ถ้ามองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ปี 2516 อันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.2517 หรือหลังการต่อสู้ของประชาชนปีพ.ศ.2535 และการได้มาของรัฐธรรมนูญปีพ.ศ.2540 ที่ก้าวหน้ากว่ารัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นที่มาจากการทำรัฐประหาร ดูคล้าย ๆ เป็นผลจากการต่อสู้ของประชาชนในปีพ.ศ.2516 และปีพ.ศ.2535 เป็นลำดับ แต่ถ้าดูความจริง รัฐธรรมนูญทั้งฉบับปีพ.ศ.2517 และปีพ.ศ.2540 แม้จะก้าวหน้ากว่าฉบับของเผด็จการทหารก็ตาม แต่กลุ่มบุคคลที่มีบทบาทร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับยังอยู่ในกลุ่มของเครือข่ายระบอบอำมาตย์ ในฐานะสายพลเรือนที่ไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง รอบแรกนำโดยม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช รอบปีพ.ศ.2540 นำโดยคุณอานันต์ ปันยารชุน
เมื่อมาพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.2550 มีที่มาจากเผด็จการทหาร แต่ผู้ร่างเป็นคณะอำมาตย์สายพลเรือนมือชั้นเซียนที่ระดมกันมาในฐานะสภานิติบัญญัติที่แต่งตั้งโดยคมช. รวมมือชั้นเซียนของระบอบอำมาตย์ทางกฎหมายไว้หมดเต็มคณะ
มือเซียนเขียนรัฐธรรมนูญฉบับอภิมหาอำมาตยาธิปไตยไม่ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยล็อคไว้ที่มาตรา 165 ป้องกันการทำประชามติเพื่อไม่ให้มีผลลบล้างประชามติเดิมที่ได้รับรองรัฐธรรมนูญ 2550 ไว้ ที่ตั้งใจสร้างความชอบธรรมไว้ให้กับรัฐธรรมนูญ 2550 ในกติกาที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก เป็นเสียงข้างมากธรรมดาในครั้งนั้น แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เขียนล็อคไว้ในมาตรา 165 ทั้งเรื่องตัวเลขที่ต้องใช้เสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงทั่วประเทศ (แม้พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญจะแบ่งเป็น 2 ขยักก็ตาม ขยักแรกก็ต้องมาออกเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ ขยักที่สองใช้เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ์ และถูกตีความโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่ได้แย้งกับมาตรา 165 ก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ฟ้องร้อง)
หมายความว่า จงใจจะให้การทำประชามติใหม่เพื่อแก้ไขตามมาตรา 165 เป็นไปได้ยากมากในเรื่องตัวเลข ยังวางหลุมระเบิดในแง่เนื้อหา ห้ามทำประชามติในเรื่องที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือคณะบุคคล ซึ่งแน่นอนว่าจะถูกฟ้องแย้งแน่นอน แม้นว่าผ่านด่านเรื่องตัวเลขมาแล้วก็ตาม การทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ทันที
นี่จึงมีความหมายทางการเมืองมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่ากระบวนการศาลรัฐธรรมนูญเข้ามารับช่วงต่อหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจยับยั้งการโหวตผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 1, วาระ 2 ไปแล้ว เหลือเวลา 15 วันจะลงมติก็เจอใบสั่งหยุดทันที อันเนื่องมาจากมีการฟ้องร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็แหกด่านอัยการสูงสุดมารับเรื่องฟ้องร้องโดยตรงอย่างรวดเร็ว เพื่อทำการวินิจฉัย
กระบวนการทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกถึงการป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 อย่างสุดฤทธิ์ ไม่ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผู้วิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่ใน
ระหว่างการประกันตัวก็ถูกถอนประกัน เช่น ก่อแก้ว พิกุลทอง, ยศวริศ ชูกล่อม สำหรับจตุพร พรหมพันธ์ ก็เกือบไป
ทั้ง ๆ ที่รัฐสภาและรัฐบาลได้ปฏิบัติตามข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญทุกประการ ก็ยังต้องหยุดชะงักดื้อ ๆ ไม่กล้าเดินหน้าต่อ แม้จะวินิจฉัยว่าไม่ได้ล้มล้างการเมืองการปกครอง แต่ก็ส่งคำเตือนแปลกประหลาดที่ไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญรองรับ มีแต่อ้างเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ (เจตนารมณ์ของผู้ร่างบางส่วน!) ซึ่งเมื่อผู้เขียนอ่านทั้งคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตน ก็มึนว่าคำวินิจฉัยกลางไม่ได้มาจากคำวินิจฉัยรวม แต่เป็นแง่คิดของตุลาการบางท่านเท่านั้น เพราะ
การวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่สอง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติม โดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่
ได้อ้างอำนาจการก่อตั้งองค์กรสูงสุดทางการเมืองหรืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของประชาชนที่เหนือรัฐธรรมนูญ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้องค์กรนั้น (หมายถึงรัฐสภา) ใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากรัฐธรรมนูญนั้น กลับไปแก้รัฐธรรมนูญนั้น เหมือนการใช้อำนาจแก้ไขกฎหมายธรรมดา
นี่เป็นความเห็นในตอนต้น
ต่อมาได้อ้างการตรารัฐธรรมนูญ 2550 มีกระบวนการผ่านการลงประชามติโดยตรงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ประชาชนจึงเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังนั้นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 แม้จะเป็นอำนาจของรัฐสภาก็ตาม แต่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ยังไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ก็ควรจะได้ให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อน ว่าสมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือรัฐสภาจะแก้เป็นรายมาตราก็เหมาะสม จากนั้นไปอ้างในประเด็นที่สามว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการให้มีวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นรายมาตรา
ในความเห็นที่กล่าวมาข้างบนนี้ มิได้อ้างบทบัญญัติใด แต่อ้างเจตนารมณ์ มาตรา 291 ซึ่งมิได้มีอะไรนอกจากให้รัฐสภาลงมติผ่านวาระ 1, วาระ 2 แล้วลงมติวาระ 3 หลัง 15 วันที่ผ่านวาระ 2 ที่สำคัญคำวินิจฉัยกลางนี้ไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 ท่าน กล่าวคือ ผู้มีความเห็นให้ทำประชามติเสียก่อนตามความเห็นกลางมีนายเฉลิมพล เอกอุรุ เพียงท่านเดียว ส่วนนายนุรักษ์ มาประณีต อ้างมาตรา 68 วรรค 1 อ้างว่า รัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เทียบกับอดีตไม่ได้ เพราะในอดีตยังไม่มีศาลรัฐธรรมนูญและไม่มีบทบัญญัติเรื่องพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (ของคณะรัฐประหาร!) ในส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จึงไม่ให้ทำการแก้ไขตามร่างแก้ไข ตามมาตรา 291 คนที่สามคือ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ให้แก้ได้เป็นรายมาตรา ใช้สภาร่างไม่ได้ ส่วนนายจรูญ อินทจาร ให้แก้ไขได้แต่ให้ทำประชามติทีหลัง อีก 4 คนที่เหลือล้วนให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติทำได้และหรืออ้างว่าไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบวินิจฉัยประเด็นนี้ได้แก่ ชัช ชลวร, วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์, บุญส่ง กุลบุปผาและอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
นี่จึงเป็นเรื่องที่สังคมต้องศึกษาว่าเป็นคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำ และมีกฎหมายบทบัญญัติใดรองรับ หรือเป็นคำแนะนำลอย ๆ โดยอ้างเจตนารมณ์ (ของคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ?) ของรัฐธรรมนูญ
เมื่อพิจารณามาตรา 291 ที่ใช้แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่มีการบ่งบอกใดว่าให้มีการทำประชามติเพื่อกลับไปถามประชาชนในฐานะผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด กลับเป็นเรื่องเกินเลยกว่าบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ น่าสงสัยว่าทำเกินกว่ารัฐธรรมนูญได้หรือไม่ (อาจถูกฟ้องร้องได้เช่นกัน)
และเมื่อพิจารณามาตรา 165 บทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยประชามติ ก็กลับห้ามทำประชามติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ (แปลว่าจะทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ไหม?)
ดังนั้น แผนล้ำลึกอำมาตย์ให้ทำประชามติเพื่อรับรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วออกมาหลอกประชาชนให้รับ ๆ ไปเพื่อจะได้เลือกตั้ง หาไม่จะไปเอารัฐธรรมนูญฉบับใดก็ได้แล้วแต่คมช.เลือก จึงเป็นความหลอกลวง ฉ้อฉลทางการเมืองอย่างไร้ยางอาย ไร้ศักดิ์ศรี ขอให้รัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านประชามติก่อนโดยวิธีการสกปรกอย่างไรก็ได้ ยิ่งกว่านั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญและผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญนี้ก็มาเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญเสียงเอง ทั้ง ๆ ที่มีเสียงเดียวและแนวร่วมอีก 2 คน ก็ยังทำให้ความเห็นกลุ่มข้างน้อยมาเป็นความเห็นส่วนกลางได้ ? และจะถือเป็นคู่กรณีขัดแย้งมาตัดสินเองได้หรือไม่?
เมื่อเราจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงต้องตระหนักถึงการวางกับระเบิดเป็นทุ่งสังหารเต็มพื้นที่หมด แถมมีสไนเปอร์เป็นชุด ๆ เป็นระยะ ๆ ผ่านด่านวาระที่ 1, ที่ 2 แล้ว จึงมาพบด่านใหญ่ฉับพลันทันที ผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าหลักการที่ต้องยึดในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ
-
ต้องยึดหลักถูกต้องตามหลักกฎหมายและบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าทำผิดก็เป็นระเบิดชุดใหญ่ทีเดียว คือปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญทั้งในการทำตามอำนาจหน้าที่, ระบุไว้ให้เคร่งครัดเพื่อการต่อสู้ตามหลักกฎหมายและรัฐธรรมนูญในการนี้จึงควรปฏิบัติตาม มาตรา 291 และมาตรา 165 อย่างเคร่งครัด
-
หลักการแบ่งแยกอำนาจตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญก็ต้องยึดมั่นในหลักการ ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจอื่นตามรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นจะขาดความชอบธรรมในการต่อสู้ในสังคมและตามตัวบทกฎหมาย นั่นคือ ฝ่ายบริหารไม่ควรทำแทนฝ่ายนิติบัญญัติ แม้จะเป็นคำแนะนำ (ถ้าไม่มีกฎหมายรองรับ) นี่ไม่ใช่อำนาจฝ่ายบริหารในการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ถ้าทำท่านอาจถูกฟ้องร้องได้เช่นกัน
การทำประชามติตามคำแนะนำเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารก็จริง เพราะเขาให้ทำได้ 2 กรณีคือเพื่อเป็นการให้คำปรึกษาในเรื่องสำคัญ หรือเพื่อหาข้อยุติตามกฎหมายบัญญัติ (และต้องไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ อย่าลืม)
ลงท้ายทำประชามติแล้วก็ไม่ผูกพันกับฝ่ายนิติบัญญัติแต่ประการใด แต่เพื่อให้รัฐบาลสบายใจ ฝ่ายนิติบัญญัติสบายใจว่าได้ปฏิบัติตามคำแนะนำ (ที่เลื่อนลอย) และอาจให้ผ่านหรือคว่ำในการลงมติวาระ 3 ก็ได้ ความจริงก็เพื่อให้คว่ำมากกว่า นี่เป็นทัศนะของผู้เขียน เพราะแม้จะผ่านตัวเลขผู้ออกเสียงได้ ก็จะพบกับด่านเนื้อหาว่าทำไม่ได้อยู่ดี นี่ก็คือการถูกบังคับให้เล่นตามเกมส์อำมาตย์โดยแท้
ถ้าผ่านประชามติไปก็จะเจอความขัดแย้งต่อสู้รุนแรงจากกลุ่มอำมาตย์ไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญอยู่ดี ส.ส., ส.ว. ก็จะกลัวเหมือนเดิม ไม่กล้าโหวตให้ผ่านวาระ 3 อีก
-
หลักการได้หรือเสียหายกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในการทำประชามติแบบยุติ ถ้าไม่ผ่าน ความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ก็หมดไปทันที พวกเขาจะออกมาส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ว่าแก้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญไม่ให้แก้ไข ซ้ำยังผ่านการรับรองจากประชามติ 2 ครั้ง เป็นอันว่าจบกันสำหรับการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ประเทศนี้เข้าสู่การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไทยแท้จริง เพราะถูกยึดติดกับรัฐธรรมนูญของระบอบอำมาตย์ไปชั่วนิรันดร
นี่ไม่ใช่เป็นอย่างที่นักการเมืองพูดกันว่า ถ้าประชามติไม่ผ่านก็แก้เป็นรายมาตรา เพราะชาติหน้าตอนบ่ายคุณก็แก้ไขอะไรแทบไม่ได้ เขาจะยอมให้คุณแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาอนุญาตเท่านั้น จบกันประเทศไทย!!! ประชาชนไทย!!! แล้วอนาคตจะอยู่อย่างไร? จะต้องสู้กันแบบไหนอีก? ผู้เขียนมองเห็นมีแต่ความมืดและเสียงคร่ำครวญโหยหวนของประชาชนทั้งที่มีชีวิตและที่ตายไปแล้ว.......
เส้นทางของขบวนการประชาธิปไตยต้องยืนหยัดในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าทุกอย่างเดินไปได้ในระบบก็ต้องโหวตวาระสามในสภา ไม่ว่าคุณจะทำสานเสวนาหรือทำประชามติแบบปรึกษาหารือหรือแบบยุติ ก็ต้องโหวตวาระ 3 ซึ่งแน่นอนทำแบบไหนก็ถูกคัดค้านฟ้องร้องยุบพรรคหรือจัดการรัฐบาลอยู่ดี
แล้วถ้าแก้ไม่ได้ โหวตวาระสามไม่ผ่าน ก็อาจพยายามใช้ร่างอื่นเช่น ร่างรัฐธรรมนูญ 40, ร่าง คปพร. หรือร่างของ นปช.ที่ค้างอยู่ มาโหวตใหม่ ซึ่งก็คงยากอีกแล้ว ถ้าแก้ในระบบไม่ได้ประเทศไทยก็ถึงทางตันแน่นอน กลายเป็นว่าการต่อสู้ในระบบไม่สัมฤทธิ์ผล ผู้เขียนไม่อยากทำนายอนาคตประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไร?