Skip to main content
sharethis

Newsclip หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นรายปักษ์แจกฟรี ฉบับที่ 205 วันที่ 10 พ.ค. 54 หน้า 15 ตีพิมพ์เรื่องราวของคนไทยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นมากที่สุด เผยความยากลำบากขณะหลบภัย และความช่วยเหลือจากทีมงานข่าวทีวีของไทย หนังสือพิมพ์ newsclip ซึ่งนำเสนอข่าวสารเป็นภาษาญี่ปุ่นเผยแพร่ในประเทศไทย ได้นำเสนอเรื่องราวของสุวรรณา คาเมะยามะ หญิงไทยวัย 37 ปี ผู้ประสบภัยสึนามิ และตัดสินใจกลับมายังเมืองไทยพร้อมลูกชายวัย 9 ขวบเพื่อเยียวยาความรู้สึกหวาดกลัวจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น สุวรรณาพบกับสามีชาวญี่ปุ่นวัย 50 ปีของเธอครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ก่อนจะแต่งงานกัน และอาศัยอยู่ที่เมืองอิชิโนะมากิ จังหวัดมิยากิเป็นเวลา 9 ปี พวกเขามีลูกชายวัย 9 ขวบ ขณะเกิดเหตุสึนามิและแผ่นดินไหวนั้น สุวรรณากำลังทำงานอยู่ในโรงงานอาหาร หนังสือพิมพ์ Newsclip นำเสนอเรื่องราวของสาวไทยผู้ประสบภัยสึนามิ สึนามิที่มาหลังแผ่นดินไหวและบ้านเรือนที่ลุกเป็นไฟลอยน้ำ แผ่นดินไหวเกิดก่อนเวลา 15.00น.เล็กน้อย หลังจากแผ่นดินไหวครั้งแรก ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และยาวนานตามมา จากนั้นระบบไฟฟ้าก็ถูกตัด แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวส่งผลให้พนักงานหญิงในโรงงานไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ พวกเธอเริ่มร้องไห้เพราะความกลัว พนักงานในโรงงาน 250 คนออกมารวมตัวกันที่หน้าโรงงานและตรวจสอบความปลอดภัยของกันและกัน พนักงานแต่ละแผนกต่างแยกย้ายไปยังที่หลบภัย แผนกของสุวรรณาซึ่งมีพนักงานทั้งหมด 56 คนขึ้นไปหลบที่ดาดฟ้า นอกตัวอาคาร สัญญาณเตือนภัยดังสนั่น โทรศัพท์มือถือของเธอมีข้อความเตือนภัยว่าอาจเกิดสึนามิสูง 6 เมตร นอกอาคาร อากาศหนาวเย็น หิมะตก ท้องฟ้ามืด 30 นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว สึนามิลูกแรกก็มาถึง คลื่นสีดำสนิทพัดเอาบ้าน รถ และทุกสิ่งทุกอย่างมาที่ชั้นหนึ่งของโรงงาน ขณะที่พนักงานในแผนกอื่นๆ หลบภัยอยู่ที่เนินเขาหลังโรงงาน แม้แต่ในตอนกลางคืน อาฟเตอร์ช็อกยังดำเนินต่อไป มีสึนามิเกิดขึ้นทุกๆ ครั้งหลังอาฟเตอร์ช็อก รอบๆ โรงงาน สถานที่ต่างๆ เริ่มเกิดเพลิงไหม้ สึนามิพัดพาเอาบ้านที่ลุกไหม้เข้ามาเป็นระลอกๆ จวบจนรุ่งสาง กลุ่มของสุวรรณาจึงได้ไปสมทบกับเพื่อนพนักงานซึ่งอยู่ที่ศูนย์หลบภัยบริเวณเชิงเขา เธอหลบภัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่วัน สามวันที่ลูกชายอยู่รอดได้ด้วยขนมปังกรอบและสามีที่ถูกสึนามิพัดไปขณะอยู่ในรถ ลูกชายของสุวรรณาอยู่ที่สนามของโรงเรียนประถม เขากำลังออกกำลังกาย ขณะที่พื้นดินเริ่มแยกออกจากกัน เขาวิ่งเข้าไปในห้องเรียน และติดอยู่ในนั้นพร้อมกับเพื่อนนักเรียนนานสามวัน เด็กๆ อยู่ได้ด้วยขนมปังกรอบ 2 ชิ้น ขนมเซมเบ้ 1 ชิ้น และปลาแห้งเล็ก 3 ตัว สามวันหลังจากนั้น พ่อของเขาฝ่าน้ำที่ท่วมขึ้นมาถึงอกเข้ามาหา พวกเขาย้ายไปอยู่ที่บ้านของน้องชายของพ่อ สามีของสุวรรณาและน้องชายของเขาอยู่ในรถขณะเกิดแผ่นดินไหว หลังแผ่นดินไหว พวกเขาย้ายไปอยู่บ้านของน้องชาย และเตรียมตัวหลบภัยสึนามิ น้องชายให้ลูกชายและลูกสาวของเขาขึ้นรถอีกคัน ขณะที่สามีของสุวรรณารออยู่ในรถอีกคันหนึ่งตอนที่สึนามิปะทะเข้ากับรถ รถถูกพัดออกไปและน้ำเริ่มทะลักเข้ามาในรถจนเหลือช่องว่างด้านบนเพียง 10 เซนติเมตร สามีของสุวรรณาคิดว่าเขากำลังจะตาย ขณะเดียวกันก็พยายามเปิดประตูรถ และเป็นโชคดีที่ประตูเปิดออก หลังจากนั้น เขาหนีออกมาจากรถและคว้าหลังคาบ้านหลังหนึ่งไว้ได้ หลาน (ลูกชายของน้องชาย) ของเขาปลอดภัยเพราะคว้ากิ่งของต้นไม้เอาไว้ได้ ขณะที่ลูกสาวถูกพัดลอยออกไป สามีของสุวรรณาเห็นเธอร้องไห้พร้อมกับลอยออกไป แต่เขาเองก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ เพราะเขาก็ถูกสึนามิพัดเช่นกัน ร่างของเธอถูกพบในวันที่ 12 เมษายน คนที่ช่วยเหลือสุวรรณาไม่ใช่สถานทูตไทย แต่เป็นทีมข่าว หลังเกิดเหตุการณ์สี่วัน สมาชิกในครอบครัวของสุวรรณาก็ได้พบกัน พวกเขาหลบภัยอยู่ในบ้านของน้องชาย เนื่องจากบ้านของพวกเขาถูกสึนามิพัดออกไปไกล 100 เมตรจากจุดเดิม พวกเขาไม่สามารถจะอยู่ในบ้านของตัวเองได้ หลังจากย้ายไปที่บ้านของน้องชายได้สามสี่วัน ความช่วยเหลือก็ยังไม่มาถึง พวกเขาต้องหาอาหารประทังชีวิตวันต่อวัน ปัญหาใหญ่ที่สุดคือน้ำดื่ม พวกเขาต้องควานหาขวดน้ำที่ถูกพัดออกมาจากร้านค้าตามกองขยะ ความช่วยเหลือแรกมาจากกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ตามด้วยอาสาสมัครจากที่ต่างๆ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังเกิดภัยพิบัติที่พวกเขาได้กินอาหาร แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม \ฉันไม่มีอะไรจะตำหนิรัฐบาลญี่ปุ่น ฉันปลอดภัยก็เพราะการฝึกฝนหลบภัย มีบ้างที่ขาดแคลน แต่ในสถานการณ์อย่างนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเรื่องอย่างนี้เกิดในประเทศไทยก็คงไม่เป็นอย่างนี้ สิ่งที่ฉันต้องการก็เพียงอาหารและน้ำในวันแรก ตอนที่ฉันได้กินข้าวต้มครั้งแรกในรอบสี่วัน ฉันก็น้ำตาไหล เพราะการหาอาหารนั้นเป็นเรื่องยาก\" สุวรรณากล่าว สาเหตุที่เธอกลับมาเมืองไทยได้ เป็นเพราะเธอพบกับทีมงานทีวีของไทยซึ่งมารายงานข่าวที่เมืองอิชิโนะมากิ ทีมงานทีวีคิดว่าเธอน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยในญี่ปุ่น จึงติดต่อไปยังสถานทูต แต่ขณะที่ติดต่อไปนั้น สถานทูตยังไม่มีแผนช่วยเหลือคนไทยในญี่ปุ่นที่เป็นรูปธรรม ทีมงานทีวีวิจารณ์สถานทูตอย่างหนักพร้อมทั้งเรียกร้องให้มีมาตรการช่วยเหลือ ท้ายที่สุด สถานทูตไทยตัดสินใจมอบตั๋วเครื่องบินเพื่อให้คนไทยในญี่ปุ่นบินกลับประเทศ หากแต่ผู้ที่ต้องการเดินทางกลับจะต้องมารับตั๋วที่สถานทูต (โตเกียว) สุวรรณาซึ่งสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถที่จะเดินทางมาได้ \"สุดท้าย ทีมงานทีวีให้ฉันยืมเงิน 30

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net