นักข่าวพลเมือง: ชาวบ้านคอนสารเดินขบวนทำความเข้าใจ “คดีโลกร้อน” เผยโดนฟ้องค่าปรับล้านกว่า

ชาวบ้าน อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ พร้อมด้วยสมาชิก คปอ.เดินรณรงค์ทำความเข้าใจกรณีการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ทับที่ทำกิน ทำชาวบ้านถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายโลกร้อนกว่าล้านบาท ด้านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ รับลงพื้นที่ตรวจสอบ-ฟังปัญหา พร้อมนายอำเภอ 3 ธ.ค.นี้

 
การเดินรณรงค์มีอุปกรณ์การให้จังหวะ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "กะลอ" เป็นไม้ไผ่เจาะช่องเล็กๆ เคาะแล้วจะเกิดเสียง โดยในบางหมู่บ้านใช้เพื่อการแจ้งเตือนภัย และเรียกประชุม 
 
 
"ป๊อกๆๆๆ เฮาเดือดฮ้อน...เพราะเฮ็ดอยู่เฮ็ดกินบ่ได้....พี่น้องเอ้ย"
 
หยุด ชาวบ้านไม่ยอมรับมติ ครม.30 มิ.ย.41
 
ทั้งเด็กและผู้สูงอายุร่วมเดินขบวน
 
 
เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2553 ชาวบ้าน ต.ทุ่งลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ได้เดินรณรงค์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับกรณีการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าผาผึ้งทับซ้อนกับที่ดินของเกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านที่ทำกินในพื้นที่ดังกล่าวถูกจับกุมดำเนินคดีพร้อมด้วยการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง ในข้อหาบุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครองพื้นที่ป่า เป็นเงินรวม 1,155,860.97 บาท จากผู้เดือดร้อน 8 ราย โดยการคำนวณค่าเสียหายดังกล่าว คิดจากปริมาณน้ำที่สูญหาย ค่าเสียหายจากดินที่สูญหาย และค่าเสียหายจากปุ๋ยในดินสูญหาย รวมทั้งค่าเสียหายจากอุณหภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้นด้วย
 
นอกจากนี้ยังมีชาวบ้าน 2 รายที่คดียังอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ และอีก 6 รายมีคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้ตัดต้นยางออกจากพื้นที่ภายใน 2 วัน หากไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป รวมทั้ง ผู้โดนคดีที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเครือข่ายฯ อีก 1 คน โดยตอนนี้ต้องโทษจำคุกนาน 6 เดือนเนื่องจากไม่มีเงินเพื่อชำระค่าปรับ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรณรงค์ในครั้งนี้ส่งผลให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าผาผึ้งรับที่จะเร่งลงตรวจสอบพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหา และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันกับกลุ่มชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 3 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยจะมีหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ และนายอำเภอมาร่วมรับฟังปัญหาพร้อมตรวจสอบพื้นที่พิพาท
 
 
 
color:#333333">แถลงการณ์
คืนอำนาจการจัดการทรัพยากรให้ชุมชน หยุดขับไล่คนจนด้วยกฎหมายไม่เป็นธรรม”
 
นับเป็นเวลากว่า 114 ปีที่ประเทศไทยได้กำเนิดหน่วยงานด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้ขึ้นมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2439 ที่ก่อตั้งกรมป่าไม้ กระทั่งปัจจุบันได้แบ่งส่วนบริหารออกเป็น 3 กรม ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า การจัดการทรัพยากรป่าไม้ ได้มุ่งรวมศูนย์อำนาจไว้ที่หน่วยงานรัฐโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้เกิดข้อพิพาทและความขัดแย้งกับประชาชนมาโดยตลอด โดยมีรูปธรรมของปัญหาคือ การประกาศเขตพื้นที่ป่าไม้ทับซ้อนกับที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมทั้งการอพยพขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ทำกินเดิมเพื่อกำหนดเขตป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายต่อไป
 
ปัจจุบัน ปัญหาดังกล่าวข้างต้นยังคงดำรงอยู่โดยทั่วไปในแทบทุกพื้นที่ของประเทศ ทั้งนี้เป็นเพราะแนวทาง นโยบายของรัฐไทยไม่เคยมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพัฒนาการและความเป็นจริงของสังคม หากยังมุ่งใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น รวมทั้งยังเพิ่มเงื่อนไขในการคุกคามประชาชนเพิ่มมากขึ้น ดังเช่น การฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง หรือ “คดีโลกร้อน” เช่นในปัจจุบัน
 
เครือข่ายองค์กรชาวบ้านเทือกเขาเพชรบูรณ์ คือกลุ่มชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและทรัพยากรในเขตภูมินิเวศน์เทือกเขาเพชรบูรณ์ มีความเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการจัดการทรัพยากรป่าไม้ โดยมุ่งเน้นสนับสนุนสิทธิและการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น หยุดคุกคามข่มขู่ดำเนินคดีกับประชาชนโดยใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อน หาใช่การกำหนดขึ้นมาจากผู้มีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นในอดีต หาไม่แล้วปัญหาความขัดแย้งจะยังคงดำรงอยู่และไม่สามารถสร้างความสันติสุขให้บังเกิดขึ้นได้ในสังคม
 
color:#333333">สมานฉันท์
color:#333333">เครือข่ายองค์กรชาวบ้านเทือกเขาเพชรบูรณ์
 
 
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท