อ่านคำแถลงปิดคดีของฝ่ายจำเลย สมยศ พฤกษาเกษมสุข ฉบับเต็ม

หมายเหตุ ประชาไทคงเลขไทยและเลขหน้าซึ่งคั่นอยู่ระหว่างเนื้อหาตามต้นฉบับ

          ( ๗ ) 

คำร้อง แถลงการณ์ปิดคดี                                                                               คดีหมายเลขดำที่    อ.๒๙๖๒     /๒๕ ๕๔
                                                                                                                           คดีหมายเลขแดงที่                /๒๕  
            
                    
                                                                                                                           ศาล อาญา                                                                        วันที่ ๒๘ เดือน ธันวาคม   พุทธศักราช  ๒๕๕๕  

   ความ อาญา    

   พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ ๔ สำนักงานอัยการสูงสุด    โจทก์

ระหว่าง

           นายสมยศ   พฤกษาเกษมสุข        จำเลย

 

          ข้าพเจ้า     นายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข        จำเลย                    

            
เชื้อชาติ             ไทย                         สัญชาติ            ไทย                                       อาชีพ              ธุรกิจส่วนตัว    
เกิดวันที่                -                            เดือน           -      พ.ศ.       -        อายุ       -         ปี  อยู่บ้านเลขที่        ๔๖/๔๒๘     
หมู่ที่             -                                     ถนน             ประชาอุทิศ            ตรอก/ซอย          ประชาอุทิศ  ๒๘            
ใกล้เคียง                 -             ตำบล/แขวง            ดอนเมือง     อำเภอ/เขต               ดอนเมือง    
จังหวัด                                    กรุงเทพมหานคร            โทรศัพท์                     -                 
 

ขอยื่นคำร้องมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้
              

 

ข้อ ๑. คดีนี้เสร็จสิ้นการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ศาลนัดพร้อมล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. โดยให้จำเลยแถลงการณ์ปิดคดีก่อนมีคำพิพากษาจำเลยขอประทานอนุญาตยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาของศาล ดังจะประทานกราบเรียนต่อไปนี้    

ข้อ ๒. ตามฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่าเมื่อระหว่างวันที่  ๑๕  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๓  เวลากลางวัน  ถึงวันที่  ๑๕  มีนาคม  ๒๕๕๓  เวลากลางวันต่อเนื่องกัน และวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เวลากลางวันถึงวัน ๑๕ 

หมายเหตุ*    ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่  ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว
                                     ........................................................……...ผู้ร้อง

- ๒  -

มีนาคม ๒๕๕๓ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยได้บังอาจกระทำการหมิ่นประมาท  ดูหมิ่น  และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย  ด้วยการดำเนินการจัดพิมพ์  จัดจำหน่าย  และเผยแพร่  ต่อประชาชน  ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักรไทย  ซึ่งนิตยสาร Voice of Taksin: เสียงทักษิณ  ปีที่๑ ฉบับที่ ๑๕ ปักษ์หลัง  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๓  บทความคมความคิดของผู้ใช้นามปากกาว่าจิตร  พลจันทร์  เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น  หน้าที่ ๔๕-๔๗ และนิตยสาร Voice of Taksin: เสียงทักษิณ  ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๖ ปักษ์แรกมีนาคม  ๒๕๕๓  บทความคมความคิดของผู้ใช้นามปากกาว่าจิตร  พลจันทร์  เรื่อง ๖ ตุลาแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓   หน้าที่ ๔๕-๔๗  ตามลำดับ  

จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหาและถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันจับกุมคือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔  จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลานานกว่า 1 ปี  ๘ เดือนแล้ว โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแม้จะได้ยื่นขอประกันตัวรวม ๑๑ ครั้งแล้ว        

ข้อ ๓.ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยกระทำตัวเป็นบรรณาธิการของนิตยสาร voice of Taksin เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจคนสุดท้ายในการนำบทความตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ ที่มีข้อความดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ลงพิมพ์เผยแพร่ซึ่งสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ เป็นคนไม่ดี มีพฤติกรรมอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เสียหายแก่บ้านเมือง โดยพยานโจทก์ที่มาเบิกความต่อศาลแบ่งเป็นกลุ่มข้าราชการเจ้าหน้าที่สำนักหอสมุดแห่งชาติ เลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มนักศึกษา พยานส่วนใหญ่ของโจทก์ให้ความเห็นว่าผู้เขียนบทความทั้งสองบทความมีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท หรือแสดงความ อาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ เฉพาะศาสตราจารย์พิเศษธงทองดูเอกสารหมาย จ.๒๔ แล้วเบิกความว่า ไม่ได้ให้ความเห็นว่าเข้าค่ายหมิ่น

       (๔๐ ก.)     - ๓ -

สถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ แต่ได้ให้ความเห็นว่าข้อความที่ปรากฏอยู่ในหน้า ๔๖ ตรงคำว่า “โคตรตระกูล” นี้นั้นหมายถึงราชวงศ์จักรี และไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับเอกสารหมาย จ.๒๕    

ข้อ ๔. ทางการนำสืบของจำเลยอ้างว่าไม่ใช่ผู้เขียนบทความที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ การดำเนินคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยจัดชื่อจำเลยและนิตยสาร Voice of Taksin อยู่ในผังล้มเจ้า จำเลยมิใช่บรรณาธิการเป็นแต่เพียงพนักงานคนหนึ่งของนิตยสาร Voice of Taksin  จำเลยไม่มีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันฯ อีกทั้งตาม พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีบทบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๔  พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือที่ตนเป็นบรรณาธิการ จำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรค ๑ โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่   ๖๒๖๘/๒๕๕๐ วางแนวบรรทัดฐานไว้ด้วย ประกอบกับบทความที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ยังตีความไม่ได้ว่าเป็นบทความที่ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันฯ อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒

 ข้อ ๕. จากการนำสืบของโจทก์และจำเลยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้  

๕.๑ ผังล้มเจ้าไม่มีอยู่จริง กล่าวคือ ก่อนจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีนี้  จำเลยประกอบอาชีพสื่อมวลชน เป็นพนักงานคนหนึ่งของนิตยสาร Voice of Taksin : เสียงทักษิณ ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท เกิดความวุ่นวาย ทำให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แก้ไขความไม่สงบ ศอฉ. ได้แจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลตามแผนผังซึ่งประชาชนทั่วไปเรียกว่า ผังล้มเจ้า ซึ่งมีชื่อของจำเลยและนิตยสาร Voice of Taksin ปรากฏอยู่ในผังดังกล่าว และต่อมาปรากฏว่าผังล้มเจ้าไม่มีมูลความจริงพนักงานสอบสวนและอัยการไม่ได้มีการดำเนินคดีบุคคลต่างๆ ซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่ในผังล้มเจ้า

- ๔ -

ปรากฏตามตามคำเบิกความของนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ พนักงานสอบสวนคดีนี้เบิกความตอบโจทก์เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๑ บรรทัดที่ ๓ – ๕ ติดต่อกับหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๑-๒  นับจากบนลงล่าง  ความว่า “ช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๓ เกิดความวุ่นวายมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำให้มีการตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นมาบริหารแก้ไขความไม่สงบ ศอฉ.ประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้นจึงได้มีหนังสือแจ้งไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลตามแผนผัง ซึ่งประชาชนทั่วไปจะเรียกว่า “ผังล้มเจ้า” โดยที่พยานปากนี้ได้เบิกความตอบถามค้านทนายจำเลยในวันเดียวกันว่า ผังล้มเจ้าไม่มีที่มาที่ไป ปรากฏตามคำเบิกความในหน้าที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๒ – ๕ นับจากบนลงล่าง ความว่า “ จึงไม่ทราบว่าความเห็นของคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้ลงความเห็นว่าผังล้มเจ้าไม่มีจริงและยุติการดำเนินคดีหรือไม่ พันตำรวจเอกประเวศน์อาจแจ้งเรื่องสั่งไม่ฟ้องบุคคลดังกล่าวในที่ประชุม แต่ข้าฯไม่ได้เข้าร่วมประชุมจึงไม่ทราบ และทราบจากที่เป็นข่าวในสื่อมวลชนจากการสัมภาษณ์ของพันตำรวจเอกประเวศน์ว่าผังล้มเจ้าไม่มีที่มาที่ไป ”      

ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ศอฉ.มีคำสั่งให้สลายการชุมนุมที่เรียกว่า ขอคืนพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จำเลยได้จัดทำนิตยสาร Voice of Taksin ฉบับพิเศษ รายงานข้อเท็จจริงด้วยภาพถ่ายจำนวนมาก และรายงานข่าวการเคลื่อนไหวของ นปช.จนกระทั่วถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีผู้เสียชีวิต ๙๑ ศพ และบาดเจ็บกว่า ๒,๐๐๐ คน จำเลยและนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้จัดการแถลงข่าวเรียกร้องให้มีผู้รับชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ศอฉ.ได้ใช้อำนาจตามพรก.ฉุกเฉิน จับกุมจำเลยไปขังไว้ที่ค่ายทหารอดิศร จังหวัดสระบุรี เป็นเวลา ๒๑ วัน แต่อัยการมีคำสั่งไม่ส่งฟ้องจำเลย ต่อมายังมีคำสั่งปิดนิตยสาร Voice of Taksin อีกด้วย จำเลยได้ดำเนินการผลิตนิตยสาร Red Power แทน โดยผลิตได้เพียง ๕ เล่ม รัฐบาลได้ใช้พรบ.โรงงาน สั่งปิดโรงพิมพ์ที่รับงานพิมพ์นิตยสาร Red Power จำเลยจึงไปผลิตต่อที่ประเทศ

       (๔๐ ก.)     - ๕ -

 

กัมพูชา นำมาจำหน่ายในประเทศไทย จนกระทั่งถูกดำเนินคดีนี้ และจับกุมจำเลย ขณะที่กำลังนำคณะท่องเที่ยวชาวไทยไปกัมพูชา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔  ปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๓ บรรทัดที่ ๙ – ๑๖ ติดต่อกับหน้าที่ ๔ บรรทัดที่ ๑-๑๑  นับจากบนลงล่าง ความว่า “วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ข้าฯกับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ออกแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ตามเอกสารหมาย ล.๑๑ ซึ่งมีกลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิตจำนวน ๙๐ ศพ ซึ่งเกิดขึ้นจากการสลายการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์และถนนราชดำเนิน อีกเหตุการณ์หนึ่ง (หมายถึงวันที่ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ) ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จับกุมข้าฯกับนายสุธาชัยไปไว้ที่ค่ายทหารในข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว แต่นายสุธาชัยได้รับการปล่อยตัวหลังจากถูกขัง ๗ วัน แต่ข้าฯกลับถูกขังอยู่ถึง ๒๑ วัน จึงปล่อยตัว และพนักงานมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องข้าฯกับนายสุธาชัยในข้อหาที่ถูกจับกุมนั้น  ขณะข้าฯถูกขังที่ค่ายทหารดังกล่าวมีคำสั่งปิดนิตยสารเสียงทักษิณ โดยอ้างพระราชกำหนดเดียวกัน ข้าฯจึงขออนุญาตเปิดนิตยสารเรดพาวเวอร์โดยตั้งอยู่ที่เดียวกับนิตยสารเสียงทักษิณคือศูนย์การค้าอิมพีเรียลบริเวณลาดพร้าว ใช่นิตยสารเอกสารหมาย ล.๔ ที่ให้ดู หลังตีพิมพ์ไปได้ ๕ เล่ม มีการตรวจค้นสำนักพิมพ์นี้และใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติโรงงานฯสั่งปิดและห้ามจัดจำหน่ายโดยปรับบริษัท เค.เค.พับลิชชิ่ง จำกัด เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ทำให้ไม่มีโรงพิมพ์ใดรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์  ข้าฯจึงร้องเรียนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้สอบสวนเรื่องดังกล่าว ข้าฯจึงย้ายไปพิมพ์หนังสือเล่มนี้ที่ประเทศกัมพูชา ขนส่งเข้ามาจำหน่ายเผยแพร่ในประเทศไทย นอกจากนี้ข้าฯยังทำบริษัทจัดท่องเที่ยว นครวัด นครธม เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา”  

ต่อมา ศอฉ. โดยพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้นำผังล้มเจ้าไปแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทำให้บุคคลที่มีชื่ออยู่ในผังล้มเจ้ารวมทั้งจำเลยและนายอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้รับความเสียหายถูกประชาชนที่ไม่เข้าใจกล่าวหาว่าจำเลยและนายสุธาชัย   ยิ้มประเสริฐ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน

- ๖ -

พระมหากษัตริย์   นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้รับผลกระทบจากการแถลงข่าวของ ศอฉ.โดนข่มขู่ว่าจะถูกทำร้ายทั้งที่ทำงานและที่บ้านจึงได้ฟ้องร้องโฆษก ศอฉ. ซึ่งเป็นผู้แถลงข่าวในขณะนั้นคือ พันเอกสรรเสริญ  แก้วกำเนิด  และผู้สั่งให้จัดทำผังล้มเจ้าคือนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข้อหาหมิ่นประมาท เมื่อมีการพิจารณาคดีพันเอกสรรเสริญ  แก้วกำเนิด ยอมรับว่าผังล้มเจ้าไม่มีหลักฐานไม่มีที่มาที่ไปว่าบุคคลที่มีชื่ออยู่ในผังเป็นผู้ล้มเจ้าจริง ดังปรากฏในคำเบิกความของนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ตอบทนายจำเลยถามเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๔ บรรทัดที่ ๓ – ๑๕ นับจากบนลงล่าง ความว่า “ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้าฯ และจำเลยคัดค้านการฆ่าประชาชนกลางกรุงเทพมหานครจึงร่วมกันแถลงการณ์คัดค้านให้นายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง .........................ในช่วงเวลาเดียวกันมีข่าวเรื่องผังล้มเจ้า ซึ่งเกิดจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์ดังกล่าวนำออกมาแสดง ปรากฏชื่อจำเลย ข้าฯ                  พลเอกชวลิต นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ และอื่นๆ ใช่แผนผังเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin)  เอกสารหมาย จ.๓ ที่ให้ดู ซึ่งไม่มีหลักฐาน เป็นสิ่งไม่ถูกต้องข้าฯ จึงฟ้องนายอภิสิทธิ์         เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ    พันเอกสรรเสริญ  แก้วกำเนิด  เป็นจำเลยที่ ๑ ถึง ๓ ตามลำดับต่อศาลนี้  ชั้นพิจารณามีการไกล่เกลี่ย พันเอกสรรเสริญ ยอมรับว่าแผนผังดังกล่าวที่เรียกกันว่าผังล้มเจ้านั้นเกิดขึ้นจากความเห็นของศูนย์อำนายการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอรส.) โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน จึงเห็นว่าบุคคลตามรายชื่อที่ระบุไว้เกี่ยวข้องแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไม่ได้หมายความว่าบุคคลที่ปรากฏชื่ออยู่ในแผนผังฉบับนี้เป็นคนที่ล้มเจ้าจริง ข้าฯเห็นว่าพันเอกสรรเสริญ ยอมรับเช่นนั้น ว่าผู้มีชื่อในแผนผังดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้อง ข้าฯจึงยอมความ มีรายงานกระบวนพิจารณาของศาลบันทึกไว้เป็นหลักฐาน”    

ซึ่งข้อเท็จจริงนี้จำเลยขอแนบหลักฐานรายงานกระบวนพิจารณาคดีของนายสุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ ที่ยื่นฟ้องพันเอกสรรเสริญ   แก้วกำเนิด มาพร้อมคำแถลงการณ์ปิดคดีนี้ด้วย ปรากฏตามสำเนา
      

(๔๐ ก.)     - ๗ -

รายงานกระบวนพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๒๙/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ศาลอาญา(เอกสารท้ายคำแถลงหมายเลข ๑)  ซึ่งเรื่องเดียวกันนี้สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ซึ่งเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๒ -๕ ความว่า “จึงไม่ทราบว่าความเห็นของคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้ลงความเห็นว่าผังล้มเจ้าไม่มีจริงและยุติการดำเนินคดีหรือไม่ พันตำรวจเอกประเวศน์อาจแจ้งเรื่องสั่งไม่ฟ้องบุคคลดังกล่าวในที่ประชุม แต่ข้าฯไม่ได้เข้าร่วมประชุมจึงไม่ทราบ และทราบจากที่เป็นข่าวในสื่อมวลชนจากการสัมภาษณ์ของพันตำรวจเอกประเวศน์ว่าผังล้มเจ้าไม่มีที่มาที่ไป ”           
  

การกล่าวหาว่าจำเลยล้มเจ้าจึงไม่มีมูลความจริงเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ อันเนื่องมาจากจำเลยทำหน้าที่สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นำเสนอความเป็นจริง กรณีรัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓      
   

๕.๒ จำเลยไม่ใช่ผู้เขียนบทความที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้  จากการนำสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยสอดคล้องตรงกันว่าจำเลยมิใช่ผู้เขียนบทความทั้ง ๒ บทตามคำฟ้องของโจทก์ กล่าวคือ พยานโจทก์ปากนางสาวเบญจา หอมหวาน ได้ให้การยืนยันไว้  ปรากฏดังคำเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ (ประเด็นศาลอาญา) เมื่อวันที่๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ในหน้าที่ ๗ บรรทัดที่ ๘ – ๑๖ นับจากบนลงล่าง ความว่า “บทความของจิตร พลจันทร์ ข้าฯไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้เขียน เพียงแต่ได้รับทราบจาก

เพื่อนร่วมงานว่าคนเขียนชื่อ นายจักรภพ เพ็ญแข  ซึ่งจะเป็นความจริงหรือไม่ ไม่ทราบ อีกทั้งข้าฯไม่เคยพูดคุยกับนายจักรภพ เพ็ญแข แต่อย่างใด  ............................... จำเลยเป็นผู้หนึ่งที่เคยเขียนบทความลงในนิตยสาร Voice of Taksinโดยใช้ชื่อนามสกุลของจำเลยเอง จำเลยไม่เคยใช้ชื่อจิตร พลจันทร์ เขียนบทความลงในนิตยสาร

- ๘ -

Voice of Taksin” ซึ่งคำเบิกความของนางสาวเบญจา หอมหวาน เป็นไปทำนองเดียวกับคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายชนาธิป ชุมเกษียณ ที่เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๖ บรรทัดที่ ๔ – ๕ นับจากบนลงล่าง ความว่า “จำเลยก็เขียนบทความลงในนิตยสารฉบับนี้ แต่ใช้ชื่อสกุลจริงเป็นผู้เขียนไม่เคยใช้นามแฝง” ซึ่งสอดคล้องกับพยานโจทก์ปากอื่นๆที่ไม่ยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้นามปากกา จิตร พลจันทร์ ในการเขียนบทความดังคำเบิกความของพยานโจทก์ปากพันเอกนุชิต ศรีบุญส่ง ซึ่งเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๗ บรรทัดที่ ๓ - ๔ นับจากบนลงล่าง ความว่า “ข้าฯไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ใช้นามปากกาหรือนามแฝงว่า จิตร พลจันทร์ ไม่ทราบว่าเป็นจำเลยหรือไม่ ” และคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายกฤษฎา ใจสุวรรณ์ ซึ่งเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๖ บรรทัดที่ ๑ และ ๒ นับจากล่างขึ้นบน ความว่า “ข้าฯไม่ทราบว่าผู้เขียนคอลัมน์ คมความคิด ที่ใช้นามแฝงว่า จิตร พลจันทร์ เป็นใครใช่จำเลยหรือไม่” ซึ่งในประเด็นนี้จำเลยได้เบิกความตอบทนายจำเลยถามเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๘ บรรทัดที่ ๑๔ - ๑๗ ติดต่อกับหน้าที่ ๙ บรรทัดที่ ๑-๔ นับจากบนลงล่าง  ความว่า “ผู้ใช้นามปากกาว่านายจิตร พลจันทร์ นั้นคือนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงยอมรับกันทั่วไปจึงเป็นที่ไว้วางใจให้เขียนบทความลงในนิตยสารเสียงทักษิณอย่างต่อเนื่องและได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารทุกบทความโดยไม่มีการตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงต้นฉบับของบทความ ทีมงานของนายประแสงที่ทำนิตยสารเสียงทักษิณชุดเดิมเป็นผู้ติดต่อนายจักรภพ ซึ่งความจริงแล้วมีบทความลงตั้งแต่เล่ม ๑ แต่ใช้ชื่อสกุลจริง  ข้าฯไม่เคยเขียนบทความลงในนิตยสารนี้โดยใช้นามแฝง ยืนยันว่าผู้เขียนบทความที่ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ นั้น มีเพียงคนเดียวคือนายจักรภพ”     จากคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับพยานจำเลยว่าผู้ใช้

       (๔๐ ก.)     - ๙ –

นามปากกาจิตร พลจันทร์ คือนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงฟังได้ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้เขียนบทความตามที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้       
     

๕.๓ จำเลยไม่ใช่บรรณาธิการ Voice of Taksin กล่าวคือ จำเลยเป็นพนักงานคนหนึ่งของ Voice of Taksin ซึ่งได้รับเงินเดือนเหมือนพนักงานคนอื่นๆ แต่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป หน้าที่และตำแหน่งตามที่ตีพิมพ์ไว้ในปกหนังสือในทางพฤตินัยก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง หากจะพิจารณาในประเด็นเรื่องการร่วมกันในการจัดทำบทความที่โจทก์นำมาฟ้อง ทุกคนที่ทำงานในสำนักงาน Voice of Taksin ถือว่ามีส่วนในการ

จัดทำทั้งหมด คำฟ้องของโจทก์ที่กล่าวหาว่าจำเลยทำตัวเป็นบรรณาธิการเป็นการจงใจยัดเยียดความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่จำเลยเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีฟังเป็นยุติแล้วว่า บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา นิตยสาร Voice of Taksin เป็นบุคคลคนเดียวกัน คือ นายนรินทร์ จิตรมหาวงศ์ ดังปรากฏตามคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนางวิลาวัณย์ ทรัพย์พันแสน เบิกความตอบอัยการโจทก์เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๓ บรรทัดที่ ๑ และ ๒ นับจากบนลงล่าง ความว่า “การพิมพ์ระบุว่านายนรินทร์เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ โดยเป็นผู้พิมพ์ผู้โฆษณาและบรรณาธิการของนิตยสารเสียงทักษิณ” ซึ่งสอดคล้องกับพยานโจทก์ปากนางสาววรรณศิริ เลิศพิรมย์ลักษณ์ เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๒ – ๑๔  นับจากบนลงล่าง ความว่า “ทนายจำเลยให้พยานดูเอกสารหมาย จ.๑๔ พยานดูแล้วเบิกความว่า ปรากฏว่านายนรินทร์ จิตมหาวงศ์ เป็นผู้ยื่นขออนุญาต  และภายหลังนิตยสารเสียงทักษิณได้รับอนุญาตออก ISSN ให้ ในชื่อของนายนรินทร์ซึ่งมีอำนาจจดแจ้งเพราะเป็นบรรณาธิการ”  ซึ่งพยานโจทก์ปาก นางสุภาณี     สุขอาบใจ ก็เบิกความไปทำนองเดียวกันว่านิตยสารเสียงทักษิณเจ้าของและบรรณาธิการเป็นบุคคลคนเดียวกัน ปรากฏตามคำเบิกความของนางสุภาณี  สุขอาบใจ เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๘ บรรทัดที่ ๙-๑๑ นับจากบนลงล่าง ความว่า “เหตุที่ข้าฯทราบว่าเจ้าของและบรรณาธิการ

- ๑๐ -

สิ่งพิมพ์เป็นบุคคลคนเดียวกันนั้นเพราะ ณ วันที่มายื่นหลักฐานประกอบการขอจดแจ้งการพิมพ์นิตยสารจะต้องนำหลักฐานมาแสดงจึงทำให้ทราบว่าเจ้าของเป็นใคร”        
  

๕.๔ พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการเป็นเป็นรับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือที่ตนเป็นบรรณาธิการ โดยมีแนวคำพิพากษาฎีกาที่  ๖๒๖๘/๒๕๕๐  ตัดสินวางบรรทัดฐานไว้        

หากศาลจะฟังว่าจำเลยกระทำตัวเป็นบรรณาธิการต้องรับผิดชอบเนื้อความที่นำลงพิมพ์โฆษณาตามคำกล่าวหาของโจทก์ จำเลยก็ขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่าบทบัญญัติกฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันคือพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการพิมพ์   พ.ศ.๒๔๘๔ ซึ่งพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ ตามเอกสารหมาย ล.๓ ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือที่ตนเป็นบรรณาธิการ  เท่ากับไม่มีกฎหมายบัญญัติความรับผิดของบรรณาธิการไว้ในกรณีเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคแรก ซึ่งกรณีนี้ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๖๘/๒๕๕๐ ตามเอกสารหมาย ล.๕ วางบรรทัดฐานไว้ เพื่อความสะดวกจำเลยจึงได้แนบ พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๖๘/๒๕๕๐ มาพร้อมคำแถลงการณ์ฉบับนี้ด้วย (เอกสารท้ายคำแถลงหมายเลข ๒ และ ๓ ตามลำดับ)ดังนั้นกรณีที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำตัวเป็นบรรณาธิการจึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายฉบับนี้โดยมีแนวคำพิพากษาฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ด้วยเช่นเดียวกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบตามเนื้อความที่ลงพิมพ์โฆษณา             

       (๔๐ ก.)     - ๑๑ -

๕.๕ จำเลยไม่มีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ หากศาลจะฟังว่าบทความตาม จ.๒๔ และ จ.๒๕ เป็นบทความดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ก็ตาม จำเลยก็ขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่าจำเลยมิใช่ผู้เขียนและมิใช่เป็นผู้กระทำความผิดและจำเลยก็มิได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ประการใด การนำบทความที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ลงพิมพ์ในนิตยสาร Voice of Taksin เป็นไปตามระบบงานที่มิใช่เป็นการกระทำโดยจงใจของจำเลย ปรากฏตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทุกคนที่เคยร่วมทำงานกับจำเลยฟังได้ว่าการตีพิมพ์บทความที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้มิได้มีเจตนาจงใจที่จะทำให้เกิดการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด  เพียงแต่ทุกคนไม่ทราบถึงเนื้อหาแต่ได้นำลงพิมพ์โดยให้เกียรติเจ้าของบทความซึ่งเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและยังมีความรู้ระดับปริญญาเอกด้วย ซึ่งในประเด็นนี้จำเลยได้เบิกความตอบทนายจำเลยถามเป็นการยืนยันการทำงานของจำเลย ปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๗ บรรทัดที่ ๑ – ๓ นับจากล่างขึ้นบน ติดต่อกับคำเบิกความในหน้าที่ ๘ ทั้งหน้า ความว่า “เนื่องจากเป็นรายปักษ์ออกทุก ๑๕ วัน จะได้รับบทความกระชั้นชิดใกล้ปิดเล่มกรณีที่เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้เขียนบทความประจำลงในนิตยสาร จึงจะได้รับการลงพิมพ์ไปเลย ภาพประกอบบทความขึ้นอยู่กับเนื้อหา  ข้าฯจะได้อ่านบทความต่อเนื่องก่อนลงตีพิมพ์ทุกครั้ง แต่เป็นการอ่านคร่าวๆเนื่องจากมีปริมาณมาก และต้องให้รวดเร็วทันปิดเล่ม การอ่านบทความของข้าฯจึงเน้นเฉพาะคำถูกคำผิด........................................ บทความโดยนายจิตร พลจันทร์ นั้น เป็นประเภทต่อเนื่องลงพิมพ์ในนิตยสารเสียงทักษิณตั้งแต่เล่มที่ ๒ ........................................................ผู้ใช้นามปากกาว่านายจิตร พลจันทร์ คือนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงยอมรับกันทั่วไป จึงเป็นที่

- ๑๒ -

ไว้วางใจให้เขียนบทความลงในนิตยสารเสียงทักษิณอย่างต่อเนื่องและได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารทุกบทความโดยไม่มีการตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงต้นฉบับของบทความ”     
 

ส่วนประเด็นเรื่องการตรวจสอบบทความทั้งจำเลยและพนักงานคนอื่นๆกระทำแต่เพียงตรวจคำถูกผิดของบทความเท่านั้นตามเหตุผลที่ได้ประทานกราบเรียนมา ซึ่งข้อเท็จจริงนี้พยานโจทก์ปาก

นายกฤษฎา ใจสุวรรณ์ ได้เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๖ บรรทัดที่ ๘-๙ นับจากบนลงล่าง ความว่า “การพิมพ์นิตยสารนี้เร่งรีบจะปิดเล่มทุกครั้ง โดยเฉพาะปักษ์หลัง หลังจากข้าฯตรวจแล้วไม่ทราบว่าจำเลยแก้ไขหรือไม่” ซึ่งคำเบิกความของนายกฤษฎา ใจสุวรรณ์ เป็นไปทำนองเดียวกับคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายชนาธิป ชุมเกษียณ ซึ่งเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๖ บรรทัดที่ ๑๐ -๑๔ นับจากบนลงล่าง ความว่า “หลังจำเลยรับบทความจากนางสาวเบญจาจะส่งให้นายกฤษฎาตรวจพิสูจน์อักษรเนื่องจากเป็นรายปักษ์แต่ละฉบับเร่งรีบออกไม่มีเวลาถึงขนาดที่ข้าฯกับพวกต้องค้างคืนทำงานกันที่โรงพิมพ์ บางฉบับหลังจากจำเลยส่งให้นางสาวเบญจาแล้วก็จะพิมพ์เลยไม่ได้ย้อนมาที่ตัวจำเลยอีก ทราบว่ากรณีบทความต่อเนื่องจำเลยจะไว้วางใจให้ลงพิมพ์โดยไม่ตรวจ แตกต่างกับบทความปกติหรือกรณีที่เป็นผู้เขียนหน้าใหม่ที่จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน”   

การนำบทความของจิตร พลจันทร์ ลงพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ จำเลยจึงมิได้มีเจตนาดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ตามคำฟ้องของโจทก์ หากศาลจะฟังว่าถึงอย่างไรก็ตามจำเลยก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนทั้งๆที่มีพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ คุ้มครองรวมทั้งแนวคำพิพากษาฎีกาวางบรรทัดฐานไว้แล้วก็ตาม จำเลยก็ขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่าจำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำตั้งแต่วันถูกจับกุม ระหว่างพิจารณาคดี จนถึงปัจจุบันนี้ผ่านไปเกือบ ๒ ปี จำเลยก็ไม่ได้รับ

       (๔๐ ก.)     - ๑๓ –

ความเมตตาจากศาลให้ประกันตัว  เท่ากับว่าจำเลยต้องได้รับโทษจำคุกฐานที่ละเลยไม่มีความรอบคอบในการตรวจพิจารณาบทความตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ ให้ละเอียดก่อนลงพิมพ์ การถูกจำคุกของจำเลยทั้งๆ
ที่จำเลยมิได้กระทำผิดโดยตรงจึงเสมือนเป็นการลงโทษจำเลยในผลของการกระทำพอสมควรแก่เหตุแล้ว อันจะเป็นบทเรียนให้จำเลยจดจำในการปฏิบัติงานเช่นนี้ต่อไปในอนาคต     
 

๕.๖ บทความตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ ไม่เป็นบทความที่ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์  กล่าวคือ ประเด็นสำคัญในการพิจารณาคดีนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของพยานที่อ่านบทความว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่จิตร พลจันทร์ เขียนอย่างไร ความเห็นของพยานแต่ละปากไม่อาจสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าบทความของจิตร พลจันทร์ เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากพยานที่ได้อ่านบทความของจิตร พลจันทร์ ไม่อาจล่วงรู้ความคิดที่แท้จริงของจิตร   พลจันทร์ ได้อย่างถูกต้องนอกจากตัวของจิตร พลจันทร์ เอง  ดังจะเห็นได้จากการให้ความเห็นของพยานโจทก์แต่ละปากให้ความเห็นในแต่ละบทความยังไม่เหมือนกัน เช่นความเห็นของพยานโจทก์ปากนายกฤษฎา ใจสุวรรณ์ ที่เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๘ บรรทัดที่ ๑-๒ นับจากล่างขึ้นบนติดต่อกับคำเบิกความในหน้าที่ ๙ บรรทัดที่ ๑-๔ นับจากบนลงล่าง ความว่า “อ่านเอกสารหมาย จ.๒๔ ทั้งหมดแล้ว ข้าฯเข้าใจว่าผู้เขียนสื่อถึงในหลวงก็มี และอำมาตย์ก็มี ข้าฯยืนยันว่าความเข้าใจของข้าฯถึงบทความนี้ที่สื่อถึงในหลวงเฉพาะเนื้อหาตอนที่กล่าวอ้างถึง ๒๐๐ ปี และโรงพยาบาลเท่านั้น ส่วนอื่นไม่เกี่ยวข้อง ข้าฯยืนยันว่าอ่านเอกสารหมาย จ.๒๕ หลายครั้ง ก็ไม่เข้าใจ เพราะพูดถึงหลวงนฤบาล” ความเห็นของนายกฤษฎา  ใจสุวรรณ์ ที่ให้ความเห็นเมื่ออ่านบทความยังขัดแย้งกับพยานโจทก์ปากนางสาวชรินรัตน์ อิงพงษ์พันธ์ ที่ได้อ่านเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ ได้ให้ความเห็นไปคนละทิศทาง  ดังปรากฏตามคำเบิกความของ            

- ๑๔ -

นางสาวชรินรัตน์ อิงพงษ์พันธ์ ซึ่งเบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๙ บรรทัดที่ ๓-๑๐ นับจากบนลงล่าง ความว่า “เล่มแรกที่ให้ดูที่มีภาพณัฐวุฒินั้น เจ้าหน้าที่บอกว่า ณัฐวุฒิ
หมิ่นเปรม ข้าฯไม่ได้ให้ความเห็นกับเรื่องนี้..........................ทนายจำเลยให้พยานดูเอกสารหมาย จ.๒๕ อีกครั้ง พยานอ่านเนื้อหาและบทความแล้วเบิกความว่าจำไม่ได้แล้วว่าเป็นข้อความตรงไหนของบทความนี้ที่ทำให้ข้าฯให้ความเห็นว่าหมิ่นเบื้องสูง”          

 เมื่อเปรียบเทียบความเห็นของพยานโจทก์เฉพาะปากนายกฤษฎา ใจสุวรรณ์ กับ        นางสาวชรินรัตน์ อิงพงษ์พันธ์ ในการให้ความเห็นบทความ ตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ ยังไปคนละทิศทาง ไม่อาจสรุปได้ว่าความเห็นของฝ่ายใดถูกหรือของฝ่ายใดผิด เช่นเดียวกับความเห็นพยานโจทก์ปากศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ พยานโจทก์ที่เบิกความตอบอัยการโจทก์เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๔-๑๓ และในหน้าที่ ๓ บรรทัดที่ ๗-๑๐ นับจากบนลงล่าง ความว่า “พยานดูเอกสารหมาย จ.๒๔ แล้วเบิกความว่า ..........................................คำว่า “โคตรตระกูล” ที่ระบุไว้ทั้งสองแห่งผู้เขียนสื่อความหมายให้ผู้อ่านนึกถึงราชวงศ์จักรี ตรงที่หมายถึงราชวงศ์จักรีนั้นอยู่ตรงคำว่า “พอได้ดีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ชัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ” เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงท้ายกรุงธนบุรีในปี ๒๓๒๕ ต่อเนื่องกับตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์...................โจทก์ให้พยานดูเอกสารหมาย จ.๒๕ เป็นบทความโดยผู้เขียนนามปากกาเดียวกับ จ.๒๔ พยานดูแล้วเบิกความว่าเรื่อง ๖ ตุลา ๒๕๕๓ นี้ ผู้เขียนสมมุติตัวละครเดินเรื่องชื่อ “หลวงนฤบาล” อ่านแล้วข้าฯไม่แน่ใจไม่สามารถให้ความเห็นเด็ดขาดได้ว่าหมายถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือไม่”        

จากคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งบางส่วนยังมีความแตกต่างกันในการให้ความเห็นเกี่ยวกับบทความเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ แต่พยานส่วนใหญ่ของโจทก์ก็ให้ความเห็นไปทำนองเดียวกัน
      

(๔๐ ก.)     - ๑๕ –

ว่าบทความตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ เป็นบทความที่ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันฯ ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ของพยานโจทก์แตกต่างจากความเห็นของพยานจำเลยทุกปากซึ่งพยานของจำเลยเป็นพยานบุคคลที่มี
ชื่อเสียงเป็นอาจารย์สอนอยู่ในสถาบันหลักของประเทศไทยอันได้แก่ ความเห็นของอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล  อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  อาจารย์สุดสงวน สุธีสร อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ  อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ  กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและอดีตสมาชิกวุฒิสภาล้วนให้ความเห็นไปทำนองเดียวกันว่าบทความตามเอกสารหมาย จ.๒๔ และ จ.๒๕ ไม่เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์        

ในการนำสืบของโจทก์ที่นำพยานบุคคลจำนวนมากที่มีกรอบความคิดเดียวกันและเป็นความคิดที่มีอคติกับความคิดของฝ่ายจำเลยมาให้ความเห็นเกี่ยวกับบทความ เช่นกรณีพยานโจทก์กลุ่มนักศึกษา คือ นางสาวปวิตรา สกุลชัยมงคล นายเตชิต ชัยเดชสุริยะ และนายชวาล แซ่เย๊ะ พยานโจทก์ทั้ง ๓ ปากเป็นนักศึกษาฝึกงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษใช้เวลาฝึกงานนาน ๒ เดือน หัวหน้าควบคุมงานคือนายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ พนักงานสอบสวนคดีนี้ที่มีหน้าที่ประเมินผลการฝึกงานของพยานทั้งสามคน ดังนั้นนักศึกษาฝึกงานทั้งสามคน ย่อมได้รับอิทธิพลและมีทัศนคติไปในทางเดียวกับพนักงานสอบสวนคดีนี้ การกำหนดพยานเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับบทความของพนักสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นไปอย่างมีอคติ พยานที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้มีความใกล้ชิดกับพนักงานสอบสวน และมีทัศนคติในด้านลบกับจำเลย    

เนื้อหาที่ปรากฏในบทความที่นำมาฟ้องผู้เขียนยกตัวอย่างตุ๊กตา เป็นตัวละครล้อเลียนไม่ใช่เรื่องจริงและผู้อ่านไม่อาจรู้แน่ชัดได้ว่าผู้เขียนหมายถึงใคร  ซึ่งในประเด็นนี้พยานจำเลยเมื่อได้อ่านบทความต่างก็ให้การไปในทำนองเดียวกันว่าผู้เขียนสื่อถึงพวกอำมาตย์ไม่ได้สื่อถึงกษัตริย์  การดำเนินคดีตาม
- ๑๖ -
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ เป็นวิถีทางทางการเมืองที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามจะใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม ในกรณีนี้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายตรงข้าม  ในเบื้องต้นการพิจารณาให้ดำเนินคดีนี้ผู้มีอำนาจตัดสินใจคือผู้มีอำนาจสูงสุดในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)  ดังปรากฏตามคำเบิกความของพยานโจทก์ปากพันเอกนุชิต ศรีบุญส่ง ที่เบิกความตอบอัยการโจทก์ถามติงเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ ในหน้าที่ ๑๐ บรรทัดที่ ๕-๖  นับจากบนลงล่าง ความว่า “ อำนาจวินิจฉัยสุดท้ายว่ากรณีเข้าข่ายหมิ่นประมาทสถาบันฯ คือผู้มีอำนาจสูงสุดในคณะกรรมการในศูนย์ ศอฉ. ที่แต่งตั้งขึ้น ไม่ใช่ข้าฯ”  จากคำเบิกความของพยานปากนี้แสดงให้เห็นว่าหน่วยงาน ศอฉ. เป็นผู้จัดทำผังล้มเจ้าโดยมีชื่อจำเลยและนิตยสาร Voice of Taksin ปรากฏอยู่ในผังล้มเจ้าและ ศอฉ. ก็เป็นผู้สั่งให้ดำเนินคดีกับจำเลยและนิตยสาร Voice of Taksin เอง การดำเนินคดีจึงเป็นไปอย่างมีอคติตั้งแต่ต้น การสั่งฟ้องของพนักงานอัยการโดยสรุปจากจำนวนพยานจำนวนมากที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษสอบปากคำไว้โดยไม่ใช่พยานที่เป็นคนกลางอย่างแท้จริงจึงไม่เป็นธรรมต่อจำเลย  การจะพิจารณาว่าความเห็นของฝ่ายใดถูกต้องโดยดูจากจำนวนพยานหรือความรู้ความสามารถของพยานว่าฝ่ายใดมีจำนวนพยานมากกว่าหรือพยานมีความรู้ความสามารถมากกว่าก็ไม่น่าจะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาได้ การจะตัดสินว่าผู้เขียนบทความคือจิตร พลจันทร์ เขียนบทความดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันฯ โดยใช้การพิจารณาความเห็นและความรู้สึกของพยานจึงไม่เป็นธรรมต่อผู้เขียนและจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำบทความลงพิมพ์ในนิตยสาร Voice of Taksin

จากเหตุผลดังที่จำเลยได้ประทานกราบเรียนต่อศาลที่เคารพมาข้างต้น จำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดตามคำฟ้องโจทก์ จึงขอศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์และปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาไปด้วย  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้โปรดอนุญาต     

       (๔๐ ก.)     - ๑๗ –

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด        ลงชื่อ      ทนายความจำเลย 
คำแถลงการณ์ฉบับนี้ข้าพเจ้านายสุวิทย์  ทองนวล    ทนายความจำเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์      ลงชื่อ      ผู้เรียงและพิมพ์                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท