Skip to main content
sharethis

วันนี้ (29 เม.ย.54) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ TDRI ได้จัดสัมมนาเรื่องระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งเป็นสวัสดิการที่มีค่าใช้จ่ายที่สูง ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาเกิดจากการที่ค่าใช้จ่ายของสวัสดิการรักษาพยาบาลเป็นงบปลายเปิด คือ เบิกเท่าไร ก็สั่งจ่ายเท่านั้น กรมบัญชีกลางซึ่งดูแลเรื่องนี้ ก็ไม่มีเครื่องมือในการควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้ทั้งผู้ป่วยและหมอขาดแรงจูงใจที่จะใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องผู้ป่วยนอก เป็นปัญหามาก ในปี 2550 ค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นถึง 40% เป้าหมายของการวิจัยจึงเป็นเรื่องว่า เราจะสร้างระบบอย่างไรให้มีการใช้เงินที่มีประสิทธิภาพขึ้นในขณะเดียวกัน สุขภาพของข้าราชการก็ไม่ได้แย่ลง

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ข้าราชการส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างปัญหา แต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่มีการใช้จ่ายที่สูง เช่น ปี 2553 ข้าราชการที่มีการใช้จ่ายสูงที่สุด 1% ของผู้ป่วยทั้งหมด ใช้เงินถึง 20% ของค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอก หรือเฉลี่ยคนละ 3 แสนบาทสำหรับผู้ป่วยนอกอย่างเดียว ยังไม่รวมผู้ป่วยใน การเจ็บป่วยของคนกลุ่มหนึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่การใช้จ่ายนั้นต้องหาทางทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าเงินที่จ่ายออกไปเป็นเงิน ของตน เพื่อให้การตัดสินใจใช้จ่ายมีประสิทธิภาพขึ้น ถ้าเป็นเงินจากกระเป๋ารัฐอย่างเดียวก็อาจจะไม่ต้องคิดมากอะไรในการจ่ายแต่ละ ครั้ง ถ้ามีการสร้างระบบที่ดี ผู้ป่วยควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใช้เงินเพื่อสุขภาพของตนมากกว่านี้

นพ.สุวิทย์ วิบูลย์ผลประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เราน่าจะกำหนดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของข้าราชการให้เป็นสัดส่วนกับงบเงิน เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเติบโตอย่างไม่จำกัด การที่จะมาจำกัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวอาจจะไม่เหมาะสม

รศ.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความท้าทายที่สำคัญในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการคือค่าใช้จ่ายที่ เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว กรมบัญชีกลางจะมีการศึกษาวิจัยและกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่ยังมีโอกาสพัฒนาในด้านอื่นๆ ของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการอีกเหตุผลหนึ่ง เนื่องจากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการเป็นระบบที่มุ่งเน้นการให้ สวัสดิการด้านรักษาพยาบาลเป็นหลัก ยังไม่ได้นำแนวคิดของการจัดการสุขภาพที่มีความเป็นองค์รวมเพื่อการดูแล สุขภาพระยะยาวเข้ามาบูรณาการด้วย แนวคิดดังกล่าวน่าจะทำให้ข้าราชการและครอบครัวได้รับการดูแลสุขภาพอย่างครบ ถ้วนมากขึ้น ส่งเสริมคุณภาพ และทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงได้จากการป้องกันความเจ็บป่วยหรือภาวะแทรกซ้อนของโรค ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ต่อเนื่องและได้รับการส่งเสริมให้มีศักยภาพในการ ดูแลตนเองมากขึ้น

จากการศึกษานำร่องโดยการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการร่วมกับการติดตามศึกษาข้อมูลการ รักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิสวัสดิการรรักษาพยาบาลข้าราชการกลุ่มตัวอย่างที่ เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังอันได้แก่ กลุ่มโรคเบาหวาน และกลุ่มโรคความดันโลหิตสูง พบว่า ผู้ป่วยจำนวนประมาณ 1 ใน 4 มีการไปใช้บริการที่โรงพยาบาลหลายแห่ง ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มที่เจ็บป่วยมากกว่าและมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า การทบทวนข้อมูลการรักษาทำให้เห็นว่าผู้ป่วยในกลุ่มโรคเรื้อรังดังกล่าว ประมาณร้อยละ 13–24 ยังไม่ได้รับการดูแลที่ต่อเนื่อง และร้อยละ 15-50 ยังไม่ได้รับการดูแลครบถ้วนตามแนวทางเวชปฏิบัติแล้วแต่กรณี นอกจากนี้กว่าร้อยละ 80 ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้รับการสร้างเสริมสุขภาพที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถ ดูแลสุขภาพตนเองได้ ข้อมูลดังกล่าวพบร่วมกับการที่อัตราการรับผู้ป่วยกลุ่มโรคเรื้อรังทั้ง สองกลุ่มเข้ารักษาในโรงพยาบาลของกลุ่มผู้ป่วยสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สูงกว่าตัวเลขของประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉลี่ยกว่า 3-4 เท่า

โดยหลักทฤษฏีแล้ว หากผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องครบถ้วน และมีความสามารถในการดูแลสุขภาพตนเองอย่างเพียงพอ ความเจ็บป่วยถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลน่าจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง ได้ กล่าวคือมีผลดีทั้งทำให้คุณภาพบริการและสุขภาพของกลุ่มผู้ป่วยดีขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่าย คณะผู้วิจัยจึงเสนอให้กรมบัญชีกลางนำแนวทางการจัดการผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือ ที่เรียกว่า Chronic Disease Management มาประยุกต์ใช้ในการจัดการบริการสุขภาพให้กับผู้มีสิทธิในระบบสวัสดิการรักษา พยาบาลของข้าราชการ เทคนิคการจัดการผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งมีการนำมาใช้แล้วในระบบหลักประกันสุขภาพในหลายประเทศ มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังมีผู้ให้บริการสุขภาพประจำตัว ได้รับการดูแลสุขภาพภายใต้การจัดการเชิงระบบ ให้เกิดความต่อเนื่อง ครบถ้วน และให้มีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่มุ่งสร้างเสริมความสามารถในการดูแลสุขภาพ ตนเองของผู้ป่วย เพื่อควบคุมโรคให้ได้ อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการดูแลสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ดังกล่าว ซึ่งหากมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิผล น่าจะสามารถลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรครวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net