เปิดรายงาน คอป. ครั้ง2 : ภาพรวมคดีสลายชุมนุม53 – ม. 112 – ต้นตอปัญหา “คดีซุกหุ้น”

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ คอป. ได้ออกรายงานความคืบหน้า “ฉบับที่ 2” (17 มกราคม- 16 กรกฎาคม 2554) ซึ่งมีเนื้อหาใหญ่ แบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลักคือ Ø ความคืบหน้าเรื่อง ความรุนแรงเดือน เม.ย.-พ.ค.53 Ø ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินคดีจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ Ø รากเหง้าของปัญหา โดยเฉพาะการละเมิดหลักนิติธรรม ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในคดี “ซุกหุ้น” ทั้งนี้ คอป.แต่งตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน มีกรรมการ 8 คน และมีอนุกรรมการด้านต่าง 5 ชุด สลายการชุมนุม เกือบ 2 ปี กับข้อเท็จจริงที่ได้ รายงานเน้นการแสดงตัวเลขภาพรวมของคดี ผู้ถูกคุมขัง และกิจกรรมการจัดเวทีรับฟังปัญหาทั่วประเทศของ คอป. Ø การดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งสิ้น 258 คดี โดยแบ่งประเภทความผิดออกเป็น 4 กลุ่มคดี คือ กลุ่มที่ 1 การก่อการร้าย (เหตุร้ายต่างๆ) 147 คดี กลุ่มที่ 2 การขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ 22 คดี กลุ่มที่ 3 การทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ 69 คดี กลุ่มที่ 4 การกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ 20 คดี จากจำนวนคดีพิเศษที่รับไว้ทำการสอบสวนทั้งสิ้น 258 คดี นั้น สอบสวนแล้วเสร็จ 102 คดี มีผู้ต้องหา 642 คน จับกุมได้ 274 คน หลบหนี 366 คน (เสียชีวิตแล้ว 2 คน) Ø คดีวางเพลิง มีทั้งหมด 62 คดี แบ่งเป็น ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 49 คดี และต่างจังหวัด 13 คดี ทั้ง 62 คดี มีผู้ต้องหาทั้งหมด 457 คน จับกุมได้ 144 คน5 โดยมีอาคารสถานที่ถูกเพลิงไหม้ประมาณ 71 แห่ง แบ่งเป็นในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 37 แห่ง และต่างจังหวัด 34 แห่ง Ø สรุปข้อมูลผู้ต้องขังในคดีความผิดต่อพระกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยอดรวมใน 14 เรือนจำและทัณฑสถาน ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 - ผู้ต้องขังระหว่างสอบสวน, พิจารณา จำนวน 64 คน - ผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกา จำนวน 21 คน - ผู้ต้องขังคดีเด็ดขาด จำนวน 20 คน คงเหลือรวมทั้งสิ้น จำนวน 105 คน Ø จัดให้มีโครงการรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย (Hearing) ในแต่ละประเด็นของทุกเหตุการณ์ Ø การเยียวยา ฟื้นฟูเหยื่อ ลงพื้นที่เยี่ยมเยือนผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด , ลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาผู้ถูกคุมขัง , เยี่ยมเจ้าหน้าที่กองทัพเรือและกองทัพบก, จัดตั้งศูนย์ประสานงานเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ Ø จัดจ้างที่ปรึกษา (TOR) โครงการปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง: ศึกษาเฉพาะกรณีจำนวน 6 เรื่อง ได้แก่ โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน, การปฏิรูปองค์การด้านความมั่นคง, มิติสังคมและวัฒนธรรมของความรุนแรงทางการเมืองไทยและแนวทางแก้ไข, การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม, ขอบเขตการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย, รากเหง้าของความขัดแย้งสู่ทางออกเพื่อความปรองดอง ข้อเสนอแนะ คล้ายรายงานครั้งที่ 1 ข้อเสนอแนะโดยสรุปมีดังนี้ Ø รัฐบาลต้องยึดหลักนิติธรรม , ตรวจสอบว่าเจ้าพนักงานปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด , ให้ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ , ตรวจสอบและผลักดันให้ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อได้รับการพิจารณาวินิจฉัยอย่างเท่าเทียมกัน Ø เรียกร้องทุกฝ่ายระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการกระทำการใดๆ ซึ่งอาจเป็นการกระทบกระเทือนถึงบรรยากาศในการปรองดอง Ø ความผิดที่มีมูลฐานเริ่มต้นจากความคิดเห็นในทางการเมือง มีความเห็นว่าการดำเนินคดีอาญาในคดีความผิด -พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 -คดีที่เกี่ยวเนื่องซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองทั้งก่อนและหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.54 -คดีที่เกี่ยวเนื่องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 -พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ควรดำเนินการดังนี้ 1. ตรวจสอบให้ชัดเจนว่าการแจ้งข้อหาและการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาและจำเลยสอดคล้องกับพฤติการณ์แห่งการกระทำหรือไม่ 2. ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้มีการปล่อยชั่วคราวอันเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย เพื่อให้ผู้ต้องหาและจำเลยสามารถต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รัฐบาลควรจะจัดหาหลักประกันให้แก่ผู้ต้องหาและจำเลยทุกคนที่ไม่สามารถจัดหาหลักประกันได้ อนึ่ง พึงตระหนักว่าการถูกตั้งข้อหาร้ายแรงนั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่อนุญาตให้มีการปล่อยชั่วคราว 3. เนื่องจากผู้ต้องหาและจำเลยมิใช่เป็นผู้ร้ายหรืออาชญากรดังเช่นในคดีอาญาตามปกติ แต่เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอันมีมูลเหตุทางการเมือง หากไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว รัฐบาลสมควรจัดหาสถานที่ในการควบคุมที่เหมาะสมที่มิใช่เรือนจำปกติเป็นสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาและจำเลย ดังเช่นที่เคยใช้กับนักโทษทางการเมืองในอดีต 4. สมควรขอความร่วมมือให้อัยการชะลอการดำเนินคดีอาญาเหล่านี้ไว้ โดยยังไม่พิจารณานำคดีขึ้นสู่ศาล โดยรอให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนในทุกๆ ด้าน ในระหว่างศึกษาหลักวิชาการเกี่ยวกับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) และความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) 5. รัฐบาลต้องดำเนินการในเรื่องการเยียวยาอย่างรวดเร็วและจริงจัง ครอบคลุมถึงบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงก่อนและหลังรัฐประหาร ทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่ ชุมชนและย่านการค้าที่กระทบ รวมถึงผู้ต้องขัง กรณีที่ศาลยกฟ้องต้องมีการจ่ายค่าชดเชยที่เหมาะสม ให้น้ำหนักกับปัญหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คอป. แสดงความกังวลต่อเรื่องนี้ค่อนข้างมากเห็นได้จากรายละเอียดที่นำเสนอ (แต่ไม่เห็นจากการรายงานข่าว) เนื่องจากการฟ้องคดีเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ อีกทั้งยังเห็นว่าการดำเนินคดีไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ขณะที่ต่างชาติก็จับตามองและติดตามสถานการณ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงขอให้ดำเนินการดังนี้ 1. ทุกฝ่ายยุติการอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง 2. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ มีกลไกที่สามารถ 3. กำหนดนโยบายในทางอาญาที่เหมาะสม สามารถจำแนกลักษณะของคดีโดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรม เจตนา แรงจูงใจในการกระทำ สถานภาพของบุคคลที่กระทำ และบริบทโดยรวมของสถานการณ์ที่นำไปสู่การกระทำ 4. อัยการควรให้ความสำคัญกับแนวทางการสั่งคดีโดยใช้ดุลพินิจ (OpportunityPrinciple) ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการอันเป็นสากล แม้ว่าคดีมีหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่อัยการต้องให้ความสำคัญกับการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการดำเนินคดีด้วย โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์สูงสุดในการปกป้องและถวายพระเกียรติยศที่เหมาะสมแด่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ อันเป็นแนวทางที่ใช้กันอยู่ในประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น 5. รัฐบาลควรดำเนินการเพื่อให้ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้รับการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากข้อหาที่ร้ายแรงมิได้เป็นเหตุตามกฎหมายที่ทำให้ไม่ได้รับสิทธิการปล่อยชั่วคราวอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย ดังที่ศาลได้อนุญาตให้มีการปล่อยชั่วคราวในคดีที่มีอัตราโทษสูงกว่าอัตราโทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น 6. รัฐบาลควรพิจารณาทบทวนการดำเนินคดีที่นำเอาประเด็นเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาขยายผลในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง อาทิเช่น การกล่าวหาและโฆษณารณรงค์เรื่องขบวนการ \ล้มเจ้า\" ซึ่งอาจมีการตีความกฎหมายที่กว้างขวางจนเกินไปและอาจส่งผลต่อความปรองดองในชาติ และไม่เป็นผลดีต่อการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ในการดำเนินคดีต่อไปจะต้องมีการพิจารณาโดยมีพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเฉพาะบุคคลที่ชัดเจนที่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม 7. รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมไทยได้เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของทุกสังคมในห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การวิเคราะห์ปัญหาสั่งสมยาวนาน ย้ำเริ่มต้นที่พิษ “ซุกหุ้น” ส่วนสุดท้ายของรายงาน เป็นส่วนที่ได้รับการหยิบยกไปเป็นข่าวมากที่สุด เนื่องจากมีการให้น้ำหนักและบรรยายถึง “จุดเริ่มต้น” ของการละเมิดหลักนิติธรรมในปี 2547 ในคดี “ซุกหุ้น” ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยในตอนต้นรายงานได้สรุปว่าจากการทำงานที่ผ่านมากว่าปี คอป.เห็นว่าความรุนแรงในปี 53 เป็นผลของเหตุการณ์ต่างๆ สืบเนื่องการ โดยไล่เรียงสถานการณ์สำคัญ อาทิ การปฏิรูปการเมืองหลังรัฐธรรมนูญ 40

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท