า น่าจะแฝงตัวมา ถ้าพวกเขามุ่งไปที่ Soft Target เพื่อก่อความเสียหายและบั่นทอนรัฐบาลแล้ว เขาควรเลือกที่จุดขายตั๋ว ชานชาลา และพวกเขาคงไม่มุ่งโจมตีทหารพร้อมรบเหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมา ดังนั้น การจัดวางกำลังตามทางขึ้นลงจะไม่สามารถตอบโต้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ถ้าฝ่ายความมั่นคงตั้งใจควบคุมเหตุการณ์ควรเพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจตราบริเวณจุดที่ผู้ใช้บริการหนาแน่น และไม่จำเป็นต้องเป็นหน่วยรบติดอาวุธสงคราม

การจัดกำลังทหารพร้อมอาวุธกลับเป็นการสร้างบรรยากาศของสถานการณ์สงคราม เมื่อผู้คนพบเห็นทหารชุดเขียวพร้อมอาวุธสงคราม ยอมเกิดความหวั่นวิตกมากกว่าความมั่นใจ บรรยากาศที่เกิดขึ้นเป็นการคุกคามต่อคนในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการสภาพแวดล้อมแห่งความน่าสะพรึงกลัว

เมื่อจัดกำลังนี้ไม่ควรจะตรงกับสถานการณ์และมีผลสร้างความน่าหวาดกลัว จึงสามารถเข้าใจว่าฝ่ายทหารต้องการสร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม อาจจะเพื่อความชอบธรรมในการดำรงอำนาจแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพ ทำให้คนในสังคมศิโรราบกับอำนาจนอกระบบ ให้รวมถึงการข่มขวัญฝ่ายตรงทางการเมือง

นักท่องเที่ยวกับบรรยากาศสงคราม

ภาพสถานการณ์สงครามที่ฝ่ายทหารสร้างขึ้นย่อมทำให้มีความไม่เป็นมิตรกับคนต่างชาติเช่นกัน คนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตในเมืองไทยยาวนานยากจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากจะรู้สึกประเทศนี้อยู่ในสถานการณ์สงครามกลางเมือง เพราะกองกำลังทหารติดอาวุธประจำอยู่ในจุดต่างๆ

ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนักท่องเที่ยวอาจจะมีคำถามถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการสื่อสารอย่างรวดเร็วย่อมนำไปสู่ความสงสัยต่อความเป็นไปในประเทศไทยว่ามีความเสี่ยงต่อการเดินทางมาเที่ยวหรือไม่ด้วยเช่นกัน

ที่ผ่านมาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นปัจจัยสำคัญการตัดสินใจมาเที่ยวประเทศไทย เนื่องจากสถานทูตทุกประเทศต้องคำเตือนคนในประเทศตัวเองว่า ประเทศไทยมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งที่สถานการณ์ฉุกเฉินนี้ไม่ความน่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย เป็นเพียงการประกาศเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่ประกาศนี้ส่งผลต่อการตัดสินของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ในขณะที่กัวลาลัมเปอร์มีอัตราการเข้าพัก 70% แต่ภูเก็ตเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลกมีอัตราการเข้าพัก 30 - 40% ข้อความวุ่นวายทางการเมืองจบไปนานแล้ว แต่นักท่องเที่ยวยังไม่กระเตื้องขึ้น สาเหตุสำคัญย่อมมาจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

เมื่อมาประกอบการจัดกำลังทหารติดอาวุธสงครามยิ่งทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวโดยรวมเลวร้ายลงไปอีก เมื่อนักท่องเที่ยวต้องระวังกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ยังพบสภาพแวดล้อมจริงที่น่าสะพรึงกลัว แล้วจะมีผู้ใดประทับใจกับการเยือนประเทศไทย การคงกำลังทหารประจำจุดเหล่าจึงเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ให้เลวร้ายลงไปอีก

อภิสิทธิ์และประยุทธควรทำอะไร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. และพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ควรจะทำมากที่สุดในการรักษาความปลอดภัยและความอยู่รอดของประเทศไทย คือ

1. ถอนทหารทั้งหมดจากการรักษาการณ์ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถใต้ดิน ปรับกำลังรักษาความปลอดภัยให้เหมาะสม

2. ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อทำให้ทั่วโลกรับรู้ว่าประเทศไทยได้กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ

ถ้าผู้รับผิดชอบต่อชะตากรรมของประเทศทั้งคู่ตระหนักถึงการอยู่รอดของประเทศต้องทำเดี๋ยวนี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net