Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

หลังจากที่ผมถูกจับกุมในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกนำตัวขึ้นรถกระบะซึ่งเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ในราชการเดินทางจากกรุงเทพในเวลา  20.30 น.มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ผมถึงเชียงใหม่ในเวลา 06.30น. ของเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน เมื่อถึงเชียงใหม่ทางเจ้าหน้าที่จึงเริ่มสอบสวนผมในทันที โดยสอบปากคำผมถึงเวลา 05.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยไม่ยอมให้ผมนอนเลยตั้งแต่ผมถูกจับตัวมา และยังไม่ยอมให้ผมได้ติดต่อกับทางครอบครัวหรือทนายเลย

จนถึงเวลา 06.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผมไปที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปแถลงข่าวการจับกุมที่ บช.น. ภาค 1 โดยสายการบิน Air Asia ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้แถลงข่าวกับ พล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง และพล.ต. ต วิชัยสังข์ประไพ พร้อมนักข่าวอีกมากมาย หลังแถลงการณ์เสร็จ ผมได้ถูกนำตัวกลับเชียงใหม่ โดยสายการบินไทย เพื่อสอบสวนต่อจนถึงเที่ยงคืน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยินยอมให้ผมนอน เนื่องจากสภาพร่างกายของผมทนไม่ไหวแล้ว จนถึงเวลา 07.30น.ของเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวให้ DSI เพื่อสอบสวนต่อ ทาง DSI ได้พูดจาข่มขู่ผมตลอดเวลา ผมถูก DSI สอบสวนอยู่ 2 วัน ผมจึงขอกลับไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผมทนพฤติกรรมของพวกเค้าไม่ไหว

ในเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพเพื่อมาแถลงข่าวอีกครั้ง ซึ่งตั้งแต่ผมถูกจับกุมจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผมติดต่อกับใครเลย หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ผมจึงถามเจ้าหน้าที่เรื่องสิทธิในการติดต่อญาติ ทางเจ้าหน้าที่จึงบอกว่ากลับถึงเชียงใหม่ก่อน เช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ผมติดต่อกับญาติ ทุกคนดีใจมากเพราะเห็นแต่ข่าว แต่ไม่รู้ว่าผมอยู่ไหน เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน ทุกคนจึงมาเยี่ยมผมที่สถานีตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เจอครอบครัว เพราะหลังจากที่ผมออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2553 ผมก็ไม่ได้เจอกับครอบครัวอีกเลย ญาติผมทุกคนก็สอบถามเรื่องการประกันตัวจากทางเจ้าหน้าที่ แต่ผมถูกคัดค้านการประกันตัว

วันที่ 3 ธันวาคม 2553 ผมถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดนความมั่นคงสูง (กีดกัน) ในทันที ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 15 เมตร มีจำนวนผู้ต้องขัง 36 คน ซึ่งแต่ละคนเป็นคดีอุจฉกรรจ์ทั้งสิ้น ผู้ต้องขังทุกคนเคยออกข่าวทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์มาแล้วทั้งสิ้น แดนความมั่นคงสูงอยู่ที่ชั้น 5 ของตึก ในแดนมีห้อง 5 ห้องจำนวนผู้ต้องขัง 120 คน เป็นแดนเดียวของเรือนจำเชียงใหม่ที่ผู้ต้องขังไม่เคยเห็นดิน และไม่เคยถูกแสงแดดเลย เวลาซักผ้าก็ผึ่งกับพัดลม เวลาญาติมาเยี่ยมก็เยี่ยมผ่านกล้องวีดีโอ เรื่องอาหารก็ค่อนข้างดี เป็นข้าวสวย 6 เดือน ข้าวเหนียว 6 เดือน ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ผมกดดันมาก แต่โชคดีที่ผู้ต้องขังในแดนชื่นชอบพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อไหร่ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล การอภัยโทษหรือลดโทษของผู้ต้องขังนั้นพรรคเพื่อไทยได้ให้มากกว่าที่พรรคอื่นให้ ทุกคนจึงมาคุยสอบถามข้อมูลข่าวสารจากผมตลอดเวลา จึงทำให้ผมพอหายเหงาได้บ้าง และวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดของผมก็คือ การอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์ก่อนนอน เพราะตัวผมเองนับถือเจ้าแม่กวนอิมอยู่แล้ว

การใช้ชีวิตในเรือนจำเชียงใหม่ของผมนั้น ผมอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางญาติไม่มีเงินและอยู่ไกล และทุกคนก็ลำบากอยู่แล้ว ผมจึงรบกวนเงินทางบ้านเดือนละ 800 บาทเพื่อไว้ซื้อของใช้ ทุกๆ วันที่ผมอยู่ที่นั่นผมคิดถึงแต่เรื่องครอบครัวและเรื่องการประกันตัวตลอดเวลา แต่ยื่นประกันตัวกี่ครั้งก็ไม่เคยผ่าน ผมเลยลุ้นให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ โดยการถามข่าวการเมืองจากผู้คุมทุกวัน เพราะที่นั่นไม่ให้ดูข่าว พอผมทราบมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ยอมให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 3 กรกฎาคม ผมจึงเชิญชวนผู้ต้องขังที่มีญาติมาเยี่ยมให้ช่วยกันเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันบอกญาติให้เลือกพรรคเพื่อไทย ถึงมันจะเป็นการกระทำที่เล็กๆ น้อยๆ แต่ผมขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อพรรคการเมืองที่ผมรักบ้างก็ยังดี และในวันที่ชัยชนะมาถึง วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ผมได้ทราบข่าวการเลือกตั้งจากผู้คุมว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ทุกๆ คนดีใจกันมาก ซึ่งนั่นหมายถึงการอภัยโทษที่จะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบรอบ 84 พรรษาซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ดำเนินการนั่นเอง ซึ่งผมก็ดีใจเพราะผมจะได้มีโอกาสในการยื่นประกันตัวอีกครั้ง แต่แล้วความฝันของผมก็พังทลายลงไป

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 มีคำสั่งย้ายผมด่วน เนื่องจากกลัวว่าจะมีคนช่วยผมออก ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางพิษณุโลก ระหว่างการย้ายทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้ผมเข้าห้องน้ำเลย ทั้งๆ ที่ขาทั้ง 2 ข้างของผมก็มีเครื่องพันธนาการ (โซ่ตรวน) อยู่ ไม่มีอาหารให้รับประทาน ทันทีที่มาถึงเรือนจำกลางพิษณุโลก ผมก็ถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 2 โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 9 เมตรมีผู้ต้องขัง 16 คนอากาศที่นี่ดีมากๆ เพราะมีต้นไม้และสนามหญ้า แต่ผมก็ไม่ได้ออกจากห้อง เพราะผมต้องถูกขังเดี่ยว ทุกวันผมเฝ้ามองธรรมชาติผ่านลูกกรง ถึงแม้จะเครียด แต่อากาศที่นั่นก็บริสุทธิ์ ผมใช้ธรรมชาติในการบำบัดความเครียด แต่หลังจากที่ผมย้ายออกมาจากเรือนจำกลางเชียงใหม่ ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องประกันตัวอีกเลย

เช้าวันที่ 11 สิงหาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการเช่นเคย ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x่ 12 เมตร ทุกๆ วันผมได้แต่ยืนมองเพื่อนผู้ต้องขังจากในห้อง เพราะมีคำสั่งให้ขังเดี่ยวผมในตอนกลางวัน แต่อยู่ที่นี่ผมไม่ค่อยเครียดเพราะอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งทุกคนในครอบครัวของผม ผลัดกันมาเยี่ยมทุกวัน กลับจากการเยี่ยมญาติผมก็อ่านหนังสือ ผมจึงไม่มีแรงกดดันใดๆ ผมทำทุกอย่างซ้ำๆ จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไป

เช้าวันที่ 29 กันยายน 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำพิษณุโลก (คนละแห่งกับเรือนจำกลางพิษณุโลก) ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 5 ทางผู้คุมส่งตัวผมเข้าห้องขังเดี่ยวทันที การมาที่นี่ของผมทำให้ผมเครียดมาก เพราะห้องขังเดี่ยวกว้างเพียง 2 x 4 เมตรเป็นห้องมืดนอนคนเดียวและขาทั้งสองข้างก็มีเครื่องพันธนาการ ผมกลายเป็นเหมือนคนบ้า ที่ประตูห้องจะมีช่องสำหรับส่งอาหารจากทางผู้คุม ผมจะไปรับแสงแดดช่วงที่ผู้คุมนำอาหารมาส่งให้ ที่นี่มีห้องขังเดียวทั้งหมด 10 ห้องเพราะใช้คุมขังผู้ต้องขังที่ผิดระเบียบวินัยของทางเรือนจำ จะไม่เคยมีใครเห็นหน้ากัน ทุกๆวันผมได้แต่สวดมนต์ภาวนาขอให้ใครซักคนนึกชื่อผมได้ แล้วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผม หรือให้ส่งตัวผมไปที่เรือนจำอื่นเร็วๆ แล้วสิ่งที่ผมเฝ้ารอก็มาถึง

เช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำจังหวัดพะเยา เมื่อผมมาถึงที่เรือนจำจังหวัดพะเยา เหมือนสวรรค์มาโปรดผม เพราะขาทั้ง 2 ข้างที่ใส่เครื่องพันธนาการมาตั้งนาน ได้ถูกถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 9 x 18 เมตร แต่จำนวนผู้ต้องขังในแต่ละห้องมีมากถึง 127 คน ซึ่งถือว่าแออัดทีเดียว อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ใส่ในถาดหลุม 1 หลุม 1 ถาดรับประทาน 4 คน ซึ่งไม่อิ่มแน่ น้ำที่นี่ค่อนข้างขาดแคลน ในช่วงที่ผมย้ายมาจากเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ทุกคนจะเรียกผมว่า “จิ้งจก” เพราะผมขาวจนซีด แต่พอผมมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ดำเท่าเทียบกับผู้ต้องขังคนอื่น อยู่ที่นี่ผมเครียดมาก เพราะมีเวลามากเกินไป ที่นี่มีห้องนอนธรรมะ ซึ่งในทุกเช้าเวลาตี 5 ผมจะตื่นมาฟังเพื่อนผู้ต้องขังที่นอนในห้องธรรมะสวดมนต์ทำวัดเช้าเป็นประจำ ซึ่งพอจะช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง

เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางเชียงราย หรือ ดอยฮาง ที่นี่มีสโลแกนว่า “สวิตเซอร์แลนเมืองไทย” ห้องที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง 32 คน อากาศที่นี่ดีมาก ตื่นเช้ามาจะมองเห็นทะเลหมอกในเรือนจำ อากาศก็บริสุทธิ์ อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ช่วงที่ผมอยู่ที่นี่ผมได้ฝึกวิชาชีพในโรงงานสานอวน ทุกๆ วันผมต้องทำงานทั้งวัน จึงไม่ค่อยมีเวลามาคิดเรื่องอื่นให้เครียด แต่ในใจของผมก็ยังต้องการให้ใครมาช่วยเหลือ เพราะอีกไม่กี่วันผมก็จะได้ฉลองปีใหม่ในเรือนจำเป็นปีที่ 2 ผมเหมือนคนที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะไม่มีญาติมาหาเลย แต่ก็มีเพื่อนๆ ผู้ต้องขังคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันเสมอ และผมต้องทำงานเพื่อให้ลืมความเครียดทั้งหมด ในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ผมได้ยืนดูพลุผ่านลูกกรง และนับถอยหลังในเรือนจำอีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ท้อ ผมยังคงรอให้ใครซักคนข้างนอกเป็นห่วงผมบ้าง แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับกำลังใจก้อนโต ผมได้รับ ส.ค.ส. จากกลุ่มเพื่อนนักโทษทางการเมือง เป็น ส.ค.ส. อวยพรปีใหม่ที่อวยพรมาจากพี่น้องคนเสื้อแดงหลายๆ คน ใครอาจจะมองว่า ส.ค.ส นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันคือกำลังใจ ที่มากมายมหาศาลและอย่างน้อยก็ยังมีคนที่นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผมอีกคนที่อยู่ในเรือนจำ ทุกคืนก่อนนอนผมต้องนำส.ค.ส นั้นขึ้นมาอ่านเพื่อเสริมสร้างกำลังใจของผมให้เข้มแข็งและช่วยให้หายเหงาได้

เช้าวันที่ 18 มกราคม 2555 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษพัทยา ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 5 ห้องนอนที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร แต่นอนอึดอัดมากทั้งที่ในห้องนอนมีผู้ต้องขังเพียง 67 คน เพราะที่นี่จะมีผู้ต้องขังเก่าหรือที่เรียกกันว่า “ขาใหญ่” ทุกห้องในห้องจะเหลือเนื้อที่เพียง 3 x 3 เมตร เพื่อสำหรับให้ผู้ต้องขังใหม่จำนวนกว่า 40 คนได้นอนซึ่งทุกคนต้องนอนทับกัน การอาบน้ำใน 1 วันมีเวลาอาบแค่ 1 นาทีเดินออกมาจากห้องน้ำบางครั้งสบู่ยังเต็มตัวอยู่เลย น้ำดื่มก็ขาดแคลน ผู้ต้องขังที่นี่จะมีโรค ผื่น ฝี และหิดกันทุกคน เรื่องอาหารก็ต้องซื้อกินอย่างเดียว ส่วนตัวผมนั้นมีพี่น้องเสื้อแดงทั้งจาก ชลบุรี,สมุทรปราการ,กรุงเทพ และจังหวัดใกล้เคียงผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมทุกวัน ทุกๆ คนช่วยให้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ถึงแม้จะไกลและลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ผมคงทำได้เพียงแค่ เอ่ยคำว่า “ขอบคุณ”เท่านั้น

เช้าวันที่  9 กุมถาพันธ์ 2555 ผมถูกส่งตัวมายัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 1 ซึ่งเป็นการย้ายเรือนจำครั้งที่ 8 ของผมห้องนอนที่นี่กว้าง 6 x 12 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง  31 คน ที่นี่สะอาดและเป็นระเบียบทุกอย่าง อาหารการกินก็ได้กินทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา อยู่ที่นี่ผมได้พบกับพี่สมยศ พฤกษาเกษมสุข,พี่สุรภักดิ์ ภูไชยแสง,อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) และพี่น้องทุกคนที่ยังอยู่ที่นี่ เราทุกคนพูดคุยปรึกษากันได้ และมีพี่น้องคนเสื้อแดงมาคอยให้กำลังใจพวกเราตลอดเวลา ถึงผมจะห่างครอบครัวมานาน แต่ผมก็ไม่เหงา เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง มีเท่าไหร่ก็แบ่งกันเท่านั้น พี่น้องเสื้อแดงทุกคนคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม ทุกคนคือครอบครัวผม กำลังใจทั้งหมดที่ผมมี ก็มาจากพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ไม่ว่าจะในเรือนจำหรือข้างนอก ทุกคนคอยให้กำลังกันเสมอ ในเร็วๆนี้ผมต้องย้ายไปที่ เรือนจำปทุมธานี อีกครั้ง ผมคงต้องห่างกับทุกๆ คนอีกครั้ง แต่พี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน จะอยู่ในใจของผม “ตลอดกาล”

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอขอบคุณน้องสาวที่แสนดีผู้ติดตามข่าวของผมตลอด และคอยเยี่ยมคอยดูแลผมเสมอ คือน้องเปิ้ล (กริชสุดา) และพี่เมย์ (แดง E.U) ที่คอยห่วงคอยดูแลผมขอบคุณ D.J อ้อม (กัญญาภัคร) ที่ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็ยังคอยมาเยี่ยม และขอบคุณพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ผมอยากบอกรัฐบาลและทุกๆ คนว่า พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ขอเพียงทุกๆ ฝ่ายเดินหน้าแก้ปัญหา เพื่อพาพวกเราที่เหลือ ทั้งที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ และที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้กลับบ้านให้หมดทุกคน พวกเราจะได้ออกไปเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับท่านอีกครั้ง ฝากถึงญาติพี่น้องผู้ต้องขังทุกคนว่า ทุกคนในนี้ต้องการกำลังใจจากท่าน ขอเพียงแค่ท่านเขียนจดหมายมาหา ทุกคนก็ดีใจมากแล้ว ฝากถึงสังคม ทุกคนในนี้ไม่ใช่คนไม่ดี ขอเพียงแค่เวลาที่พวกเค้าได้กลับออกไป พวกคุณและสังคมโปรดให้โอกาสเขาบ้าง เขาทุกคนจะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศของเราให้สืบต่อไป

 

                                    ขอขอบคุณทุกกำลังใจ

                                    วัลลภ   พิธีพรม

                                       19    มีนาคม    2555

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net