Skip to main content
sharethis

คำ ผกา อภิปรายในงานเสวนา “อ่านออกเสียงเฉพาะกิจ” ตอน “น้ำท่วม (ปาก): หลากความคิดจากผู้ลี้ภัยน้ำท่วมกรุงเทพฯ” เมื่อ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมตอบสารพัดคำถามที่มาจาก Twitter \ขาประจำ\" เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ร้าน Book Re:public จ.เชียงใหม่ มีการเสวนา “อ่านออกเสียงเฉพาะกิจ” ตอน “น้ำท่วม (ปาก): หลากความคิดจากผู้ลี้ภัยน้ำท่วมกรุงเทพฯ” มีวิทยากรได้แก่ มนตรี จันทวงศ์ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันรัก สุวรรณวัฒนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา นักเขียนและคอลัมน์นิสต์ และเวียงรัฐ เนติโพธิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยหลังการอภิปรายโดยมนตรี จันทวงศ์ อภิชาต สถิตนิรามัย พวงทอง ภวัครพันธุ์ และวันรัก สุวรรณวัฒนาแล้ว ลักขณา ปันวิชัย หรือคำ ผกา ได้อภิปรายเรื่องความเห็นของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ต่อเรื่องน้ำท่วม โดยคำ ผกา กล่าวว่า จะเห็นได้ว่า น้ำท่วมครั้งนี้จะเกิดมาด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที แล้วจะมีปัญหาจัดการน้ำอย่าไรก็ตามที สิ่งที่เราเห็นได้ชัดมาก คือคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยไปเป็นรัฐบาลก็อึดอัดไปด้วย เพราะเราก็รู้ว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลมาด้วยเสียงของคนส่วนใหญ่ แต่กลายเป็นพรรคเพื่อไทยกลับมีความหวาดหวั่นต่อเสียงของคนกรุงเทพฯ มากซึ่งเป็นเสียงที่ไม่ได้เลือกตนเองมากกว่าจะแคร์เสียงของคนส่วนใหญ่ที่เป็นฐานเสียงของตนเอง ฉะนั้นเราจึงเห็นการจัดการน้ำที่แปลกประหลาด เราก็จะเห็นว่ามีความพยายามที่จะป้องกันกรุงเทพฯ จากภาพถ่ายดาวเทียมเราจะเห็นน้ำค่อยๆล้อมกรุง เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไม \"สลิ่ม\" จำนวน มากคิดว่านี่คือการเสียกรุงครั้งที่ 3 ยิ่งน้ำค่อยๆบีบกรุงเทพฯมากเท่าไหร่ หัวใจของคนกรุงเทพฯก็ถูกบีบคั้นมากขึ้น และรู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่น้ำยึดกรุงเทพได้นั่นคือเราเสียกรุงฯ เราล้มเหลวปกป้องกรุงเทพไม่ได้ วิธีคิดที่ว่า กรุงเทพฯน้ำท่วมไม่ได้ ในปีนี้ค่อนข้างจะรุนแรงมาก เราจะโทษคนกรุงเทพฯอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องโทษรัฐบาลที่ไปเล่นเกมเอาใจคนที่ไม่ได้รักตนเอง เปรียบได้กับจิตวิทยาความรักที่ว่า เวลามีใครมารักเรามากๆ เราจะรู้สึกว่ามันเป็นของตายอยู่ในมือ แต่เวลาเราไปจีบใคร และเราทำไม่ค่อยสำเร็จ เรายิ่งกลุ้มในความพยายามของตัวเอง ตอนนี้พรรคเพื่อไทยก็คงรู้สึกว่าชาวบ้านเสื้อแดงเป็นของตายอยู่ในมือ อยากไปเอาใจ \"สลิ่ม\" ที่ไม่ได้รักตัวเอง มันจึงเกิด \"หายนะ\" เพราะว่าน้ำมันไม่ได้หายไปจากโลกนี้ ตราบเท่าที่คุณไม่สามารถระบายมันลงทะเลได้ การไปกั้นที่ต่างๆ ทำให้น้ำที่ควรจะไหลเป็นสาย จึงกลายเป็นมวลน้ำที่ทะลักเข้ามา แล้วคุณยิ่งลักษณ์ก็แถลงผิดทุกวันว่า ตรงนี้ไม่ท่วม แต่วันรุ่งขึ้นก็ท่วม การแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลก็สูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจไปมาก พรรคเพื่อไทยควรคิดได้ว่าระหว่าง 40 ล้านคน กับ 4 ล้านคน ควรจะไปดูใครมากกว่ากัน การแบ่งสีแบ่งขั้วทางการเมือง ทำให้เกิดมิติทางสังคมการเมืองที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะว่าการใช้สถานการณ์น้ำท่วมมาไล่รัฐบาล เช่น บทความ อ.เจิมศักดิ์ สมเกียรติ อ่อนวิมล หนูดี เอิร์น กัลยากร ล่าสุดคือ เอกยุทธ์ อัญชัญบุตรที่ดูถูกผู้หญิงเหนือเพื่อด่านายก ข้อความของเอกยุทธ์สะท้อนให้เห็นถึง ความไม่พอใจของชนชั้นกลางต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สาเหตุที่ไม่พอใจเพราะสำนึกอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นเสียงส่วนน้อย เลือกตั้งทุกครั้งก็จะแพ้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้ก็จะทำอะไรก็ได้เพื่อหยุดการเมืองหรือระบอบ ประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง อึดอัดขับข้องใจรัฐบาลที่มาจากคนรากหญ้าซึ่งโง่ ไม่มีการศึกษา แล้วยังมีนายกฯที่เป็นผู้หญิง พูดไม่ชัด มาจากต่างจังหวัด แล้วยังเรียนจบ มช. คือถ้าเป็นคนต่างจังหวัดแล้วเรียนจบธรรมศาสตร์ จุฬาฯ แต่ประวัติชีวิตที่ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคก็คงไม่เป็นไร ซึ่งเป็นนายกฯ ที่ชนชั้นกลางไม่สามารถยอมรับได้เลย นายกฯ หญิงไม่อยู่ในจินตนาการของชนชั้นกลาง อันนี้เป็นปัญหาเชิงอารมณ์ แต่ถ้าไปมองปัญหาเชิงเหตุผล เราก็จะเห็นว่าปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาเรื่องการจัดการน้ำ ปัญหาน้ำท่วมและน้ำหลากที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตมันเป็นปัญหาที่เกิดจากการ ผูกขาดความรู้ และอำนาจในการจัดการน้ำ ซึ่งสะท้อนปัญหาโครงสร้างทางการเมืองของรัฐไทยที่ไม่เคยเป็นประชาธิปไตย อย่างแท้จริง เป็นอำนาจที่ผูกขาดในระบบราชการ ลักลั่นลุ่มๆ ดอนๆ จะเป็นเผด็จการก็ไม่เป็น จะเป็นแบบอาณานิคมก็ไม่เป็น จะเป็นแบบประชาธิปไตยก็ไม่เป็น ระบบการเมืองไทยตอนนี้เป็นระบบฟิวชั่น ที่นำไปสู่ความยุ่งเหยิงทั้งหลาย ตราบใดที่เราไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม การเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อปรับปรุง ทำให้เกิดการกระจายอำนาจ ปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการทั้งหมดให้มีความชัดเจนในหน้าที่ได้ เราก็จะเผชิญปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ ที่อาจนำมาซึ่งความล้มสลายได้ แต่ Dilemma ของ ปัญหานี้ในสังคมไทย คือ ประชาชน \"สลิ่ม\" ที่เสียงดังที่สุดแล้วก็ครอบครองความศิวิไลซ์ไว้ที่กรุงเทพฯปฏิเสธรัฐบาลที่ มาจากการเลือกตั้งมาโดยตลอด เพราะตัวเองเป็นเสียงส่วนน้อย เมื่อตัวเองปฏิเสธเสียงที่มาจากการเลือกตั้ง ปัญหาก็วนไปที่เราไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างทางการเมืองของสังคมไทยที่ไม่ สามารถแก้ไขปัญหาอะไรเลยได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เยียวยาสังคมไทย คือ การเยียวยาแบบไทยพีบีเอสโดยการใช้มิวสิกวีดีโอปลอบใจกันว่า เราคนไทยจะฝ่าฟันวิกฤตไปด้วยกัน ทำให้คน กทม.รักษาสถานะของความเป็นผู้ให้ เมื่อไหร่ก็ตามที่กรุงเทพฯสูญเสียที่มั่นของการเป็นผู้ที่ปลอดภัยและตัวเองเป็นผู้นำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ในกรุงเทพฯไปแจก นำเอาดาราไปให้ความบันเทิงแก่ผู้ประสบภัย มันจึงนำไปสู่การสร้างตรรกะที่วิปริตต่างๆ เช่น แทนที่จะมองปัญหาน้ำท่วมว่าเขื่อนปล่อยน้ำมาอย่างไร เขื่อนมีไว้เพื่ออะไรกลายเป็นว่าซื้อบ้านมาสิบกว่าล้าน ทำไมบ้านฉันถึงน้ำท่วม กล่าวคือ ไม่สนใจว่าน้ำท่วมไม่เกี่ยวกับว่ากรุงเทพฯมีคลองกี่สาย แต่ราคาของบ้านที่ตัวเองครอบครองต่างหากที่จะเป็นเงื่อนไขว่าน้ำไม่ควรท่วม บ้านตัวเอง ตรรกะของคน กทม.จึงเพี้ยนไปหมด ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าพื้นที่ของตัวเองควรจะเป็นทางให้น้ำผ่านลงทะเลไป ที่มาของเนื้อหา: เรียบเรียงจากเว็บไซต์ประชาธรรม"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net