“ชาวบ้านมะต้องสู้” ร้องพ่อเมืองกาญฯ จี้แก้ปัญหาที่ดินค้างคากว่า 25 ปี

ชาวบ้านมะต้องสู้ 6 ครอบครัว ประกาศยอมตายในที่ดินของตนเอง เดินหน้าทวงถามการแก้ไขปัญหาที่ดินกับผู้ว่าฯ ใหม่ แจง 25 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านเหมือนไม่มีตัวตน ถูก กบร. เพิกเฉย ทหารยึดพื้นที่ทำกินอ้างปลูกป่า แต่ให้นายทุนเช่าเต็มพื้นที่ วันนี้ (20 พ.ค.54) นายปาเค ม่วงทอง วัย 81 ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่หมู่ 3 บ้านมะต้องสู้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี และชาวบ้านบ้าน 6 ครอบครัว พร้อมตัวแทนจากสภาทนายความ และองค์กรภาคประชาชน ขอเข้าพบและติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินบ้านมะต้องสู้กับผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หลังถูกทหารบังคับข่มขู่ออกจากชุมชนตนเอง 25 ปี ที่ผ่านมาไร้การเหลียวแลจากหน่วยงานรัฐ 3 ปีของการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินตามแนวทางรัฐโดยผ่าน กบร. (คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ) จังหวัดกาญจนบุรี แต่ไร้มีความคืบหน้า ประชาชนต้องดำเนินการเองส่อลางเรื่องถึงศาลปกครอง และ ปปช. จากประวัติ ชาวบ้านมะต้องสู้เป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงได้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ อ.ไทรโยคมาก่อนปี พ.ศ.2412 และมีกำนันคนแรกของตำบลไทรโยคอยู่ที่หมู่บ้านมะต้องสู้ ชื่อนายประสิทธิ์โพ ติจา อยู่ในตำแหน่งช่วงปี พ.ศ.2444 – 2450 ซึ่งชาวบ้านทั้งหมดมีอาชีพเกษตรกรรมและอยู่กันมาอย่างสงบสุข ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2528 ทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 โดยศูนย์ประสานงานทหารกองหนุนแห่งชาติ หน่วยเฉพาะกิจโครงการทุ่งก้างย่าง อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้มีหนังสือสัญญาที่อ้างถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอ และเจ้าหน้าที่อำเภอไทรโยคได้ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจโครงการทุ่งก้างย่างทำสัญญากับชาวบ้านมะต้องสู้หมู่ที่ 3 อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เนื้อหาหลักในหนังสือสัญญาเป็นสัญญาฝ่ายเดียวที่ทหารกดดันให้ชาวบ้านเซ็นต์ยอมรับว่าเป็นผู้บุกรุกที่ดินราชการในความดูแลของกองทัพบก โดยแต่ละครอบครัวอยู่อาศัย และทำกินต่อได้อีก 1 ฤดูกาล และต้องย้ายออกทันทีเมื่อสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 1 ก.พ.2530 ซึ่งในหนังสือหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดมีเพียงลายเซ็นต์ไม่มีการระบุชื่อจริงกำกับ และทหารได้ปฏิบัติการกดดันข่มขู่ชาวบ้านทั้งการ ใช้รถแทรคเตอร์ดันพืชไร่ทิ้ง ปล่อยวัว 400 ตัวกินพืชไร่ ยิงปืน ปาระเบิดในยามวิกาลในหมู่บ้าน แจ้งเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ปิดทางเข้าออกหมู่บ้าน และขู่จะฟ้องศาลเป็นต้น เพื่อให้ออกจากพื้นที่ จนถึงเดือน พ.ค.2547 ได้เหลือพ่อเฒ่าปาเค และลูกหลานรวม 6 ครอบครัวที่ประกาศยอมตายในบ้านเกิดของตนเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านแจ้งความดำเนินคดีกับทหาร แต่ตำรวจก็ไม่มีการดำเนินการ และได้ร้องเรียนรัฐไปหลายที่อย่างสำนักนายกแต่ไม่สามารถพึ่งหน่วยงานใดได้ และล่าสุดชาวบ้านได้เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีที่สนับสนุนโดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) โดยชาวบ้านได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาในชุมชนอย่างครบรอบด้าน แต่หลังจากการส่งให้ กบร. จังหวัดกาญจนบุรีกลับพบว่า 4 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น และทาง พอช. ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้านมะต้องสู้ นายสมชาติ ม่วงทอง แกนนำชาวบ้านแสดงความเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า การดำเนินการสนับสนุนของ พอช.ควรดำเนินการด้วยความจริงใจ และควรมีการผลักดันปัญหาให้มากกว่านี้ มิใช่ให้ความหวังชาวบ้านแล้วทำตัวเป็นไปรษณีย์ได้ข้อมูลแล้วส่งต่อก็จบ และในส่วน กบร.จังหวัดกาญจนบุรีหากข้อมูลของชุมชนยังไม่ชัดเจนทำไมไม่มีการแจ้ง และให้ชาวบ้านทำข้อมูลเพิ่มเติม แต่ กบร.จังหวัดกาญจนบุรีเลือกที่นิ่งเชยทำตัวลอยอยู่เหนือปัญหาชาวบ้าน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า กบร. จังหวัดมีความสนิทสนมกับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขับไล่ชาวบ้านหรือไม่ จึงไม่ดำเนินการใดๆ การปล่อยเฉยถือว่าทำให้รัฐเสียหายอย่างมาก เพราะการยึดที่ที่ผ่านมาได้มีการให้เช่าช่วงต่อโดยไม่มีใบเสร็จจากไร่ละ 30 บาทต่อปี เป็นไร่ละ 300 – 600 บาทต่อปี และนายทุนให้รายใหญ่เช่าตั้งแต่ 100 ไร่ขี้นไปเท่านั้น ถามว่าเงินส่วนนี้ได้เข้าไปในราชการทหารจริงหรือไม่ “วันนี้ชาวบ้านที่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะถูกคุกคามไล่ออกด้วยวิธีการใดจากทหารก็ยังไม่รู้ วันนี้จึงต้องออกมาทวงถามกับผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธาน กบร. จังหวัดว่าการแก้ไขปัญหาดำเนินการไปมากน้อยเพียงใด” นายสมชาติกล่าว ด้านตัวแทนจากสภาทนายความ และศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคกาญจนบุรีเห็นตรงกันว่าจากเอกสารหลักฐานที่มี และที่ผ่านมาได้มีการนำเสนอที่ห้องประชุมกองทัพบกแล้วเมื่อ 18 ก.ย.2551 ทางกองทัพบกก็รับทราบดีว่าการกระทำของทหารเป็นอย่างไร และหากการดำเนินการแก้ไขปัญหาของที่ดินของชาวบ้านมะต้องสู้ไม่มีความคืบหน้าในแนวทางของรัฐ ซึ่งเรื่องนี้ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ในฐานะ ผบ.ทบ.ควรจะให้ความสำคัญ เพราะอาจมีคนนำข้อมูลนี้ไปเล่นการเมืองกับทหารได้ ซึ่งยิ่งจะตอกย้ำเรื่องชนชั้น และลดความน่าเชื่อถือของกองทัพ และหากปล่อยให้พื้นที่แก้ไขปัญหา ชาวบ้านไม่น่าจะได้รับการคุ้มครองแต่อย่างใด การแก้ปัญหาจากเบื้องบนยิ่งช้าเท่าใด ชุมชนยิ่งถูกยำยี และจะมีการละเมิดสิทธิชุมชนทั้งสิทธิในที่ทำกินและการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการที่ทหารให้นายทุนเช่าพื้นที่ นายทุนจะไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ทุกวันนี้ทั้งที่ดิน น้ำ ป่า และสัตว์ป่ามีแต่คนเข้าไปกอบโกยโดยไม่มีการรักษา ชาวบ้านทำได้เพียงมองตาปริบๆ ตัวแทนจากสภาทนายความ ระบุด้วยว่าต่อจากนี้ไป หากการแก้ไขปัญหาตามคำเรียกร้องของชาวบ้านไม่มีความคืบหน้า ชาวบ้าน สภาทนายความ และเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิ์ทั้งพื้นที่ และส่วนกลางจะร่วมกันรณรงค์ตีแผ่การกระทำของทหาร ธนารักษ์จังหวัด และการละเลยของหน่วยงานปกครอง ในทุกๆ ทางทั้งใน และต่างประเทศ โดยจะมีการดำเนินการทั้งทางสังคม และทางกฎหมายโดยจะส่งเรื่องให้ ปปช.และดำเนินการทางศาลไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกแนวทางที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐไม่ได้ให้ความสนใจกับคนเล็กคนน้อย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท