Skip to main content
sharethis

ประชุมครม. นัดสุดท้าย รอบแรก-บ่าย อนุมัติกรอบวงเงินให้ 6 หน่วยงานดำเนินการเกือบหมื่นล้าน ยังประชุมรอบค่ำอีกร้อยกว่าวาระ ด้านกอ.รมน.สรุปผลงาน 6 เดือนเสนอ“มาร์ค” แจงจับวิทยุชุมชนเหตุผิด ม.116 ยุยงให้ปั่นป่วน ได้งบ293 ล้าน เป็นค่าตอบแทนกองกำลังเพื่อไทยชี้ รมต.ผลาญงบเทกระจาด สั่งใช้เงินหลวงซื้อสื่อโปรโมตตัวเอง 3 พ.ค.54 เวลา 17.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รอบแรก นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าในรอบแรก ครม. ได้พิจารณาเรื่องในระเบียบวาระแล้วเสร็จ 96 เรื่อง จากวาระทั้งหมด 127 เรื่อง เบื้องต้นมีสาระสำคัญได้แก่ ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 (งบกลาง) จำนวน 123 ล้านบาท ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อดำเนินการในโครงการกรุงเทพเมืองปลอดภัยห่างไกลอาชญากรรม ครม.อนุมัติกรอบวงเงินจำนวน 1,641 ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดำเนินในโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเกษตรกร และเกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกิน ทั้งนี้ ในรายละเอียดงบประมาณได้ให้กระทรวงเกษตรไปหารือกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง ครม.เห็นชอบในหลักการที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอโครงการพัฒนาธุรกิจทางอิเล็คโทรนิค ปี 2555 วงเงิน 258 ล้านบาท ครม.อนุมติโครงการผลิตทรัพยากรบุคคลตามโครงการตามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ปี 2555 -2564 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งเบื้องต้นได้วางกรอบงบประมาณไว้ที่ 1.07 ล้านบาท ทั้งนี้ ถือว่าเป็นแผนงานระยะยาว ดังนั้น ก่อนการเสนอของบประมาณ ต้องหารือกับสำนักงบฯก่อนที่จะเสนอเข้าครม.ต่อไป ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอของบประมาณเช่ารถยนต์ เพื่อใช้ในราชการในกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จำนวน 152 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบก่อหนี้ผูกพัน ประจำปีงบประมาณ 2554-2557 สำหรับรายละเอียดเบื่องต้นจะเช่ารถจำนวน 235 คัน แบ่งเป็น รถบรรทุกดีเซลขนาดบรรทุก 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ และรถประจำตำแหน่งอธิบดีและรองอธิบดี ครม.อนุมติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้พิจารณาขยายระยะเวลาการส่งมอบงานของผู้ประกอบการก่อสร้าง ที่ดำเนินในโครงการของหน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจหลังจากที่ประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงวันที่ 10 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2553 เบื้องต้นได้กำหนดหลักเกณ์ว่าต้องเป็นผู้ประกอบการที่ได้มีการลงนามในสัญญาจ้างกับหน่วยงานแล้ว และได้เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการเชียงใหม่นครที่เป็นที่สุดแห่งความสง่างามทางวัฒนธรรม เพื่อเฉลิมฉลองให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เบื้องต้นไม่มีการของบประมาณเพื่อดำเนินการ ซึ่งทาง ครม. ได้เสนอแนะให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมบูรณาการการทำงาน อาทิ หน่วยงานรัฐ, หน่วยงานเอกชน และปราชญ์ชาวบ้าน ครม. เห็นชอบในหลักการของกรอบการลงทุนพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้พิจารณา เบื้องต้นเห็นชอบให้รฟท.ใช้เงินจากการกู้ ที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนซื้อรถจักรและล้อเลื่อน โดยแบ่งเป็น การจัดหาโบกี้รถไฟใหม่ จำนวน 115 คัน เพื่อทดแทนการจัดซื้อรถใหม่ทั้งคัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 4.9 พันล้านบาท จัดซื้อเครื่องจักรและอะหลั่ย จำนวน 50 คัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท และซื้อหัวรถจักรดีเซล 56 หัว มูลค่า 3 พันล้านบาท สำหรับเรื่องที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสนอโครงการสร้างพิพิธภัณฑ์พระราม 9 มูลค่า 1,800 ล้านบาทนั้น ครม. ได้อนุมัติให้ดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวโรกาสปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 84 พรรษา นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบตามทีโออาร์ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเรื่องขยายเวลาส่งคืนหมีแพนด้ายักษ์หลินปิง ออกไปอีก 2 ปี กอ.รมน.สรุปผลงาน 6 เดือน ไม่หวั่นถูกลดงบ ปี 55 ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.รมน. เป็นประธานในการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานรอบ 6 เดือนของกองอำนวนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตามแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรปี 2553-2554 โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการกอ.รมน. แถลงผลการประชุมกอ.รมน.ว่า เป็นการสรุปผลงานรอบ 6 เดือนของกอ.รมน. ในส่วนงานที่ กอ.รมน.ดูแล เช่น ยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหลังจากสรุปผลงาน นายกรัฐมนตรีรู้สึกพอใจที่ กอ.รมน.ได้ทำงานขึ้นมากตามลำดับ พล.อ.ดาวพงษ์ กล่าวถึง เรื่องบประมาณ ว่า งบของ กอ.รมน.จริงๆที่ได้รับในปี 2555 ที่ขณะนี้ยังไม่ตกผลึก เราได้รับน้อยกว่าปี 2554 ที่ได้ซึ่งงบประมาณที่เตรียมไว้ทำอะไรเกี่ยวกับงานยุทธศาสตร์ได้น้อยตามที่ได้เตรียมไว้ แต่ไม่เป็นไรเราใช้วิธีการประสานงานกับส่วนราชการ ซึ่งตอนท้ายการประชุมนายกฯสรุปว่า ความสำคัญของกอ.รมน.คือ การประสานงานและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ทางกอ.รมน.ส่วนกลางต้องประสานกับกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่างๆ ซึ่งถือเป็นปัจจัยของความสำเร็จ และตรงกับที่ทางกอ.รมนงพยายามดำเนินการอยู่ หากเราประสานงานกันได้ดีงบประมาณต่างๆ ก็ไม่ต้องใช้มาก จากงบปี 2554 ที่ได้จำนวน 7,500 กว่าล้านบาท ส่วนงบประมาณปี 2555 ได้จำนวน 6,943 ล้านบาทแบ่งเป็นงบการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6,164 ล้านบาท และงบความมั่นคงของรัฐ 778 ล้านบาท ซึ่งในงบความมั่นคงของรัฐ แบ่งเป็นงบกำลังพล 337 ล้านบาท และงบสำหรับขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์เพียง 440 ล้านบาท พล.อ.ดาวพงษ์ กล่าวว่า ในที่ประชุมไม่ได้กล่าวเฉพาะเจาะจงถึงเรื่องความมั่นคงภายในกรณีที่มีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ซึ่งกอ.รมน.มีส่วนเดียวคือ การจัดตั้ง ศอ.รส.และมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมดูแลสถานการณ์ แต่ไม่ได้ลงลึกไปว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมกี่สี กี่กลุ่ม และสถานการณ์เป็นอย่างไร เพียงแต่มีการสรุปสถานการณ์ภัยคุกคาม เช่นภัยยาเสพติดว่า มีความรุนแรงแค่ไหน ส่วนกรณีที่กอ.รมน.ถูกฝ่ายการเมืองโจมตีว่านำทหารเข้าไปในพื้นที่ เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งนั้น สิ่งที่ตนคิดคือ ต้องทำความเข้าใจกับสื่อฯ หากสื่อเข้าใจบทบาทของ กอ.รมน. ตนก็จะไม่ถูกโจมตี แต่ถ้าเข้าใจผิดตนก็ถูกโจมตี ตนมีตำแหน่งเป็นเสนาธิการทหารบก เป็นเลขาธิการกอ.รมน.อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสายงานของตน ก็ต้องทำเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนใครจะมองอย่างไรหรือเข้าใจผิด ถ้ามีโอกาสตนจะไปทำความเข้าใจส่วนการดูแลการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รัฐบาลยังไม่ได้สั่งการ กอ.รมน.เป็นพิเศษในเรื่องนี้ และศูนย์ปฏิบัติงานทั้ง 6 ศูนย์ของ กอ.รมน.ก็ไม่มีหน้าที่ดูแลการเลือกตั้ง ทั้งนี้ยังเห็นรายงานว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะมีการยิงกันเป็นเรื่องธรรมดาแต่เรื่องใหญ่ๆ คงไม่มี เมื่อถามถึงกรณีที่กอ.รมน.แจ้งจับวิทยุชุมนุมที่ผิดกฎหมายจำนวน 13 สถานี พล.อ.ดาวพงษ์ กล่าวว่า ความจริงที่ถูกจับส่วนใหญ่มีความผิดตาม มาตรา 116 คือ ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก ความสามัคคี ไม่ใช่ความผิด มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบัน ซึ่งการจับกุม 13 สถานีวิทยุชุมนุมเราเอา พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงเป็นตัวนำในการจับกุม และมาขยายผลเอาผิดโทษทางอาญาตามหลัง ทำให้ดูเหมือนเป็นสองมาตรฐาน เพราะมีอีกหลายคลื่นที่ทำผิดพ.ร.บ.กระจายเสียง ซึ่งขณะนี้มีอยู่อีกจำนวน 800 กว่าสถานีที่กระทำผิด พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียง ซึ่งทางคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ไม่ใช่ว่าตนจะมาไล่จับเสื้อแดง เสื้อเขียว อย่างเดียว ตนมองอะไรที่กระทบต่อความมั่นคง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลสรุปการปฏิบัติงานที่สำคัญมี 3 ด้าน คือ 1.ด้านการติดตามตรวจสอบและประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ โดยได้จัดทำโครงการเครือข่ายสายด่วนความมั่นคง 1374 ซึ่งเป็นงานตามแผนขับเคลื่อนงานด้านมวลชน กอ.รมน. โดยรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและมีจิตสำนึกด้านความมั่นคง และทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยคุกคามด้านต่างๆ โดยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัยความมั่นคงต่างๆเบอร์เดียวทั้งประเทศ 2.ด้านการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์ไว้ซึ่งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ โดยจัดชุดวิทยากรเสริมสร้างความเข้าใจสนับสนุนการดำเนินงานพิทักษ์ปกป้องและเทิดทูนสถาบัน รวมทั้งแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 1-4 จำนวน 100 ชุด นอกจากนี้ กอ.รมน.ยังร่วมกับกองทัพบก ร่วมรณรงค์สร้างกระแสความรักชาติและความจงรักภักดี โดยใช้ดนตรีเป็นสื่อสนับสนุน กอ.รมน.ภาคในการพิทักษ์ปกป้องและเทิดทูนสถาบัน รวมทั้งการให้เครือข่ายวิทยุชุมชนเพื่อความมั่นคง กอ.รมน.จำนวน 700 สถานีออกอากาศผ่านระบบอินเตอร์เน็ตพร้อมกันทั้งเครือข่าย วันละ 3 เวลา โดยเน้นเรื่องพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยให้นักจัดรายการสอดแทรกเรื่องของความรักชาติและความจงรักภักดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 3.ด้านการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องและแก้ไขปัญหาต่างๆที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความสงบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งได้มีการจัดตั้งกลไกในการขับเคลื่อนมวลชนของทุกหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดกรอบทิศทางการอำนวยการและการขับเคลื่อนงานด้านมวลชนในภาพรวมของประเทศ รวมทั้งมีการฟื้นฟูมวลชนไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.)และมวลชนกลุ่มอื่นๆในทุกคโครงการของ กอ.รมน.โดยเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการพิทักษ์ปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นความเร่งด่วนลำดับแรก โดยในปี 2554 ได้ทำการฝึกอบรมและจัดตั้งมวลชนไทยอาสาป้องกันชาติในพื้นที่ กอ.รมน.จังหวัดรวม 26 จังหวัด จำนวน 30 รุ่น รุ่นละ 200 คน รวม 6,000 คน กอ.รมน.รับเละ 293 ล้าน ครม.ไฟเขียวค่าตอบแทนกองกำลัง นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ครม.อนุมัติในหลักการตามที่ กอ.รมน.ขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 (งบกลาง) รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 293,610,318 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนเพิ่มเติมให้กับกองกำลังของ กอ.รมน. ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2553 - 30 กันยายน 2554 โดย ครม.ให้ใช้เงินของแต่ละหน่วยงานภายในของ กอ.รมน. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ครม.อนุมัติช่วยเหลือผู้เสียหายจากการชุมนุม ซ่อมที่ทำการนครอุดรฯ ที่รัฐสภา นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังประชุม ครม. ว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยยังไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย โดยอนุมัติหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกู้เงินของผู้ประกอบการเพิ่มเติม กับผู้ที่ได้รับการผลกระทบ วงเงิน 2 พันล้านบาทเดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นายวัชระกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้ขยายวงเงินสินเชื่อในโครงการจากเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 15 ล้านบาท และให้ขยายระยะเวลาโครงการจากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เป็นสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 นายวัชระกล่าวว่า ครม.ยังมีมติช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบการการชุมนุมฯ โดยอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงิน 5.5 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมความเสียหายสำหรับสิ่งก่อสร้างของบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ส่วนข้อเสนอในการช่วยเหลือบริษัท กรณีค่าเสียโอกาสในการหยุดวิ่งรถโดยสารประมาณ 20 วัน ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 วงเงินกว่า 100 ล้านบาทนั้น ครม.มอบหมายหน่วยงานเจ้าของสัมปทานไปหารือกับบีทีเอสว่าจะดำเนินการอย่างไร นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติงบกลาง ปีงบประมาณ 2554 สำหรับให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ส่วนราชการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยเป็นการฟื้นฟูและซ่อมแซมที่ทำการเทศบาลนครอุดรธานี พร้อมอุปกรณ์และเครื่องใช้ที่จำเป็น รวมเป็นวงเงิน 212.65 ล้านบาท เห็นชอบตั้ง\กรมฝนหลวงฯ\" เทิดพระเกียริต์\"ในหลวง\" นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม.ว่าครม.เห็นชอบให้มีการจัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนพรรษาครบ 84 พรรษา และในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาโครงการฝนหลวง และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯดำเนินการในการจัดตั้ง และร่างพ.ร.บ.ร่วมกับคณะกรรมการพัมนาระบบราชการ (กพร.) ต่อไป ผบ.ทบ.ยันครม.อนุมัติซื้อรถถังยูเครน ไว้ป้องอธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการจัดซื้อรถถัง OPLOT จากประเทศยูเครน จำนวน 49 คัน ที่จะมีการอนุมัติผ่านจาก ครม. ในวันนี้ว่า ได้มีการเสนอขึ้นไปตามลำดับ โดยทุกอย่างก็จะต้องไปว่ากันในที่ประชุมครม. อีกทั้งรถถังที่ใช้งานในกองทัพอย่างน้อย 40 ปี และท่านจะถามว่ามันมีความจำเป็นในการต้องใช้หรือไม่ แล้วหากตนถามกลับว่าแล้วท่านจะให้ผมไปรบ แล้วมันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมียุทโธปกรณ์ มีไว้เพื่อหากมีของดีกว่าเขา ของใหม่กว่าเขา และยิงได้ไกลเขา และมีเกราะหนากว่าเขา ตนอยากถามว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะกลัวหรือไม่ และอีกอย่างหนึ่งมันคุ้มค่าหรือไม่ที่เราจะต้องดูแลประชาชนและกำลังพลให้ปลอดภัยนี่คือประเด็น \"ซื้อวันนี้ก็จะต้องใช้ไปอีก 100 ปี หรือไม่ต่ำกว่า 50 ปี และรถถังที่ใช้กันอยู่ก็เป็นของเก่า ไม่ได้ซื้อของใหม่ ทั้งนี้ต้องรอดูเมื่อผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการขึ้นมา และมีคณะกรรมการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ (กมย.) มีการเสนอคุณสมบัติเข้าแข่งขันกันใน กมย. ก็สู้กันไป จะซื้อได้หรือไม่ผมยังไม่รู้ เมื่ออนุมัติมาจะซื้อได้หรือไม่ เพราะจะต้องมีขั้นตอนอนุมัติเปิดซองประกวดราคา ซึ่งประกวดมาแล้วอาจจะซื้อไม่ได้ หากไม่ได้ก็ยกเลิก อย่าไปมองประเด็นว่าช่วงนี้ทำไมซื้อเยอะ เหมาจ่ายให้ทหาร อย่าไปพูดแบบนั้น พูดแบบนั้นทหารเสียใจ ผมเรียนไปแล้วว่า การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นการวางแผนระยะยาว และการซื้อครั้งเป็นการวางแผนระยะ 10 ปี ที่ผ่านมาถึงปี 2559 นี่คือการพัฒนากองทัพในรอบ 10 ปี และ 10 ปี มีอาวุธอะไรบ้างที่เก่า หรือที่จะต้องทดแทน หรืออะไรจะต้องซื้อใหม่ ทั้งปืน เอ็ม -16 ซึ่งทุกอย่างเป็นแผนการพัฒนากองทัพไม่ได้เกี่ยวกับประโยชน์ กองทัพไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัว กองทัพได้มาเพื่อใช้งานและปกป้องอธิปไตย ดังนั้นจะต้องดูแล และใช้อาวุธดี ๆ ใหม่บ้าง วันนี้ที่เราได้เปรียบอยู่เพราะมีอาวุธใหม่\" เพื่อไทยชี้ รมต.พลาญงบเทกระจาด สั่งใช้เงินหลวงซื้อสื่อโปรโมตตัวเอง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค กล่าวว่าคณะกรรมการติดตามการทำงานของรัฐบาล (คตร) ได้ติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณในการโฆษณา แฝง ของกระทรวงและหน่วยงานต่างๆของราชการ ในช่วงไกล้ยุบสภาฯ พบว่า หน่วยงานรัฐบาลโดยเฉพาะรัฐมนตรีเกือบทุกกระทรวง ทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองได้อย่างน่าเกียจมาก รัฐมนตรีบางคนสั่งการให้คนใกล้ชิดทำสปอตโฆษณาให้ตัวเองโดยใช้เงินภาษีของประชาชน ผ่านกระทรวงที่ตัวเองคุมอยู่อย่างไม่สนใจว่าจะเป็นงบจากไหน กระทรวงหลายแห่งใช้เงินซื้อ สื่อทีวี บิลบอรด์ หาเสียงให้รัฐมนตรี หลายสิบล้านบาท รวมเป็นงบประมาณ คร่าวๆที่ คตร.ติดตามหลายร้อยล้านบาทเพียงเวลาไม่ถึง 10 วัน ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งคณะกรรมการติดตามการใช้งบประมาณของรัฐบาลขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ โดยเฉพาะการใช้งบประมาณของ สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ใช้งบประมาณซื้อสื่อซึ่งส่วนใหญ่เป็นการโฆษณา พรรคการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ มองไม่เห็นผลงานของกระทรวงนั้นๆ นอกจาก ภาพรัฐมนตรีขนาดใหญ่ นายจิรายุ กล่าวอีกว่า วันนี้ ประชาชนถามมาจำนวนมากว่า ทำไมพรรคเพื่อไทย ไม่ทุ่มเงินซื้อโฆษณาแบบถล่มทลายอย่างพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ขอเรียนว่า 1.พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมีโอกาศและมีอำนาจในการใช้เงินภาษีประชาชนในทุกรูปแบบ ผ่านเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งอาจสั่งการผ่านกระทรวงให้ใช้งบประมาณต่างๆ ซื้อสื่อได้ ดูได้จากบางหน่วยงานไม่เกี่ยวกับนายอภิสิทธิ์ ก็มีการนำเอานายอภิสิทธิ์มาเป็น พรีเซนเตอร์ 2.พรรคประชาธิปัตย์ได้เงินจาก กองทุนพัฒนาพรรคการเมืองจาก กกต.จำนวนหลายสิบล้านบาท( คล้ายกับกรณีเมสไซอะเมื่อปี2548) ซึงมีการใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อสื่อในขณะนี้ แต่เงินจากกองทุนนี้ พรรคเพื่อไทยไม่ได้รับจาก กกต. เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองตั้งใหม่ หลังจากโดนยุบพรรคพลังประชาชน ทั้งๆที่ พรรคเพื่อไทยมีสส.มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งกลับไม่ได้ และ 3 พรรคเพื่อไทยได้รับการบริจาคผ่านรหัสภาษี 034 โดยไม่กล้าไปจัดงานระดมทุนจากเอกชนเพราะหมิ่นเหม่ต่อการ ต้องไปทดแทนบุญคุณกันเพราะบางเอกชนบริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์หลาย สิบล้านบาทก็เชื่อว่าย่อมจะหวังผลตอบแทนชาตินี้เพราะไม่ใช่บริจาคสร้างศาลาวัดจะได้รอผลบุญชาติหน้า ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ขอเรียกร้องไปยัง กกต. ให้พิจารณาความเป็นธรรมให้กับพรรคเพื่อไทย และแม้พรรคเพื่อไทย จะทุ่มจ่ายโฆษณาแบบเศรษฐี แบบพรรครัฐบาลไม่ได้ แต่ก็ใช้ความตังใจจริงในการทำนโยบายเพื่อประชาชน และ แสดงผลงานในอดีตให้เห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตาประชาชน นอกจากนี้ แค่ผลงานและการแถลงนโยบายของพรรคในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังถูกผู้มีอำนาจในรัฐบาลสั่งการให้ ตรวจแก้มา ถึง 4 ครั้ง จนแทบจะออกอากาศไม่ได้แล้ว ประชุม ครม. ครั้งสุดท้าย รอบค่ำ \"ปณิธาน\" แจงพิจารณาอีก 140 วาระ เวลาประมาณ 20.00 น. การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้ง สุดท้าย รอบที่ 2 ได้เริ่มการพิจารณาการประชุมแล้ว เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา หลังจากพักการประชุมเมื่อช่วงบ่าย โดยมีบรรดาคณะรัฐมนตรีเข้าประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง โดย นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมช่วงต่อจากนี้ไป จะเป็นการพิจารณาเรื่องที่ยังคงค้างอยู่ ซึ่งมีวาระพิจารณาปกติ ทั้งหมด 105 วาระ วาระจรอีก 35 วาระ รวมเป็น 140 วาระ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาการประชุมอีก 3 ช.ม. จะเสร็จสิ้นการประชุม ทั้งนี้ บรรดาสื่อมวลชนยังคงเกาะติดการประชุมครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้าย ก่อนที่ นายกรัฐมนตรี จะประกาศยุบสภา ที่มา: เว็บไซต์คมชัดลึก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net