Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
ชาตินิยมบ่มิสม
 
ทศวรรษ 1990 คือทศวรรษแห่งโลกาภิวัตน์ที่คนจำนวนมากเชื่อว่าโลกได้มาถึงขั้นตอนใหม่ที่ ไม่เหมือนเดิม พูดง่ายๆ คือองค์กรและจิตสำนึกแบบครอบโลกจะครอบงำจนพลังท้องถิ่นและจารีตประเพณีมี ความหมายเปลี่ยนจากที่เคยเป็นมา แต่จากนั้นก็เกิดการตอบโต้โลกาภิวัตน์หลายรูปแบบตั้งแต่อิสลามแบบมูลฐานนิยม จนถึงขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมแนวใหม่ข้ามชาติหลายลักษณะ
 
พลังของโลกาภิวัตน์มีแน่ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าท้องถิ่นและจารีตประเพณีดั้งเดิมจะปิดฉากไปอย่างรวดเร็ว
 
ใน ประเทศไทยเองก็เกิดปรากฎการณ์คล้ายกันนั่นคือทศวรรษ 2530 เป็นทศวรรษแห่งจินตการถึงการเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัยที่รวดเร็วและครอบ คลุมทุกปริมณฑลชนิดไม่เคยมีมาก่อน มีความคิดใหม่ๆ อย่างการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า การเปิดเสรีการเงิน ความโปร่งใส การปรับโครงสร้างองค์กรฯลฯ หรือโดยรวมคือความเชื่อว่าชาติหรือชาตินิยมจะไม่มีความหมายอีกต่อไป
 
คนอย่างชัยอนันต์หรือสนธิเป็นศาสดาของโลกานุวัตรในทศวรรษ 2530 แบบเดียวกับเป็นศาสดาของพันธมิตรในทศวรรษปัจจุบัน
 
อย่าง ไรก็ดี ทศวรรษ 2540 เป็นทศวรรษของการหักเลี้ยวของสังคมไทยสู่ความคิดแบบประเพณีนิยมและพลังท้อง ถิ่นในรูปการฟื้นชีพของชาตินิยมที่กลายเป็นกระแสการเมืองวัฒนธรรมสำคัญมาอีก นาน
 
คง ไม่ลืมว่าในปี 2544 ยุทธวิธีที่พรรคไทยรักไทยใช้โจมตีพรรคประชาธิปัตย์คือการกล่าวหาว่าขายชาติ จากกรณีไอเอ็มเอฟและบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ต่อมาพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้ข้อหาเดียวกันโจมตีทักษิณในกรณีเทมา เส็กจนนำไปสู่รัฐประหาร 2549 จากนั้นเขาพระวิหารก็กลายเป็นชนวนล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสองชุด ในปี 2551 เช่นเดียวกับการขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ในปี 2553 รวมทั้งการโหมโฆษณาความคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่มีใครจำได้แล้วในตอนนี้
 
การลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณบรรหารและพลเอกชวลิตก็เกี่ยวข้องกับประเด็นชาตินิยมด้วยเช่นเดียวกัน
 
ชาติ นิยมเป็นไพ่ซึ่งชนชั้นนำทุกฝ่ายใช้ปลุกระดมมวลชนต่อต้านฝ่ายตรงข้ามโดยตลอด ในช่วงปลายทศวรรษ 2540 ชาตินิยมไม่ได้เป็นแค่พลังในการล้มรัฐบาล แต่ยังเป็นฐานของการเปลี่ยนระบอบการเมืองถอยหลังไปสู่สภาวะประชาธิปไตยภาย ใต้อำนาจเหนือกฎหมาย และเมื่อถึงตอนนี้คือเป็นฐานของการก่อสงคราม
 
แต่ชาตินิยมเคยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายอะไรหรือไม่?
 
คำ ตอบคือมี แต่ในขอบเขตที่น้อยมาก ตัวอย่างแรกคือการตื่นตูมลัทธิชาตินิยมใหม่ในหมู่ปัญญาชนและเศรษฐีตกยากใน ช่วง 2540 ไม่มีพลังพอทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนเป็นชาตินิยมใหม่ตรงไหน คนยากจนส่วนใหญ่ไม่สนใจความทุกข์ของเศรษฐีพอๆ กับที่ผู้มั่งมีเหล่านี้ก็ไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนเศรษฐกิจสังคมอย่างจริงจัง
 
ชาติ นิยมใหม่เป็นคำขวัญกลวงๆ เพื่อปลอบประโลมใจคนไทยที่ล้มเหลวในโลกยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มี ใครผูกพันกับชาติแบบเดิมอีกต่อไป จึงมีคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงสู่ชาตินิยมใหม่น้อยมากเมื่อเทียบกับพวก ที่ต้องการชาติเพื่อปกป้องสถานะบางอย่างของตัวเอง
 
คำ โจมตีของไทยรักไทยต่อประชาธิปัตย์เดินไปอีหรอบเดียวกัน นั่นคือการขายชาติเมื่อยกประเทศให้ไอเอ็มเอฟของฝ่ายหลังถูกแทนที่ด้วย มาตรการดึงดูดอภิมหาเศรษฐีข้ามโลกผ่านตลาดทุนหรือการค้าของฝ่ายแรก คำอธิบายเรื่องนี้ใช้ได้กับเศรษฐกิจพอเพียงด้วยเพราะรัฐบาลที่พูดเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงมากที่สุดกลับหมกมุ่นกับการลงนามในเขตการค้าเสรีมากที่สุด เหมือนกัน
 
ชาตินิยมมุขแป้ก?
 
คน ในทศวรรษ 2550 ตื่นเต้นกับสถานการณ์ไทยเขมรเพราะหลายคนไม่รู้หรือจำไม่ได้ว่าความขัดแย้ง ตามแนวชายแดนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เฉพาะที่ลุกลามถึงขั้นเป็นสงครามเต็มรูปแบบนั้นก็มีสงครามร่มเกล้าเมื่อสอง ทศวรรษก่อนซึ่งปลุกพลังชาตินิยมได้กว้างขวางจริงๆ ขณะที่พันธมิตรรอบนี้มุขแป้ก ซ้ำความพยายามสร้างสถานการณ์หลายอย่างทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็น ก็ไม่ได้ผลมากอย่างที่ควรจะเป็น
 
ม็อบพันธมิตรรอบนี้กวาดทีมงานพันธมิตรตกเวทีประวัติศาสตร์หลังจากกวาดพรรคการเมืองใหม่ไปแล้วอย่างไม่ผิดความคาดหมายของใครหลายคน
 
ปรากฎการณ์พันธมิตรมุขแป้กและกระแสการโจมตีว่า คลั่งชาติ เป็นเรื่องที่ทั้งสำคัญและน่าสนใจ เพราะน้อยครั้งมากที่จะเกิดขบวนการมวลชนที่หยิบยืมวาทกรรมแบบซ้ายๆ อย่าง ล้าหลังคลั่งชาติ ไปโจมตีมวลชนอีกฝ่ายอย่างกว้างขวางในลักษณะนี้
 
ครั้งสุดท้ายของการพูดถึงชาติในแง่ลบขนาดนี้คือเมื่อไร? 2518-2519 ในยุคสมัยที่คนมีความเชื่อเรื่องสากลนิยมของคอมมูนิสม์และสังคมนิยม?
 
วาท กรรมคลั่งชาติเกิดใหม่อย่างย้อนแย้งในบริบทที่ชาตินิยมครอบงำสังคมไทยระดับ ใช้ล้มใครก็ชนะต่อเนื่องมากว่าสิบปี นี่ไม่ใช่เพราะความคิดใหม่มีอิทธิพลกว่าชาตินิยม แต่เพราะการเมืองภายในของไทยทำให้ยุคของการคิดเรื่องชาติที่เป็นเอกภาพเป็น อดีตที่ไม่มีวันเหมือนเดิม
 
การ ปลุกระดมสงครามและวาทกรรมคลั่งชาติเป็นผลจากการต่อสู้ทางการเมืองภายใน ประเทศที่ลุกลามจนคนมีความเห็นแตกต่างกันเรื่องระหว่างประเทศ ท่าทีของคนต่างกลุ่มต่อสงครามสัมพันธ์กับว่าสงครามทำโดยฝ่ายไหนมากกว่าจะ เป็นทัศนวิสัยต่อสงครามจริงๆ เรื่องแบบนี้มีไม่บ่อย ยิ่งความเห็นต่างในเวลาสงครามนั้นยิ่งมีน้อยแสนน้อย
 
สงครามร่มเกล้าเกิดขึ้นโดยไม่มีใครค้านสักแอะ บทบาทของไทยทั้งลับและเปิดเผยในอินโดจีนนั้นไม่มีใครตั้งคำถามแม้จนวันนี้
 
สังคม ไทยจินตนาการเรื่องชาติไม่เหมือนเดิม แต่ที่สำคัญกว่าคือจินตนาการนี้เป็นอาการแห่งการสั่นคลอนของความคิดความ เชื่อที่เป็นฐานของความเป็นชาติ / ชาตินิยม
 
ชาติ นิยมในฐานะอุดมการณ์ทำงานบนความคิดความเชื่อหลายอย่าง แต่ละสังคมมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ฮั่นนิยมสำคัญต่อชาตินิยมจีน เผ่าเป็นฐานของชาตินิยมตุรกี ศาสนาสำคัญกับชาตินิยมบางที่แต่ไม่สำคัญเลยกับที่อื่นๆ ขณะที่ชาตินิยมไทยพูดถึงสามสถาบันหลักซึ่งในที่สุดแล้วมีสถาบันเดียวเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
 
วาทกรรมคลั่งชาติในระยะไกลเป็นอาการว่าหมุดหมายซึ่งผูกโยงความเป็นชาติไม่มีประสิทธิภาพแบบที่เคยเป็นมา
 
ทุก วันนี้มีคนพูดกันมากขึ้นเรื่องสังคมไทยเปลี่ยนไป คนอยู่กันด้วยความเกลียดชังมากขึ้น ฯลฯ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมจริงๆ คือวิธีคิดที่คนมีต่อสถาบันต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับตัวสถาบัน
 
ปีศาจ แห่งประวัติศาสตร์นิพนธ์ 2535 ปลุกความตายและการสูญเสียในปี 2553 ให้ออกลูกเป็นการรื้อฟื้น 2519 หรือย้อนไปไกลกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ทั้งเห็นและไม่เห็นในทุกพื้นที่คือปฏิกริยาตอบโต้การยก ระดับความรุนแรงจากรัฐประหารเป็นการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วย เหตุผลหลุดโลกสู่การสลายการชุมนุม การปราบปราม และการปกครองประเทศด้วยกฎหมายพิเศษเป็นเวลากว่าครึ่งปี
 
ฟัง ดูเหมือนชาตินิยมสั่นคลอนเพราะคนรับไม่ได้กับความโหดเหี้ยมที่ชนชั้นนำกระทำ ต่อคนมือเปล่า ข่าวร้ายคือสังคมไทยไม่ได้รักสันติและเกลียดความรุนแรงขนาดนั้น เพราะในปี 2547 เมื่อรัฐบาลทักษิณใช้ทหารสลายการชุมนุมของคนมลายูมุสลิมที่ตากใบจนมีคนตาย ขณะถูกจับกุม 85 ราย คะแนนนิยมรัฐบาลกลับเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ถึงขั้นไม่วิจารณ์กรณีนี้อีกนาน
 
ความตายของมลายูมุสลิมทำให้กระแสชาตินิยมไทยเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่อ่อนแองลง
 
การ ฆ่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับชาตินิยมไทย คนไทยไม่เคยมีปัญหากับการฆ่าคนด้วยกันที่แตกต่างทางศีลธรรม ศาสนา หรือเชื้อชาติ การประหารชีวิตและการประชาทัณฑ์เป็นวัฒนธรรมของประเทศนี้พอๆ กับการใช้กำลังสลายการชุมนุม แต่การฆ่าปี 2553 สร้างปัญหาเพราะไปฆ่าคนซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นพี่น้องร่วมอุดมการ เดียวกันโดยไม่มีใครเรียกร้องให้รัฐหยุดใช้กำลังแม้แต่ครั้งเดียว
 
การ เมืองภายในทำให้เราเข้าสู่ยุคที่การใช้ชาติเป็นเครื่องมือในการปกครองทำได้ ไม่มากและไม่ง่าย รัฐประหาร 2549 และกระบวนการหลังจากนั้นประสบความสำเร็จในการบ่อนเซาะฐานของความเป็นชาติ มากกว่าขบวนการต้านระบบใดๆ เคยทำมา
 
นี่ ไม่ได้เท่ากับว่าความเป็นชาติหรือชาตินิยมจะหมดสภาพ แต่ยาขนานเก่าปลุกใครไม่ได้เท่าเดิม ซ้ำหากเพิ่มปริมาณก็อาจเป็นเหตุให้ผู้ใช้หมดสติ หรือสังคมดื้อยาเป็นการถาวร
 
ชาตินิยมสู่อนาคต
 
ชาติ นิยมไม่ได้มีสูตรเดียว ชาตินิยมเป็นฐานของภราดรภาพได้พอๆ กับการกดขี่มนุษย์ ชาตินิยมสำคัญต่อการเรียกร้องเอกราชและประชาธิปไตยเท่ากับที่สำคัญต่อกลุ่ม คลั่งศาสนา ฟัสซิสต์ เผด็จการทหาร หรือกษัตริย์นิยม ปัญหาจึงมีอยู่ที่จะสร้างชาตินิยมบนความเป็นชาติที่มีความหมายกับคนส่วนใหญ่ ได้อย่างไร?
 
ชาติควรมีความหมายตายตัวหรือไม่? การ คิดถึงชาติที่ยึดโยงกับคุณสมบัติบางอย่างที่เปลี่ยนไม่ได้นั้นเป็นต้นตอของ การกดขี่ ความรุนแรง และสงครามหลายกรณี ชาติไม่ควรถูกนิยามอย่างแคบๆ ว่าหมายถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เผ่า ลัทธิ ศาสนา วัฒนธรรม หรือสถาบันประเพณีแบบใดแบบหนึ่ง เพราะเมื่อไรที่เริ่มนิยามแบบนี้ก็เท่ากับเปิดช่องให้ชาติฆ่าคนที่มีอัต ลักษณ์ผิดจากนิยามนี้ได้ทันที
 
ความ เป็นชาติคือการคิดถึงประโยชน์ร่วมของทุกคนและทุกกลุ่มในชุมชนชาติทั้งหมด นั่นหมายถึงชาติต้องเปิดกว้างและวางอยู่บนการเจรจาต่อรองของทุกชนชั้น ทุกค่านิยม ทุกอัตลักษณ์ และทุกแหล่งอำนาจในสังคม ชาติไม่ใช่การสืบทอดมรดกจากอดีต แต่ชาติเป็นเรื่องของปัจจุบันและอนาคต ความขัดแย้งและความเกลียดชังจึงเป็นฐานของความเป็นชาติเท่ากับการอยู่ร่วม และการต่อรองซึ่งกันและกัน
 
ประเด็น สำคัญคือต้องไม่อนุญาติให้คนกลุ่มไหนหรือสถาบันใดอ้างว่าตัวเองคือตัวแทนของ ความเป็นชาติทั้งหมด เสรีภาพและประชาธิปไตยจึงสำคัญต่องความเป็นชาติ ไม่ใช่อำนาจนิยมหรือการครอบงำความคิดจิตใจ
 
ชาติ นิยมในสังคมไทยผูกพันกับราชาธิปไตย ประเด็นคือราชาธิปไตยเป็นการปกครองที่เป็นอดึตไปแล้วแต่กลับทิ้งอุดมการและ ผู้นิยมความคิดนี้ครอบงำความเป็นชาติจนปัจจุบัน ในแง่นี้ปัญหาอันเนื่องจากความเป็นชาติหลายอย่างจึงเป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิด แต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดเพราะมรดกชาตินิยมสมัยราชาธิปไตย
 
ทุก วันนี้คนมีสติทุกคนก็รู้ว่าความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านอย่างเขมรส่วนหนึ่งเกิด ขึ้นเพราะวิธีจดจำผ่านเรื่องเล่าที่กดเขมรและเจ้าเขมรเป็นเบี้ยล่างไทยไม่ รู้จบ ประวัติศาสตร์ราชสำนักวาดภาพเขมรเป็นชาติเจ้าเล่ห์ คบไม่ได้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของไทย เขมรไม่ใช่ลูกหลานของขอมที่สร้างนครวัด ฯลฯ รวมทั้งดูถูกว่าเป็นเมืองขึ้นฝรั่งจนเทียบไม่ได้กับไทยที่เป็นเอกราชหลาย ร้อยปี
 
โรคละเมอ ว่าพระวิหารเป็นของไทยเป็นผลของการสะกดจิตตัวเองด้วยคาถาประวัติศาสตร์แบบ นี้จนอย่างไรก็ยอมรับการสูญเสียพระวิหารตามกติกากฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ ปมเสียดินแดนแบบนี้เข้าใจได้และเคยเกิดขึ้นสมัย ร.ศ.112 แต่ไม่ควรเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งในยุคสมัยของเรา
 
แน่ นอนว่าปัจจัยภายในเขมรเกี่ยวแน่กับสถานการณ์นี้ ผู้นำเขมรเป็นนักชาตินิยมที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองในเรื่องพระวิหารไม่ ต่างกับไทย และการจงใจให้ความสำคัญกับข้อพิพาทเขตแดนกับไทยมากกว่าข้อพิพาทเรื่องเดียว กันกับเวียดนามก็เป็นผลของการเมืองภายในเขมรเองจนเห็นได้ชัด แต่นี่ไม่ได้แปลว่าไทยไม่ใช่ส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหาในเวลานี้
 
หนึ่ง ในเรื่องที่ต้องทำเพื่อหยุดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นคือเลิกคิดถึงความเป็น ชาติใต้กรอบราชาธิปไตย สลัดปมเสียดินแดนในอดีตแล้วแทนที่ด้วยคิดถึงการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านตาม กติกาอารยประเทศ หยุดได้แล้วกับการเขียนประวัติศาสตร์โดยโลกทัศน์ศตวรรษที่แล้วของชนชั้นนำ ไม่กี่คน
 
มี วิธีเขียนประวัติศาสตร์หรือวิสัยทัศน์สู่อนาคตเยอะแยะให้เลือกทำได้ เขียนถึงความเจ็บปวดที่เราและเขาเผชิญจากระบอบอาณานิคมในอดีต เขียนถึงอนาคตของการพัฒนาภูมิภาคร่วมกัน ขอโทษในเรื่องที่ควรขอโทษอย่างเขมรแดงและสงครามอินโดจีน คิดถึงความร่วมมือทางการศึกษาและวัฒนธรรมที่ทั้งรัฐบาลสองฝ่ายทำร่วมกันหลาย ปีก่อนจะที่ถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องเหลวไหลอย่างปมอดีตของชนชั้นนำกับความ ต้องการสร้างสถานการณ์การเมืองแบบปี 2549 โดยคนกลุ่มเดิมที่มีปริมาณลดลง
 
ทั้ง หมดนี้ฟังเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นไปได้ถ้าเข้าใจว่าชาตินิยมกับราชาธิปไตยไม่ใช่ผัวเมียที่ต้องอยู่ กันไปไม่รู้จบ การแต่งงานแบบนี้เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่ถึงเวลาก็เลิกกันได้
 
กระบวน การสร้างความเป็นชาติหมายถึงการสร้างความเหมือนเพื่อยึดโยงคนทั้งหมด อัตลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องมีแบบเดียวและไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งในสถานการณ์ที่ตัวเชื่อมเดิมทำหน้าที่ไม่ได้ ยิ่งจำเป็นต้องคิดถึงอัตลักษณ์ใหม่อีกทวีคูณ หาไม่ก็ไม่มีโอกาสเห็นชาติในฐานะเครื่องมือปกครองอีกเลย
 
วาท กรรมคลั่งชาติเป็นสัญลักษณ์ว่าสังคมไทยกำลังออกเดินสู่เส้นทางของการคิดถึง ชาติอีกแบบ โอกาสในการสร้างชาติที่คนอยู่ร่วมกันบนความคิดเรื่องภราดรภาพ รัฐธรรมนูญ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย มีมากพอๆ กับชาติใหม่ที่เป็นชาตินิยมคลั่งเชื้อชาติเหมือนอย่างที่เป็นมา
 
อิสรภาพจากอดีตคือประตูสู่อนาคตที่สมควรเป็นของทุกคน
 
หมายเหตุ: บทความนี้ปรับปรุงจากคำอภิปรายเรื่อง ชาตินิยมสู่อนาคต?” ในการสัมมนาหัวข้อ ประชาธิปไตยบนขอบพรมแดนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 โดยสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net