5 มี.ค.56 ที่ศาลแพ่ง รัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ 19386/2555 ซึ่งเว็บไซต์ประชาไทอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่พิพากษายกฟ้องเมื่อ 23 เม.ย.53 กรณีประชาไทเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้อง 5 ราย หลังจากถูก ศอฉ.สั่งปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ในช่วงเหตุการณ์ประท้วงทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.53 โดยศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้รับฟ้องจำเลยที่ 4-5 คือ กระทรวงไอซีทีและกระทรวงการคลัง แต่ไม่อาจฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. และ ศอฉ. ได้
(อ่านสรุปคำฟ้องและคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ในล้อมกรอบด้านล่าง)
หลังอ่านคำพิพากศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่งได้นัดชี้สองสถานในวันที่ 27 พ.ค.56 เวลา 9.00 น.
สำหรับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่อ่านในวันนี้นั้น ลงวันที่ 8 ต.ค.55 สรุปสาระสำคัญได้ว่า ตามคำฟ้องโจทก์ยืนยันว่าเว็บไซต์ของโจทก์ไม่ได้นำเสนอข่าวสารที่อาจทำให้ประชาชนหวาดกลัว เจตนาบิดเบือนทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้าข้อเท็จจริงเป็นตามฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 บัญญัติว่า หน่วยงานรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานรัฐดังกล่าวได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานรัฐแห่งใด ให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดชอบตามวรรคหนึ่ง
ดังนั้นโจทก์ย่อมฟ้อง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร จำเลยที่ 4 และ กระทรวงการคลัง จำเลยที่ 5 ให้รับผิดได้ แต่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เจ้าหน้าที่ของรัฐให้รับผิดในมูลละเมิดที่กระทำไปในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันมีการประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว และประชาชนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของโจทก์ได้ ในประเด็นที่โจทก์ขอให้เพิกถอนคำสั่งปิดกั้นเว็บไซต์จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะพิจารณา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ต่อไปตามกฎหมาย
คำพิพากษาลงชื่อโดย นายนิติ เอื้อจรัสพันธุ์ นายประพันธ์ ทรัพย์แสง นายราเชนทร์ เรืองทวีป
นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายโจทก์กล่าวว่า คดีนี้น่าจะเป็นบรรทัดฐานให้พื้นที่ที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ความมั่นคง เช่น พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะทำให้ประชาชนเห็นว่าสามารถใช้กลไกของศาลยุติธรรมในการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารได้ แม้ในกฎหมายอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ความมั่นคง จะเขียนยกเว้นไว้ชัดเจนว่าการใช้อำนาจภายใต้กฎหมายเหล่านี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครองก็ตาม
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 เม.ย.53 ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ออกหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) อ้างอำนาจตามมาตรา 9 ข้อ 2 แห่งพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอให้ปิดเว็บไซต์ www.prachatai.com พร้อมกับเว็บไซต์อื่นอีกรวม 36 แห่ง ด้วยเหตุผลว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง ทำให้ www.prachatai.com ไม่สามารถเข้าได้ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.53 เป็นต้นมา ประชาไทได้แก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนโดเมนเนมเป็นชื่ออื่น เช่น www.prachatai.info, www.prachatai1.info, www.prachatai2.info, www.prchatai3.info รวมถึงใช้ช่องทางสื่อสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ก็พบว่ามีการถูกปิดกั้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยไม่ได้รับทราบถึงเอกสารคำสั่งหรือเหตุผลในการปิดกั้นแต่อย่างใด
ช่วงเวลาดังกล่าวมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง รัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เม.ย.53 จากนั้นเว็บไซต์ประชาไท ในนามมูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เป็นจำเลยที่ 1 ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (สุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นจำเลยที่ 2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (จุติ ไกรฤกษ์) เป็นจำเลยที่ 3, กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นจำเลยที่ 4, กระทรวงการคลัง เป็นจำเลยที่ 5 ฐานละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 350,000 บาท เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1455/2553
เว็บไซต์ประชาไทได้ยื่นฟ้องในวันที่ 23 เม.ย.53 รวมทั้งขอไต่สวนฉุกเฉินแต่ศาลไม่อนุญาต และได้มีคำพิพากษายกฟ้องในวันเดียวกันนั้นเอง
ต่อมา วันที่ 21 ธ.ค.53 คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ 4 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป เป็นเหตุให้อำนาจในการปิดกั้นเว็บไซต์หมดไป อย่างไรก็ดี เว็บไซต์ประชาไท ภายใต้โดเมน www.prachatai.com ยังไม่สามารถเข้าชมได้ตามปกติกับผู้ให้บริการทุกราย
เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลศูนย์ข้อมูลและคดีเสรีภาพ โดยไอลอว์ สรุป คำฟ้องของโจทก์และคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่สั่งยกฟ้องไว้ ดังนี้
คำฟ้องสรุปได้ความว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2553 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกันดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ข่าวประชาไท http://www.prachatai.com ของโจทก์ โดยปรากฏข้อความว่า This website has been block by ICT ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เว็บไซต์นี้ถูกปิดกั้นการเข้าถึงโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สาร” และปรากฏภาพสัญลักษณ์ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำเลยที่ 4 บนเว็บไซต์ของโจทก์แทน โจทก์จึงไม่สามารถนำเสนอข่าวสารเหตุการณ์และบทความต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ข่าวประชาไทได้ ส่งผลให้ให้ประชาชนไม่สามารถใช้บริการข่าวสารเหตุการณ์และบทความต่างๆ จากเว็บไซต์ของโจทก์ได้อีกต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐ ธรรมนูญ แม้จะมีพระราชกำหนดให้อำนาจในการจำกัดสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 45 รับรองไว้แต่รัฐก็ไม่สามารถกระทำการใดๆอันเป็นการจำกัด ลิดรอน หรือละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองคุ้มครอง ไว้ ตามอำเภอใจ โดยไม่มีพยานหลักฐานหรือเหตุผลที่มีน้ำหนักสนับสนุน และไม่อาจจำกัดสิทธิจนกระทบสาระสำคัญแห่งสิทธิคือทำให้สิทธิดังกล่าวหมดไป อย่างสิ้นเชิงได้ พิพากษายกฟ้อง ลงชื่อ ผู้พิพากษา นางสาวณัชชา น้อยเชื้อเวียง นายชัยวัฒน์ ธนวัฒนตระกูล
|
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)