Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

นายกอภิสิทธิ์ เปิดใจถึงเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 \ผมต้องพิจารณาทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะได้เกิดความสูญเสียขึ้น แต่เพราะความเข้มแข็งของสังคมไทยที่รับทราบข้อเท็จจริงว่าความสูญเสียไม่ได้เกิดจากการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ\" เดิมทีตั้งใจจะเขียนเรื่องการต่อสู้กับปัญหาคอรัปชั่น แต่เมื่อมีความพยายามสร้างกระแสเกี่ยวกับเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงถึงความสูญเสีย 91 ศพ (ซึ่งรวมทหาร -ตำรวจ ประชาชนที่เป็นเหยื่อ M 79 ที่ยิงออกมาจากที่ชุมนุมด้วย) ผมจึงต้องขอเสนอความจริงเรื่องนี้ก่อน ทุกคนคงจำได้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงมีมาตั้งแต่ปี 2552 ที่มวลชนมาทุบรถผมที่พัทยา ล้มการประชุมอาเซียน ไล่ล่าผมที่กระทรวงมหาดไทยแล้วก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ผมมีหน้าที่รักษากฎหมาย ก็ได้คลี่คลายปัญหาด้วยความอดทน อดกลั้น เราก็ผ่านเหตุการณ์มาได้โดยไม่มีการสูญเสีย ยกเว้นชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คน ที่ตกเป็นเหยื่อของการชุมนุม ขณะที่ภาพลักษณ์เศรษฐกิจถูกซ้ำเติมอย่างรุนแรง ในครั้งนั้นคุณทักษิณกับพวกพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลฆ่าประชาชน ทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริงลงทุนเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงผมจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ ร้อยเรียงคำพูดใหม่ให้กลายเป็นว่า \"ผมสั่งฆ่าประชาชน\" เพื่อปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง แต่เมื่อสังคมส่วนใหญ่รู้ความจริง จึงทำให้ประเด็นดังกล่าวจุดไม่ติด ชนวนเหตุการณ์ปี 2553 เริ่มจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์คุณทักษิณจากการทุจริตเชิงนโยบายจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท. คุณทักษิณ วิดีโอลิงค์จากต่างประเทศทันทีที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาจบ มีเนื้อหาไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่ง คุณทักษิณใช้คำว่า \"เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม\" ถึงขนาดกล่าวหาว่าศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างวาทกรรมสองมาตรฐานปลุกปั่นพี่น้องเสื้อแดงให้เข้าใจว่าเขาถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์แต่ไม่เคยพูดถึงวันที่ตัวเองชนะคดีซุกหุ้นซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเห็นต่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีการระดมมวลชนกดดันสังคมให้ความเคารพคำตัดสินดังกล่าวและให้โอกาสคุณทักษิณได้บริหารประเทศเป็นเวลานานกว่า 5 ปี เท่ากับว่าถ้าศาลตัดสินแล้วตัวเองได้ประโยชน์ถือว่าเป็นธรรม แต่ถ้าทำผิดหลักฐานมัดแน่นศาลตัดสินลงโทษกลายเป็นสองมาตรฐาน. นี่คืออันตรายที่ คุณทักษิณใช้พี่น้องประชนที่ศรัทธาคุณทักษิณด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโหดร้าย คุณทักษิณ ระบุในการวิดีโอลิงค์ครั้งนั้นว่า \"วันนี้การเมืองตอนนี้ดุมาก ใจดำมาก แต่ขอผมเป็นเหยื่อการเมืองคนสุดท้าย ถ้าเมื่อไรประเทศได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีระบบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม คงจะไม่มีเหยื่ออย่างผมอีกเพราะวันนี้ดุลทั้งหมดไปอยู่อำมาตย์ที่สามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่ง มีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งอย่างง่ายดาย\" ผมทราบทันทีว่าประเทศชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย ประชาชนอยู่ในภาวะหวาดผวากลัวจะเกิดเหตุรุนแรง คำประกาศ \"แดงทั้งแผ่นดิน” การเทเลือดหน้าบ้านทำให้ผมเป็นห่วงชาติบ้านเมืองว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นทะเลเลือดแดงฉานทั้งแผ่นดิน ผมพยายามอย่างที่สุดในการประนีประนอมบนหลักกฎหมายและความถูกต้อง พวกเขาเรียกร้องให้ผมยุบสภาทันที ผมก็ไปนั่งเจรจาคุยกับแกนนำเสื้อแดงสองวัน 6 ชั่วโมง เสนอทางออกด้วยการยุบสภาในช่วงปลายปี ไม่ใช่เพราะต้องการถ่วงเวลาอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดแต่ต้องการให้เศรษฐกิจมั่นคง การเมืองมาตกลงเรื่องกติกาให้ชัดและไม่ให้เป็นแบบอย่างให้เกิดการเรียกร้องโดยใช้มวลชนกดดันไม่จบไม่สิ้น อย่างไรก็ตามการเจรจาไร้ผล เพราะมีคนวางแผนเป็นขั้นตอนที่จะยัดเยียดให้ผมเป็น \"ฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน\" จึงไม่ยอมรับในวิธีการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองอย่างสันติ ซึ่งหากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภาไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้ คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อมาคนเหล่านี้ เผยธาตุแท้ตัวเองให้เห็น ภายหลังผ่านเหตุการณ์ไทยวิปโยคว่า ให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมไปเลย ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม 2553 เรียกร้องเอาเป็นเอาตายว่าต้องยุบสภาทันที จนเกิดเหตุสูญเสียขึ้นในที่สุด ความแตกต่างในการเคลื่อนไหวปี 2553 คือการเก็บเกี่ยวบทเรียนจากปี 2552 ที่การยั่วยุไม่ประสบความสำเร็จ มาคราวนี้ปิดจุดอ่อนคราวที่แล้ว ด้วยการเพิ่มกองกำลังติดอาวุธซึ่งคนที่ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่มีแค่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เพียงคนเดียว แต่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงก็เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนในทำนองเดียวกัน และก่อนเกิดเหตุรุนแรง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ประสานเสียงกับเสธ.แดงหลังพบคุณทักษิณที่ดูไบว่า จะมีการตั้งกองทัพประชาชน ซึ่งสื่อมวลชนเรียกขานว่า \"กองทัพแดง\" เมื่อถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง ก็ทำให้ พล.อ.พัลลภ ยุติบทบาทไป การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปิดทั้งถนนราชดำเนิน สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งศาลได้ชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ นอกจากจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเพิ่มความแตกแยกและแรงกดดันต่อรัฐบาลให้เข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการยั่วยุด้วยการยิง M 79 ในสถานที่ต่าง ๆ และมีการเคลื่อนมวลชนไปหลายสถานที่ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก และยังมีการใช้มวลชนกดดันทหารที่อยู่ในที่ตั้ง ฮึกเหิมถึงขนาดประกาศไปยึดสถานีไทยคม ตลอดเวลาเจ้าหน้าที่แสดงความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด มิฉะนั้นคงเกิดเหตุแบบที่เราเห็นอยู่ที่ตะวันออกกลาง และในวันที่ 10 เมษายน เมื่อมีการขอคืนพื้นที่ เจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็นไม่มีการสูญเสีย เมื่อเริ่มมืดก็เริ่มมีการเจรจาให้สองฝ่ายอยู่กับที่แต่ไม่เป็นผล จึงมีการสั่งการให้ถอนกำลังกลับ จากนั้นสงครามเต็มรูปแบบก็เกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัว หลังคำประกาศบนเวทีราชประสงค์ของนายอริสมันต์ ไม่นาน มีชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุมใช้คนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์เป็นเกราะกำบังโจมตีทหารจนเกิดการสูญเสียชีวิตทั้งทหารและประชาชน ขณะที่ผมและผู้นำเหล่าทัพกับบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อยู่ในอาการช็อค กับการใช้ความรุนแรงกับคนไทยด้วยกันเองได้ถึงขนาดนี้ แต่บนเวทีกลับนำศพไปปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความโกรธแค้นมากขึ้น พร้อมยื่นคำขาดให้ผมเดินทางออกนอกประเทศ เมื่อมีการต่อสายระหว่างนักการเมืองผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายผู้ชุมนุมอ้างว่าไม่เกี่ยวกับผู้ใช้อาวุธ และบอกให้เจ้าหน้าที่จัดการกับคนกลุ่มนั้นได้ตามใจชอบ แต่เจ้าหน้าที่ขณะนั้นใช้กำลังเพียงแค่ปกป้องตนเอง และคุ้มครองการลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากสถานการณ์เลวร้ายดังกล่าว คืนวันนั้นจนถึงวันรุ่งขึ้นเป็นคืนที่ผมไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว เป็นวันที่ผมสลดใจมากที่สุดในช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากการกดดันของผู้ชุมนุมและฝ่ายการเมืองรอบทิศ ผมต้องพิจารณาทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะได้เกิดความสูญเสียขึ้น แต่เพราะความเข้มแข็งของสังคมไทยที่รับทราบข้อเท็จจริงว่า ความสูญเสียไม่ได้เกิดจากการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ เพราะผมแสดงให้เห็นมาโดยตลอดที่จะใช้การเจรจาแก้ปัญหา จนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาดกลัวคนเสื้อแดง อีกทั้งยังปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีกองกำลังติดอาวุธจริงในกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้สังคมให้โอกาสผมทำงานต่อ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องคนไทยในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับประเทศ และยังต้องร่วมฟันฝ่าเพื่อให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น \"เป็นจุดต่ำสุดของวิกฤตการเมืองแล้วและผมตั้งใจว่าเราจะก้าวพ้นความรุนแรงนี้ไปด้วยกัน\" กระนั้นก็ตามผมก็ยังมุ่งมั่นคิดถึงแผนปรองดอง ซึ่งผมจะเขียนถึงในตอนต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แกนนำเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net