ข่าวดีของลุงสุจิต: มวลชนไม่ทิ้งกัน พรรคอย่าทิ้งมวลชน

หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 7 ชั้น 2 ตึกศาลยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ มีคนกลุ่มหนึ่งมาเจอกัน โดยแทบจะไม่มีใครรู้จักกันมาก่อน พวกเขามาเพราะเชื่อมั่นว่า “เราไม่ทอดทิ้งกัน” ลุงสุจิต อินทชัยและป้าศรีบุตร์ผู้เป็นภรรยานั่งรออยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าวิตกกังวล ลุงกำลังจะเข้าฟังศาลอ่านคำพิพากษา นิกรเพื่อนของลุงสุจิต ผู้ถูกดำเนินคดีเสื้อแดงอีกคนนั่งหน้าหม่นไม่ต่างกัน เขาขี่มอเตอร์ไซค์มาจาก อ.แม่ออนเพื่อมาให้กำลังใจลุง ทนายอาสาสองคนจากกลุ่มยุติธรรมล้านนาปรึกษาหารือกันเรื่องจะหาเงินประกันตัวจากไหนหากลุงถูกตัดสินจำคุก อาสาสมัครจากศปช. (ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเม.ย.-พ.ค.53) และนักกิจกรรมหญิงซึ่งพยายามจัดตั้งกลุ่มครอบครัวผู้ต้องขังคดีการเมืองยืนลุ้นตัวโก่งอยู่หน้าห้อง เกือบได้เวลาอ่านคำพิพากษา ทนายของลุงคือคุณกิตติไกร ไกรคุ้ม ซึ่งไม่มีใครเคยเจอมาก่อนก็เดินทางมาถึง ทนายและลุงสุจิตเข้าไปฟังคำพิพากษาแล้วกลับออกมาบอกข่าวดีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สรุปว่าศาลสั่งปล่อยตัว ลุงสุจิต อินทชัย อายุ 57 ปี เรียนจบ ป.4 ประกอบอาชีพรับจ้างขนของที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ เข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2552 โดยสมัครเป็นการ์ดให้กับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ลุงสุจิตถูกจับกุมตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2553และถูกคุมขังเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนที่จะมีโอกาสได้ขึ้นศาลไต่สวนในเดือนธันวาคม 2553และได้รับการประกันตัวออกมาพร้อมกับนิกรด้วยเงินกองทุนยุติธรรม พร้อมเงื่อนไขปรองดองที่รัฐบาลคู่กรณีวางให้เดิน ระหว่างที่ลุงอยู่ในคุก ภรรยาและลูกชายจะไปเยี่ยมสัปดาห์ละครั้ง ฝากเงินให้ลุงไว้ใช้จ่ายครั้งละ 500-1,000 บาท ป้าเล่าว่า “ตำรวจมาจับตัวลุงไปตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. 53 มาตอน 7 โมงเช้า ลุงยังไม่ตื่น ป้าขึ้นไปปลุก แล้วเขาก็เอาตัวลุงซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไป ลุงเขาชอบไปชุมนุม ใส่เสื้อแดง โพกผ้าแดง เอาธงแดงติดรถมอเตอร์ไซค์ ป้าห้ามก็ไม่ฟัง ลุงว่าทำเพื่อลูกเพื่อหลาน ช่วงวันที่ 10 มีนาก็ไปชุมนุมที่กรุงเทพด้วยสิบกว่าวัน ลุงขอเงินป้าไป เราเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ลุงมีโรคประจำตัวต้องกินยาจากโรงพยาบาลสวนปรุงทุกวัน ไม่กินจะเพี้ยน” โชคดีที่ทนายกิตติไกร เพื่อนบ้านของลุงเข้ามาช่วยเหลือว่าความให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย “ ผมรู้จักกับลุงมาก่อน ลุงนิสัยดี ป้าเขามาขอให้ผมช่วย ไปเยี่ยมผมยังต้องเอามาม่าไปฝากเป็นลัง มาศาลก็เลี้ยงข้าว และให้ค่าน้ำมันลุงด้วย ลุงเขามีอาชีพรับจ้าง รายได้น้อย” ทนายสรุปคำพิพากษาให้ฟังว่า ลุงสุจิตไปร่วมชุมนุมตั้งแต่ต้นที่โรงแรมแกรนด์วโรรส ย้ายมาที่สถานีรถไฟ และวันเกิดเหตุที่มีการเผาจวนผู้ว่า ตู้สัญญาณจราจร และรถดับเพลิง 2 คัน ลุงก็ตามไปด้วย ลุงรับสารภาพว่าไปจริง และก็ผิดจริง เพราะมีประกาศ พรก.ฉุกเฉินอยู่แล้ว แกจึงผิดฐานร่วมชุมนุม ก่อความวุ่นวาย และเผายาง ซึ่งแกก็เผายางจริง ส่วนข้อหาอื่นที่ลุงไม่ได้ทำ ลุงก็ต่อสู้ คือข้อหาทำลายตู้สัญญาณไฟจราจร เผารถดับเพลิง ซึ่งค่าเสียหายตามที่ฟ้องมาคือ 10.8 ล้าน แต่ศาลยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ คดีที่ลุงรับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ลุงรับสารภาพลดโทษเหลือ 1 ปี ปรับ 10,000 แต่จำคุก 6 เดือนให้รอลงอาญาไว้ก่อน เพราะศาลเห็นว่าลุงอายุมากแล้วและไม่เคยมีประวัติ ประกอบกับพฤติการณ์ตอนเกิดเหตุคือการชักจูงกันมาจึงได้มาร่วมด้วย ส่วนค่าปรับลุงไม่ต้องเสียอีก เพราะแกติดคุกมาหกเดือน การอยู่ในเรือนจำ เขาจะหักชดเชยให้วันละ 200 บาท มันก็เกินจากที่ลุงจะต้องเสียค่าปรับ แต่ก็ต้องดูว่าอัยการจะอุทธรณ์ต่อหรือไม่ กลับบ้านเย็นนี้ลุงสุจิตต้องทำกับข้าวเลี้ยงทนายกิตติไกรเป็นการตอบแทนที่ช่วยว่าความให้ (แต่ทนายเป็นคนซื้อและออกค่ากับข้าว ส่วนแกเป็นคนทำ-ฮา) “ผมเสียพระเครื่องไปสององค์ให้ทนาย แกไม่คิดเงินผม” ลุงยังยิ้มไม่หุบ ลุงบอกว่า “รู้สึกดีใจมาก โล่งใจ ตอนอยู่ในคุก เครียดมาก อยากออกมาลุย รัฐบาลมันสองมาตรฐาน มันไม่เป็นธรรม อยากต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม” เมื่อถูกถามว่าคุ้มหรือที่ต้องถูกจำคุก ลุงตอบอย่างมั่นใจว่า “ผมคิดว่าผมคุ้ม เราได้ประชาธิปไตยคืนมาแล้ว ยุบสภาแล้ว ลองดูกันอีกครั้ง จะไปเลือกตั้งแน่นอน เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว” ลุงฝากถึงพรรคเพื่อไทยว่า “ขอให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเกินสามร้อย ขอให้มีนโยบายที่ช่วยคนรากหญ้าคนที่มีรายได้ต่ำให้พอมีพอกิน ถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้วก็อยากให้ช่วยดูแลให้กระบวนการยุติธรรมมีความเป็นธรรม ไม่เป็นสองมาตรฐานเช่นที่ผ่านมา” ส่วนคนเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก ลุงฝากว่า “ขอให้เพื่อนเสื้อแดงทุกคนสบายใจ รักษาสุขภาพให้ดี อย่าได้ห่วงเรื่องข้างนอก จะหาทางช่วยกันเอง อดทนเอาไว้” ชีวิตวันข้างหน้า ลุงสุจิตฝันอยากได้รถพ่วงสักคันเอาไว้ประกอบอาชีพค้าขาย เพราะตนแก่มากแล้ว ไม่สามารถเป็นกรรมกรรับจ้างได้ตลอดไป ถ้าทางนปช.ช่วยเยียวยาเรื่องนี้ได้ ลุงจะดีใจมาก หลังพิจารณาคดีเสร็จสิ้นนิกรพาลุงไปเปิดบัญชีธนาคารและเอาแบบฟอร์มรับการช่วยเหลือเยียวยาให้ลุงกรอก เขายิ้มแย้มยินดีกับอิสรภาพของลุงสุจิต แม้ยังไม่รู้ชะตาชีวิตของตนเอง นิกรเป็นคน อ.แม่ออน ถูกฟ้องคดีเดียวกับลุงสุจิต เขารับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ลดโทษเหลือ 1 ปี ปรับ 3,000 บาท ให้ไปรายงานตัวสำนักงานคุมประพฤติ 1 ปี 4 ครั้ง แต่อัยการยังคงยื่นอุทธรณ์ต่อ แม้ว่าศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาไปตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว นอกจากลุงสุจิตและนิกรแล้ว กลุ่มยุติธรรมล้านนายังมีคดีของคนเสื้อแดงอยู่ในมืออีกกว่า 40 คดี และมีทนายอาสาสมัครอีก 25 คนที่อาสาทำคดีให้กับผู้ต้องหาเสื้อแดงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ...เช้านี้ที่ศาลยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับข่าวดีของลุงสุจิต ความหมายของข้อความ “เราไม่ทอดทิ้งกัน” ได้ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดผ่านภาพการมารวมตัวกันของมวลชนคนธรรมดา ทั้งผู้ต้องขัง ผู้ต้องหา ญาติ ทนายอาสาและนักกิจกรรม วันที่ 3 ก.ค. ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ในฐานะมวลชนผู้ตื่นตัวทางการเมืองและผ่านการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาอย่างโชกโชน พวกเขาจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้หายอยาก อย่างไม่จำเป็นต้องถาม แน่นอนว่าพวกเขาเลือกพรรคเพื่อไทย คำถามที่เหลือจึงมีเพียงว่า เมื่อมวลชนไม่ทอดทิ้งกันและไม่ทอดทิ้งพรรค สุดท้ายพรรคจะทอดทิ้งมวลชนหรือไม่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท