Greg Mortenson จากผู้นำแสงสว่างแห่งความหวังสู่นักโกหกระดับโลก

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

Three cup of Tea เป็นหนึ่งในหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมากในการที่จะทำอะไรเพื่อสังคมและส่วนรวม หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Greg Mortenson และ David Oliver Relin [1] ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2007 และได้กลายเป็นหนังสือขายดีอย่างต่อเนื่องโดยติดอันดับ The New York Times Bestseller ถึง 53 สัปดาห์ จนมีการตีพิมพ์ซ้ำอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ รวมถึงภาษาไทยซึ่งแปลโดยคำเมือง จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สันสกฤต ทั้งนี้ชื่อหนังสือดังกล่าวมาจากสุภาษิตของชาว Balti [2] ที่ว่า

“The first time you share tea with a Balti, you are a stranger. The second time you take tea, you are an honored guest. The third time you share a cup of tea, you become family”

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงเรื่องราวของ Mortenson ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1993 หลังจากที่เขาพยายามที่จะไปพิชิตยอดเขา K2 ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลกที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาคาราโครัม ระหว่างชายแดนปากีสถานและอัฟกานิสถาน แม้ว่าความพยายามครั้งนั้นจะล้มเหลว แต่โชคชะตาก็ได้พา Mortensonไปพบกับมิตรภาพจากหมู่บ้าน Korphe ของชาว Balti กลางหุบเขา ที่ซึ่งนอกจากเขาจะได้รับมิตรภาพอันเปี่ยมล้นจากชาวบ้านที่นั้นแล้ว ที่แห่งนี้ยังได้เปลี่ยนความคิดและชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง

ช่วงเวลาที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้าน ทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตและน้ำใจของชาวบ้านที่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กผู้หญิงที่ยังขาดโอกาสในการศึกษา โดยเขาได้เห็นเด็กในหมู่บ้านเกือบร้อยคนต้องนั่งเรียนกลางแจ้งโดยไม่มีอาคารและอุปกรณ์การเรียนใดๆ และนั่นก็ทำให้เขาเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตจากการพิชิตยอด K2 ไปสู่การสร้างโรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิง

เริ่มจากการตอบแทนพระคุณหมู่บ้านแห่งนั้นด้วยการสร้างโรงเรียนให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้าน โดยได้รับเงินบริจาคจากนักธุรกิจใน Silicon Valley  ก่อนจะขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง ในหนังสือ Three Cups of Tea นั้น Mortensonได้กล่าวถึงอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ การถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ เนื่องจากโรงเรียนของเขานั้นไม่ได้เน้นเรื่องศาสนา หรือปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่นๆ แถบนั้น รวมถึงการที่เขาต้องเสี่ยงตายจากเหตุการณ์ถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มตอลิบาน Taliban) ในปี 1996 โดยภายหลังเมื่อได้รับการปล่อยตัวมา เขาก็ได้กลับไปยังพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้งเพื่อสร้างโรงเรียนให้กับลูกหลานของกลุ่มคนที่เคยจับเขาเป็นตัวประกัน

ทั้งนี้ Mortenson ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันเอเชียกลาง (Central Asia Institute หรือ CAI) [3] ขี้นในปี 1996 เพื่อเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ชนบทของปากีสถานและอัฟกานิสถาน โดยองค์กรดังกล่าวได้สร้างโรงเรียนและสนับสนุนการศึกษาแก่โรงเรียนต่างๆ หลายร้อยโรงเรียน ซึ่งในบางพื้นที่ความช่วยเหลือได้ขยายไปถึงด้านสาธารณสุข และ การพัฒนาชุมชนอีกด้วย [4]

จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้ CAI ได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนมาก รวมถึงจากประธานาธิบดี Barack Obama ที่บริจาคถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯจากเงินรางวัลที่เขาได้จากโนเบลสาขาสันติภาพ โดยในปี 2010 เพียงปีเดียว CAI ได้รับเงินบริจาคถึง 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ CAI ยังได้ดำเนินโครงการที่ชื่อว่า Pennies for Peace ซึ่งร่วมกับโรงเรียนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการระดมเงินบริจาคจากเด็กนักเรียนพร้อมทั้งการปลูกฝังแนวความคิดเรื่องสันติภาพและการไม่ดูถูกชาติพันธุ์ โดยโครงการนี้สามารถระดมเงินบริจาคได้กว่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในขณะที่ตัว Mortenson เองก็ได้รับการเสียงสรรเสริญจากรอบด้าน จนได้รับรางวัลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จนหลายคนยกย่องเขาว่า เป็นผู้ที่จะทำหน้าที่สลายความเกลียดชังของชาวมุสลิมในเอเชียกลางที่มีต่อสหรัฐอเมริกา

ในปี 2009 เขายังได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Stones into Schools [5] โดยเป็นภาคต่อของ Three Cups of Tea เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นการพูดถึงภารกิจของเขาและ CAI ในการพัฒนาอัฟกานิสถานและปากีสถานผ่านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้การศึกษากับผู้หญิงโดย Mortenson มองว่า ผู้หญิงจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่ในเอเชียกลาง โดยในหนังสือได้มีการกล่าวถึงสุภาษิตแอฟริกันที่ว่า “การให้การศึกษากับผู้ชาย ก็คือการให้การศึกษากับคนเพียงคนเดียว แต่การให้การศึกษาแก่ผู้หญิงนั้น เสมือนให้การศึกษากับทั้งหมู่บ้าน” [6]

อย่างไรก็ดี ภาพวีรบุรุษของ Mortenson ต้องมีอันมัวหมอง เมื่อจากการตรวจสอบความจริงของนักเขียนสารคดีมือฉมังนาม Jon Krakauer เจ้าของหนังสือระดับตำนานอย่าง Into Thin Air และ Into the Wild ทั้งนี้ Krakauer นั้น ถือว่าเป็นผู้สนับสนุน CAI มาตลอด แต่ต่อมาภายหลังเขาได้พบความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการดำเนินงานของ CIA จนนำมาซึ่งหนังสือเรื่อง Three Cups of Deceit: How Greg Mortenson, Humanitarian Hero, Lost His Way ในปี 2011 [7] และต่อมาสวรรค์ของ Mortenson ก็พังพินาศลง เมื่อสารคดี 60 minutes ซึ่งออกฉายทางช่อง CBS เมื่อวันที่ 17เมษายน 2011 ได้ทำการเปิดเผยถึงความไม่ชอบมาพากลของ Mortenson และมูลนิธิ CAI โดยมีประเด็นสำคัญคือ [8]

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการปีนเขา K2 ในปี 1993 นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากเขาได้ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งไม่ใช่ หมู่บ้าน Korphe ตามที่เขากล่าวอ้าง แม้ว่าในภายหลังเขาจะบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนที่นั่นจริงๆ แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนังสือของเขานั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากเพื่อนร่วมคณะของเขา และชาวบ้านในหมู่บ้าน Korphe

นอกจากนี้ที่เขาเขียนถึงการถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มตอลิบาน ซึ่งในหนังสือของเขาได้มีการตีพิมพ์ภาพชายชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่ถืออาวุธอยู่ในมือซึ่ง Mortenson ได้อ้างว่า เป็นกลุ่มตาลิบันที่จับตัวเขาไป ทาง 60 Minutes ก็ได้ไปสืบหาจนเจอว่า ชายที่ปรากฎอยู่ในภาพถ่าย ซึ่งพวกเขาเป็นชาวปากีสถานที่ทำหน้าที่เป็นคนคุ้มครอง Mortenson มิใช่กลุ่มตอลิบาน และก็ไม่รู้เลยว่า รูปของพวกเขาได้ไปปรากฎอยู่ในหนังสือขายดีระดับโลก ซึ่งภายหลังก็ยังได้มีคนนำภาพของ Mortensonถือปืนถ่ายรูปกับกลุ่มดังกล่าวอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน องค์กรที่เขาตั้งขึ้นอย่าง CAI ก็ยังถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของการดำเนินการ ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับตัว Mortenson โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ CAI ได้ใช้เงินจำนวนมากไปกับการซื้อหนังสือของ Mortenson เพื่อแจกจ่ายในโอกาสต่างๆ รวมถึงการโฆษณาหนังสือตามสื่อต่างๆ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ Mortenson ใช้ในการเดินทางไปปาฐกถาตามที่ต่างๆ อีกด้วย

แน่นอนว่า Mortenson ย่อมได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการขายหนังสือ รวมถึงเงินที่ได้รับจากการได้รับเชิญไปพูดตามงานต่างๆ ซึ่งมีการประมาณกันว่า ค่าตัวของเขาน่าจะสูงถึง 30,000 เหรีญญสหรัฐฯ ต่อครั้งเลยทีเดียว ในขณะที่ CAI นั้นแทบจะไม่ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ดังกล่าวเลย ซึ่งการตั้งคำถามดังกล่าวยังรวมไปถึงการทำงานในพื้นที่ของ CAI อีกด้วย เนื่องจากทาง 60 Minutes ได้ไปสำรวจพื้นที่ต่างๆ ที่ทาง CAI ได้อ้างว่าได้ให้ความช่วยเหลือ โดยพบว่า บางพื้นที่ไม่ได้มีการสร้างโรงเรียนขึ้นจริงๆ ตามที่ได้กล่าวอ้าง หรือตึกที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นก็ไม่ได้นำไปใช้เป็นโรงเรียน

หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา ความนิยมในตัวของ Mortenson ก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเงินบริจาคให้กับ CAI นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการทางกฎหมายในกรณีของการใช้จ่ายเงินของ CAI โดยทางอัยการทั่วไปของมลรัฐมอนทานา (Montana Attorney General) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ CAI ได้เข้าทำการสอบสวนประเด็นดังกล่าว โดยได้สรุปผลการสอบสวนออกมาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2012 ที่ผ่านมา [9] โดยในรายงานผลการสอบสวนความยาวกว่า 31 หน้านี้ได้ระบุว่า CAI มีปัญหาภายในเกี่ยวกับการบริหารจัดการ โดยองค์กรไม่ได้มีการตรวจสอบภายในและการตรวจสอบด้านการเงินที่ดีเพียงพอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ Mortenson ซึ่งเป็นทั้ง Executive Director และบอร์ด (ซึ่งมีเพียงสามคนรวมทั้ง Mortenson) มีอำนาจในการตัดสินใจบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเจ้าหน้าที่คนอื่นของ CAI ก็มิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นตารางการเดินทางของเขา หรือการใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับเขา

ในรายงานฉบับนี้ยังได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายของ CAI นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา โดยยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับหนังสือของ Mortenson มีถึง 10ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นค่าโฆษณาหนังสือเพียงอย่างเดียวถึงกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของเขานั้นก็สูงถึง 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นค่าเช่าเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของเขาสูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่า ในการที่ Mortensonได้รับเชิญไปพูดในแต่ละครั้งนั้น มีอยู่หลายครั้งที่ผู้จัดงานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางหรือค่าที่พัก ขณะที่ CAI ก็ยังต้องออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เขาอยู่เช่นเดิม เท่ากับว่าเงินส่วนเกินดังกล่าวก็ตกอยู่กับ Mortenson นั่นเอง นอกจากนี้ยังได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายๆ เบ็ดเตล็ดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของ CAI อีกด้วย

ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายของ CAI ภายในประเทศ (Domestic Expense) กลับสูงกว่าค่าใช้จ่ายในต่างประเทศ (International Expense) ทั้งที่การดำเนินงานของทาง CAI นั้นมุ่งไปที่พื้นที่เอเชียกลางเป็นหลัก ซึ่งในรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงการใช้จ่ายเงินอย่างผิดวัตถุประสงค์ของเงินบริจาค อย่างไรก็ตามทาง CAI ได้ชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับหนังสือของ Mortenson นั้นมีความเกี่ยวข้องกับงานของ CAI เนื่องจากมีส่วนช่วยให้องค์กรมีเงินบริจาคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่การดำเนินงานขององค์กรอีกด้วย นอกจากนี้ในรายงานยังระบุถึงแนวทางการปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการบริหาร และการให้ Mortenson จ่ายเงินจำนวนกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คืนให้กับ CAI เนื่องจากการใช้จ่ายเงินที่ผิดประเภทของเขานั้น

ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยขึ้น ทาง Mortenson ก็ได้เก็บตัวและไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยทาง Twitter ส่วนตัวของเขาที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากนั้นก็มิได้มีการกล่าวถึงประเด็นนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยอดผู้ติดตามได้ลดลงอย่างต่อเนื่องนับจากที่ประเด็นดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมา [10] ในขณะที่ทางผู้จัดงานต่างๆ ซึ่งเคยวางแผนให้เขาเป็นผู้กล่าวปาฐกถา ก็ล้วนแล้วแต่ยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับหน่วยงานต่างๆ และมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมอบรางวัลให้กับเขา ก็ล้วนแล้วแต่เหยีบเบรคและกลับตัวกันอย่างอุตลุด นอกจากนี้ยังนำไปสู่กระแสการตรวจสอบการใช้เงินขององค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

แม้ว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ยังให้การสนับสนุน Mortenson และ CAI เนื่องจากมองว่า แม้เนื้อหาในหนังสือจำนวนมากจะเป็นเรื่องโกหก แต่ทาง Mortensonเองก็ได้ทำประโยชน์ให้กับพื้นที่ดังกล่าวไม่น้อย และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก  แต่ภาพวีรบุรุษผู้ถือคบเพลิงแห่งความหวัง ก็กลับกลายมาเป็นจอมปลอมผู้โดนฉีกหน้ากาก สุดท้าย แม้ว่าเขาจะยอมจ่ายเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คืนให้กับ CAI แต่เงินจำนวนดังกล่าวก็มิอาจจะกอบกู้ชื่อเสียงที่ป่นปี้ของเขาได้ และแน่นอนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาก็มีโอกาสกลับไปยืนอยู่นะจุดที่เคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้

เช่นเดียวกับหนังสือของเขาที่เคยมีสถานะที่ทุกคนควรอ่าน เป็นหนังสือที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาในหลายระดับ ถึงแม้เนื้อหาจะยังอยู่คงเดิมทุกตัวอักษร แต่คุณค่าของเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดกลับเหลือน้ำหนักเพียงปุยนุ่น เช่นเดียวกับชื่อของ Greg Mortenson ที่จะถูกจดจำในฐานะคนหลอกลวง ที่เคยสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับผู้คนเพียงเท่านั้น

 

เชิงอรรถ

(1) David Oliver Relin เป็นนักเขียนหลักที่เขียนเรื่องดังกล่าว โดยการบอกเล่าของ Greg Mortensonรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาได้ในเวบไซต์อย่างเป็นทางการของหนังสือที่ http://www.threecupsoftea.comหรือในเวบไซต์ส่วนตัวของเขาที่ http://www.gregmortenson.com

(2) ชาวBaltiเป็นชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่อาศัยกระจายกันอยู่บริเวณเอเชียกลางและเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเทือกเขาคาราโครัม มีภาษาพูดเป็นของตนเอง

(3) รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CAI สามารถดูได้ที่เวบไซต์ของสถาบัน (https://www.ikat.org)

(4) รายชื่อโครงการทั้งหมดของ CAI  (http://www.ikat.org/wp-includes/documents/masterprojectlist.pdf)

(5) หนังสือเล่มดังกล่าวMortensonเขียนร่วมกับGhost Writer สองคนชื่อ Kevin Fedarkoและ Mike Bryan

(6) “If you teach a boy, you educate an individual; but if you teach a girl, you educate a community”จาก Stone into Schools หน้า 13

(7) หนังสือ Three Cups of Deceit: How Greg Mortenson, Humanitarian Hero, Lost His Wayนั้นในช่วงแรกมีจำหน่ายเฉพาะฉบับอิเลคทรอนิคเท่านั้น ต่อมาจึงมีการจัดพิมพ์เป็นเล่มขึ้น

(8) รายการ 60 minutes ที่เสนอเรื่องของ Mortenson http://www.cbsnews.com/video/watch/?id=7363068n

(9) ผลการสอบสวนของอัยการทั่วไปมลรัฐมอนทานา https://dojmt-zippykid.netdna-ssl.com/wp-content/uploads/2012_0405_FINAL-REPORT-FOR-DISTRIBUTION.pdf

(10)

http://twitter.com/#!/gregmortenson

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท