เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ข่าวชิ้นหนึ่งสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจระดับโลก เพราะเป็นวันที่ราชินีเบอาทริกซ์ หรือชื่อเต็มว่า เบอาทริกซ์ วิลเฮลมิน่า อาร์มฆาร์ท (Beatrix Wilhelmina Armgard) ในฐานะประมุขของรัฐ (Head of state) ของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Kingdom of the Netherlands) ประกาศสละราชสมบัติที่ครองมา 33 ปี ตั้งแต่ปีคศ.1980 ให้กับพระโอรสองค์โต วิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ (Willem-Alexander) พระชนมายุ 46 พรรษา ซึ่งเป็นการประกาศแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนผ่านรายการทางโทรทัศน์ที่ถ่ายทำมาล่วงหน้า ก่อนที่จะถึงวันประสูตรของราชินีเองในวันที่ 31 มกราคมซึ่งมีพระชนมายุ 75 พรรษา โดยราชินีเองยังระบุด้วยว่าปีนี้เป็นในโอกาสที่ดีเพราะเป็นปีที่เนเธอร์แลนด์ครบรอบ 200 ปีที่ประเทศเปลี่ยนจากประเทศสาธาณรัฐ (Dutch Republic) เป็นราชอาณาจักรหรือมีสถาบันกษัตริย์นับจากปี 1814 เป็นต้นมา
ราชินีเบอาทริกซ์ในวันที่ประกาศสละราชสมบัติออกรายการโทรทัศน์ [1]
พิธีขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเนเธอร์แลนด์ประกาศเป็นวันควีนส์เดย์ (Queen’s Day) หรือ “โกนิงงิ่นเนอะดัค” (Koninginnedag) ในภาษาดัตช์ โดยเป็นวันเฉลิมฉลองวันประสูติของราชินีและเป็นวันหยุดราชการ ความจริงวันที่ 30 เมษายนนั้นไม่ใช่วันประสูติของราชินีเบอาทริกซ์ แต่เป็นวันประสูติของพระมารดาของพระองค์คือราชินียูลิอาน่า (Juliana) แต่พระองค์ยังคงให้ใช้วันนี้แทนวันเกิดของตนเอง เพราะเห็นว่ารูปแบบการเฉลิมฉลองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมกลางแจ้ง ดังนั้น วันที่ 30 เมษายน ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจึงเหมาะสมกว่าวันประสูติของพระองค์ที่อยู่ในฤดูหนาว
ด้วยเหตุการณ์ที่น่าสนใจนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงประสบการณ์ขณะที่กำลังศึกษาต่อในประเทศนี้ และต้องอาศัยอยู่จนกว่าจะจบการศึกษา และเมื่อปีที่แล้วก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับการเฉลิมฉลองของคนดัตช์ในวันควีนส์เดย์ด้วย เมื่อวันนี้จะเยือนมาอีกครั้งและเป็นการเฉลิมฉลองวันควีนส์เดย์ที่ตรงกับวันที่ 30 เมษายนเป็นปีสุดท้าย เพราะผู้ที่จะมาเป็นประมุขของรัฐคนใหม่เป็นผู้ชาย จึงมีการเปลี่ยนวันเฉลิมฉลองเป็นวันคิงส์ เดย์ (King’s Day) หรือ “โกนิงส์ดัค” (Koningsdag) ในภาษาดัตช์ เนื่องจากเป็นวันประสูติของกษัตริย์องค์ใหม่ซึ่งตรงกับวันที่ 27 เมษายน และจะเริ่มฉลองวันนี้อย่างเป็นทางการในปี 2014 จากจุดนี้ทำให้ผู้เขียนสนใจศึกษาระบบการเมืองการปกครองของประเทศนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะบทบาทของสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยการอ่านบทความและหนังสือที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้ ประกอบกับข้อสังเกตบางประการและนำมาเขียนเป็นบทความชิ้นนี้
เนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหาษัตริย์เป็นประมุข (Constitutional Monarchy) ซึ่ง Schnabel (2007: 34) เสนอว่า 200 กว่าประเทศในโลกใบนี้ อาจมีเพียงแค่ 10 ประเทศเท่านั้นที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยมันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง ซึ่งจำนวนจะไม่เพิ่มไปมากกว่านี้แน่นอนในศตวรรษที่ 21 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศที่มีสถาบันนี้อยู่จะยังคงอยู่อย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งน่าสนใจตรงที่ว่า หลังจากอ่านงานต่างๆที่พูดเรื่องเหล่านี้ พบว่ากษัตริย์ของเนเธอร์แลนด์เกี่ยวโยงกับการเมืองของประเทศมาตลอด โดยเฉพาะช่วงที่ราชินีเบอาทริกซ์ขึ้นครองราชย์น ที่สถาบันกษัตริย์มีพัฒนาการอย่างน่าสนใจ คือสถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของอัตลักษณ์ดัตช์ด้วย (Tjeenk Willink 2007:6)
จากสาธารณรัฐสู่ระบบราชอาณาจักร
“ในขณะที่ปีหนึ่งๆกำลังผ่านไป ผมพบว่าตนเองนั้นตื่นตาตื่นใจกับประวัติศาสตร์ของประเทศนี้และลักษณะเฉพาะของสังคมการเมืองดัตช์ ที่นี่เรามีประเทศที่ห้องสมุดหลวงมีอายุมากกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ มีประเทศที่เมืองหลวงไม่ใช่ที่ตั้งของรัฐบาล มีระบบที่ฝากรากลึกด้วยร่องรอยของความเป็นสาธารณรัฐ และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ชาติ” (Ibid: 3)
Tjeenk Willink อดีตนักวิชาการด้านกฎหมาย เคยทั้งทำงานราชการ เป็นหนึ่งในทีมผู้อาวุโสพรรคแรงงานของเนเธอร์แลนด์ และรองประธานการจัดงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบรอบ 25 ปีของราชินีเบอาทริกซ์ (The 25th jubilee of Queen Beatrix) กล่าวขึ้นต้นบทความของเขาอย่างน่าสนใจ พร้อมกับแสดงอาการรำคาญกับลักษณะเหล่านี้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่สนใจประวัติศาสตร์และสถาบันสาธารณะต่างๆ ไม่ต่างอะไรกับการขับรถโดยไม่มีกระจกมองหลัง ซึ่งอันตรายมากสำหรับคนขับ และจะอันตรายยิ่งขึ้นเมื่อสถานการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์ที่คนมีความเห็นที่หลากหลายต่ออดีตอันสามัญของพวกเขา (ibid.)
จากประวัติศาสตร์ น่าสนใจว่าเนเธอร์แลนด์ไม่ใช่ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดมาก่อน ประเทศนี้สร้างความเป็นรัฐในปี 1579 ซึ่งเป็นรวมตัวกันต่อสู้ของกลุ่มคนในประเทศต่ำ (Low countries) เพื่อเป็นอิสระจากสเปนจนได้รับเอกราชในปีถัดมา ทำให้เนเธอร์แลนด์พัฒนารูปแบบเป็นสาธารณรัฐที่มีทั้งหมด 7 แคว้นตั้งแต่ช่วงปี 1579-1795 โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญของการทำหน้าที่รัฐบาลคือสภาฐานันดร (States-General) และมีผู้นำหรือผู้ครองเมือง (Stadholder) ทำหน้าที่คล้ายกับกษัตริย์ทั้งด้านการเมืองและการทหาร และทำหน้าที่ตามคำแนะนำหรือความเห็นของผู้นำในแคว้นต่างๆ หลังจากนั้นในปี 1795 เกิดปฏิวัติแบบไม่รุนแรงต่อต้านระบบขุนนาง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติฝรั่งเศสในช่วงนั้น ทำให้เนเธอร์แลนด์กลายเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary state) แคว้นต่างๆถูกริดลอนอำนาจ แต่ระบบนี้ก็สิ้นสุดในปี 1908 เมื่อหลุยส์ นโปเลียน โบนาพาร์ท (Louis Napoléon Bonaparte) แห่งฝรั่งเศสเข้ามายึดครอง และปกครองเนเธอร์แลนด์ในฐานะ “สาธารณรัฐบาตาเวียน” (Batavian Republic) และต่อมาสาธารณรัฐปาตาเวียนได้ถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรฝรั่งเศสในปี 1810 ในระหว่างปี 1812-1813 ฝรั่งเศสไม่สามารถควบคุมเนเธอร์แลนด์ได้อีก อันเนื่องจากขบวนการเสรีของดัตช์ที่ต้องการปกครองตนเอง และในที่สุดฝ่ายดัตช์ก็ได้รับชัยชนะ ในปี 1814 ได้มีการเชิญให้ Willem Frederik van Orange-Nassau ลูกชายของผู้นำคนสุดท้ายก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสครองมาเป็นผู้นำคนใหม่ในฐานะ “องค์อธิปัตย์” (Sovereign Prince) ภายหลังได้เปลี่ยนสถานะเป็นกษัตริย์ ขณะเดียวกันก็ได้เปลี่ยนชื่อจากสาธารณัฐปาตาเวียนเป็นราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Kingdom of the Netherlands) (Willem Sap: 2010:5-6)
ประเทศเนเธอร์แลนด์จึงเป็นประเทศที่แปลกตรงที่เป็นประเทศสาธารณรัฐแล้วกลายเป็นประเทศที่เป็นราชอาณาจักรโดยมีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งในขณะนั้นถือว่าสวนทางกับประเทศมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสที่ปฏิวัติจากประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประเทศสาธารณรัฐ เนเธอร์แลนด์จึงมีระบบกษัตริย์ที่มีอายุน้อยมาก ถึงปัจจุบันมีอายุเพียง 200 ปีเท่านั้น กรณีของเนเธอร์แลนด์ สถาบันกษัตริย์เกิดขึ้นจากการปฏิวัติก่อนหน้าที่ทำให้กลายเป็นรัฐเดี่ยว และผู้นำไม่ได้เติบโตมาจากระบบฟิวดัล (Feudal) แต่สังคมดัตช์ดั้งเดิมก่อร่างจากสังคมชนชั้นกระฎุมพี (Von Der Dunk 2007: 86) กระทั่งทุกวันนี้คนดัตช์เองก็มองสังคมดั้งเดิมของตนเองแบบประชดประชันว่าก่อร่างสร้างตัวมาจากความเป็น “นักเทศน์-พ่อค้า” (Preacher-Merchant) ด้วยความที่ร่ำรวยจากการค้าทางทะเล หรือระบบตลาดโลกาภิวัฒน์ ดังนั้นในสมองจึงคิดแต่กำไร แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะปรับตัวเองให้เข้าคุณค่าและคุณธรรมที่ดำรงอยู่ (Tjeenk Willink 2007: 6)
สถาบันกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ
ในหนังสือ “ราชินี นักประชานิยม และคนอื่นๆ” (The Queen, the Populists and the Others) เขียนโดยยาน วิลเลิม ซาป (Jan Willem Sap) นักกฎหมายมหาวิทยาฟรีอัมสเตอร์ดัม (Vrije Universiteit Amsterdam) ได้เขียนสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยสถาบันกษัติย์ และความสัมพันธ์ของกษัตริย์ไว้เพื่อให้ชาวต่างชาติที่สนใจการเมืองเนเธอร์แลนด์ได้เข้าใจได้อย่างกระชับและได้ใจความ ซึ่งผู้เขียนขอสรุปจากหนังสือเล่มดังกล่าวดังนี้
ปัจจุบัน กษัตริย์ของเนเธอร์แลนด์นั้นมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ คือใครจะเป็นกษัตริย์ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา การขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์ของประเทศเนเธอร์แลนด์จึงไม่ได้อยู่บนแนวคิดการประกอบพิธีราชาภิเษก (Being crowned) ที่ยึดโยงกับหลักศาสนา แต่เป็นการมอบตำแหน่งที่มีเกียรติให้ (Being invested) ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางโลก [2] ดังนั้น กษัตริย์จึงไม่ได้มีฐานะเป็นสมมติเทพหรือเทพประทาน (Grace of God) เพราะเนเธอร์แลนด์ไม่เคยมีการปกครองแบบสมบุรณาญาสิทธิราช (Absolute Monarchy) มาก่อน (Instituut voor Publiek en Politiek 2005: 5) พิธีมอบตำแหน่งให้กับกษัตริย์นั้นส่วนใหญ่จัดขึ้นที่กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศ โดยกษัตริย์ต้องพิธีสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆของราชอาณาจักร
หน้าที่ของกษัตริย์ที่ระบุในรัฐธรรมนูญคือเปิดประชุมสภา เป็นประธานการประชุมของสภารัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งเป็นองค์กรทำหน้าที่ออกพระราชบัญบัติและกฎหมายต่างๆ ลงนามในการออกกฎหมาย และเป็นผู้นำในการต้อนรับผู้นำหรือคณะทูตจากประเทศต่างๆ และทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศในต่างแดน บทบาทอันหนึ่งที่น่าสนใจคือมีส่วนในการเลือกสรรบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ Formateur ระบบธรรมภิบาลของเนเธอร์แลนด์จึงอยู่ในกำกับของรัฐบาลด้วย ไม่ใช่ตัวกษัตริย์เพียงคนเดียว แต่เป็นกษัตริย์ทำงานร่วมกับสภารัฐมนตรี
เนื้อหาที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของเนเธอร์แลนด์ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ประเทศเปลี่ยนจากสาธารณรัฐเป็นราชอาณาจักรในปี 1814 และมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขเรื่อยมาหลายครั้ง รัฐธรรมนูญปี 1848 ระบุชัดเจนถึงสถานะกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญในฐานะประมุขของรัฐ (Head of state) และระบุว่ากษัตริย์จะล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญไม่ได้ และต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ Second Chamber of Parliament แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ระบุให้มีการเสนอการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (Motion of confidence) จึงทำให้สถาบันกษัตริย์เนเธอร์แลนด์ยังอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะในตอนนั้นกษัตริย์วิลเลิมที่ 2 (King Willem II) ตัดสินใจลาออกจากการเป็นกษัตริย์ระหว่างปี 1940-1949 ซึ่งเป็นที่ประทับใจมากท่ามกลางกระแสการปฏิวัติประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นทั่วยุโรป เป็นผลให้กษัตริย์วิลเลิมที่ 3 ครองราชย์ต่อมาในช่วงปี 1949 ถึง 1890 ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตรย์และสภาผู้แทนฯถือว่าตกต่ำ สภาฯจึงต้องการคุมอำนาจโดยการเปลี่ยนระบบจากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขพร้อมด้วยระบบรัฐสภา (constitutional monarchy with a parliamentary system) และเสนอให้มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจกษัตริย์ได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การครองราชสมบัติและสละราชสมบัติ
รัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์ปี 1887 นั้นประกาศให้ผู้หญิงดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศได้ ในกรณีที่ไม่มีทายาทฝ่ายชายที่สืบเชื้อสายโดยตรงของกษัตริย์วิลเลิมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ออรานเยอ-นาเซา (Oranje-Nasau) และสามารถสรรหาจากผู้สืบเชื้อสายของเจาหญิงของราชวงศ์ออรานเยอ-นาเซา หรือถ้ายังไม่มีผู้สืบทอดอีกก็ให้สรรหาจากพี่น้องคนถัดจากเจ้าหญิงลงไป กรณีราชินีวิลเฮลมีนา (Wilhelmina) ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ขึ้นครองราชย์ในราชวงศ์ออรานเยอ ซึ่งเป็นการสืบทอดจากพ่อของเธอคือกษัตริย์วิลเลิมที่ 1 และราชินีวิลเฮลมีนาก็มีพระธิดาองค์เดียวคือราชินียูลีอานา (Juliana) ตอนนั้นมีแนวโน้มแล้วว่าคนที่จะสืบราชสมบัติต่อคือผู้หญิงอีก ทำให้ในปี 1922 เกิดความคิดที่จะจำกัดไม่ให้มีการสืบรัชทายาทผ่านสายผู้หญิง ส่วนญาติฝ่ายราชินีวิลเฮลมีนาเองก็ถูกห้ามไม่ให้สืบราชบัลลังก์ต่อเช่นกัน แต่ต่อมาในปี 1963 กฎนี้ก็ถูกยกเลิกไป ผู้หญิงกลับมาสืบราชสมบัติได้อีก และในปี 1983 แนวคิดให้ผู้ชายได้รับการสรรหาก่อนผู้หญิงก็ยกเลิกตามมา การขึ้นมาครองราชย์ของเจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ในปี 2013 นี้จึงเป็นการให้ผู้ชายขึ้นมาเป็นกษัตริย์หลังจากที่เนเธอร์แลดน์มีผู้หญิงครองราชย์มา 123 ปี
ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังระบุไว้ในมาตรา 28 ว่าหากกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในสายที่จะสืบทอดราชสมบัติแต่งงานโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากกฎหมายของรัฐสภา ให้ถือว่ากษัตริย์พระองค์นั้นสละราชสมบัติไปโดยปริยาย ซึ่งกรณีนี้จะมีการจัดประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ กรณีนี้เกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของเจ้าชายโยฮัน ฟริโซ (Johan Friso) พระโอรสองค์ที่สองของราชินีเบอาทริกซ์ ซึ่งต้องการแต่งงานกับ มาเบิล วิสเซ สมิท (Mabel Wisse Smit) ซึ่งพบภายหลังว่ามีความสนิทคุ้นเคยกับนักค้ายาเสพติดรายหนึ่ง ทำให้ในเดือนตุลาคม 2003 นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นในฐานะประธานสภาฐานันดร (States-General) ประกาศไม่อนุมัติคำร้องขอแต่งงานของทั้งสอง โยฮัน ฟริโซต้องสละสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติ ปัจจุบันเขาไม่ใช่สมาชิกของพระราชวังแต่ยังถือว่าเป็นสมาชิกของเชื้อพระวงศ์อยู่ แต่มีการวิเคราะห์ภายหลังว่าการพิจารณาครั้งนั้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรง
ส่วนการสละราชสมบัติของกษัตริย์ระบุไว้ในมาตรา 27 ว่ากษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ไม่สามารถสละราชสมบัติล่วงหน้า ราชินีวิลเฮลมีนาสละราชสมบัติขณะที่มีอายุ 68 ปี ราชินียูลีอานาเมื่ออายุ 71 ปี และล่าสุดราชินีเบอาทริกซ์เมื่ออายุ 75 ปี โดยที่ราชินีเบทริกซ์เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าจะไม่สละราชสมบัติเร็วเกินไป เพราะต้องการให้เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ และเจ้าหญิงแม็กซิมา ซอร์เรกีเอต้า (Máxima Zorreguieta) พระชายา ได้มีโอกาสใช้เวลากับครอบครัวให้เพียงพอ (Willem Sap: 2010: 27) การสละราชสมบัติของกษัตริย์เนเธอร์แลนด์ถือว่าเป็นประเพณีที่แตกต่างจากอังกฤษ เพราะมีการถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยราชินีวิลเฮลมีน่า และการสละราชสมบัติก็ต้องได้รับการอนุมติจากคณะรัฐมนตรีเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ผู้สืบทอดราชสมบัติถูกพิจาณาให้พ้นออกจากตำแหน่งได้ โดยรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ 3 กรณี 1.ผู้นั้นอายุยังไม่ถึง 18 ปี 2.เมื่อสภารัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้นั้นไม่สามารถใช้อำนาจของกษัตริย์ได้ โดยต้องมีการรายงานการพิจารณาตรงนี้ไปยังสภาฐานันดร ซึ่งต้องได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการกฤษฎีกา (Council of states) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาของรัฐบาลเสียก่อน โดยสภาฐานันดรต้องเปิดประชุมและต้องมีการแจกจ่ายรายงานของสภารัฐมนตรีเพื่อการพิจารณา การแถลงรายงานดังกล่าวทำโดยประธานของที่ประชุมและมีผลทันที ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะเพื่อรองรับผลตรงนี้ แต่ต้องมีกฎหมายรองรับหากต้องการเปลี่ยนแปลงคำแถลงกรณีที่กษัตริย์องค์นั้นจะกลับมาดำรงตำแหน่งอีก กรณีที่กษัตริย์เจ็บป่วยหรือหายตัวไปเป็นระยะเวลานานนำไปสู่การประกาศให้พ้นออกจากตำแหน่งได้เช่นกัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์ เมื่อกษัตริย์วิลเลิมที่ 3 ล้มป่วยในปี 1889 และ 1890 และ 3.กษัตริย์สามารถที่จะสละอำนาจของกษัตริย์เป็นการชั่วคราวและกลับมาใช้อำนาจใหม่ได้ โดยที่สภาฐานันดรจะเป็นผู้ตัดสินใจในที่ประชุม กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นกับราชินีวิลเฮลมีน่าที่อาการป่วยนำไปสู่การที่อำนาจของกษัตริย์ถูกเพิกถอน ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่มีผลในทางปฏิบัติในวันที่ 10 ตุลาคม 1947
และมาตรา 38 ระบุว่ากรณีที่ไม่มีกษัตริย์ อำนาจของกษัตริย์จะอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่มาตรานี้ยังมีข้อถกเถียงตรงที่ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่าใครจะเป็นผู้ตัดสินในกรณีดังกล่าวว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะต้องปฏิบัติหน้าที่แทนกษัตริย์ ซึ่งอนุมานกันว่าหน้าที่ตกอยู่กับสภารัฐมนตรีโดยการปรึกษาหารือกับสภาฐานันดร ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เพราะกษัตริย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งประเด็นนี้จะอธิบายในส่วนต่อไป
สถาบันกษัตรย์กับการเมือง
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ากษัตริย์ของเนเธอร์แลนด์มีบทบาทหน้าที่ในการสรรหาผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี (Formateur) และคนสรรหานายกรัฐมนตรีหรือพิจารณาการจัดตั้งรัฐบาล (Informateur) ที่ทำหน้าที่ควบคู่กับกษัตริย์ นอกจากนี้ กษัตริย์เนเธอร์แลนด์ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่ประกอบด้วยกษัตริย์และรัฐมนตรีหนึ่งคนเป็นต้นไปเพื่อสร้างอำนาจของฝ่ายบริหาร โดยกษัตริย์มีสถานะเป็นประมุขของรัฐ ตรงนี้ไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแต่มีการปฏิบัติเป็นประเพณีมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ (Willem Sap: 2010: 20) ซึ่งตรงนี้เป็นจุดบอดของกฎหมายรัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์ บทบาทที่ลักลั่นนี้ปรากฏชัดในโอกาสที่ราชินีเบอาทริกซ์ต้องทำหน้าที่ในวันกล่าวพระราชดำรัสของราชินี (Queen’s speech Day) หรือ Prinsjesdag ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในวันอังคารที่สามของเดือนกันยายน ซึ่งเป็นการกล่าวข้อความจากกษัตริย์ที่ร่างขึ้นร่วมกับการกล่าวนโยบายของรัฐบาลก่อนที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภา ซึ่งหน้าที่ตรงนี้ระบุในมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญ
บทบาทในการเป็นประมุขของรัฐนี้ค่อนข้างขัดกับสิ่งที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า “สถาบันกษัตริย์คืออะไหล่ที่อยู่หลังระบบ” (Engine behinds the system) (Willem Sap 2010: 19) เช่นมาตรา 42 ว่าด้วยการไม่ก้าวล่วงทางการเมืองของกษัตริย์ ความเห็นของกษัตริย์ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กษัตริย์ถือว่ามีอำนาจในฐานะที่เป็นสวนหนึ่งของรัฐบาล เพียงแต่ต้องอยู่หลังประตูที่ถูกปิดไว้ ในทางปฏิบัติกษัตริย์ดัตช์มีการประชุมประจำสัปดาห์ร่วมกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ในขณะเดียวกันมีกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ว่า รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบกรณีที่หน้าที่ของตัวแทนและการกระทำอื่นๆของกษัตริย์นั้นส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะ ด้วยมาตรานี้จึงส่งผลให้รัฐมนตรีต่างๆไม่สามารถปกป้องนโยบายของรัฐบาลด้วยการอ้างว่าเป็นแนวคิดของราชินีโดยเด็ดขาด ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบต่อนโยบายทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ความรับผิดชอบรวมไปถึงการกระทำที่เป็นส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ด้วย
บทบาทของสถาบันกษัตริย์จะอ่อนแอลงก็ต่อเมื่ออำนาจของสภาผู้แทนราษฎรเข้มแข้ง ในทางปฏิบัติการทำงานของสถาบันกษัตริย์และรัฐสภามีการถ่วงดุลกันตลอด หากเกิดปัญหาขึ้นระหว่างสองสถาบัน การณ์จะเป็นลักษณะที่ว่ารัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีลาออก เช่นเดียวกัน กษัตริย์สามารถที่จะได้รับการประกาศว่าขาดศักยภาพในการบริหารอำนาจของกษัตริย์ได้ ซึ่งเพื่อเป็นการสืบทอดราชวงศ์ให้อยู่ต่อไป ทำให้กษัตริย์ต้องพยายามที่จะทำตามเจตนารมย์ของคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเมืองรัฐสภา แต่ก็ยังมีช่องทางที่ราชินีสามารถที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศได้เช่นกัน (Willem Sap 2010:38-39)
การสร้างสมดุลทางอำนาจระหว่างกษัตริย์และรัฐสภานั้น มีให้เห็นเป็นตัวอย่างเมื่อเจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ต้องการแต่งงานกับแม็กซิมา ซอร์เรกีเอต้า ในปี 2002 ซึ่งสาธารณะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเข้มข้นถึวความเหมาะสม เนื่องจากบิดาของแม็กซิมา เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรสมัยเผด็จการนายพลจอร์จ ราฟาเอล ฟิเดลา (Jorge Rafael Videla) ที่ยึดครองอำนาจประเทศอาเจนตินา ช่วงทศวรรษ 1970 และทำให้เกิดการฆ่าผู้คนตายถึง 30,000 คน ในที่สุดปัญหาของเรื่องนี้จบลงตรงที่บางส่วนของคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ทั้งสองเข้าพิธีสมรสได้ภายใต้ในเงื่อนไขที่ว่าบิดาของแม็กซิมาต้องไม่ปรากฏตัวในพิธีสมรส (Willem Sap 2010: 30)
ในทางกลับกัน ราชินีเบอาทริกซ์ก็เข้ามามีอิทธิพลในทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดและสาธารณชนก็รับรู้ ล่าสุดมื่อสมัยเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายน 2010 ซึ่งเกียท วิลเดอรส์ (Geert Wilders) ผู้นำพรรคการเมืองเพื่อเสรีภาพ (Partij voor de Vrijheid – PVV) ที่ชูจุดยืนเรื่องการลดอาชญากรรมด้วยการลดจำนวนคนเข้าเมือง (Immigrants) และลดความสำคัญของความเป็นอิสลาม ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจว่าในการเลือกตั้งครั้งนั้นมีผู้ให้การสนับสนุนพรรคของวิลเดอร์มากขึ้นกว่าการเลือกตั้งในปี 2006 โดยได้รับการเลือกตั้งถึง 24 ที่นั่งจากทั้งหมด 150 ที่นั่งของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้จะไม่ใช่พรรคที่มีเสียงมากที่สุด แต่ก็ถือว่าได้รับชัยชนะมากที่สุด เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ที่พรรคนี้ได้รับเลือกเพียง 9 ที่นั่ง ในขณะนั้นพรรคที่ได้รับเลือกตั้งสูงสุดคือพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย (Volkspartij voor Vrijheid en Democratie - VVD ) ที่ได้ 31 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคแรงงาน (Partij van de Arbeid-PvdA) ที่ได้ 30 ที่นั่ง ตอนนั้นพรรคของวิลเดอร์ซึ่งได้อันดับสามสามารถต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลผสมได้
แต่เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าราชินีเบอาทริกซ์ไม่นิยมชมชมในตัววิลเดอร์เพราะไม่ต้องการให้แนวคิดอนุรักษ์นิยม ขวาสุดโต่งของเขาเข้ามาครอบงำรัฐบาล ก่อนหน้านี้ราชินีเบอาทริกซ์มักแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในกรณีที่ให้เคารพความแตกต่างของสังคมที่เต็มไปด้วยชนกลุ่มน้อย รวมทั้งกรณีที่ประชาชนต่อต้านการแต่งงานของวิลเลม-อเล็กซานเดอร์กับแม็กซิมา พระองค์เองก็ได้ย้ำแนวคิดนี้อีกครั้งหนึ่ง ในการเลือกตั้งครั้งนี้ราชินีแสดงความจำนงอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้พรรคของวิลเดอร์เข้าร่วมรัฐบาลผสม ถึงขั้นมีข่าวลือเป็นเดือนๆว่าราชินีเลื่อนการสละราชสมบัติออกไปเพื่อให้การเลือกตั้งปี 2010 ผ่านไปเสียก่อน เพราะต้องการดับความทะเยอทะยานของวิลเดอร์ที่จะเป็นรัฐบาล กรณีนี้ทำให้เกิดความไม่พอในอย่างมากทั้งวิลเดอร์เองและนักกฎหมายในแง่ที่ว่าราชินีเข้ามาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล และสกัดกั้นไม่ให้วิลเดอร์เป็นพรรคหนึ่งที่จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าไม่เคารพในการตัดสินใจของประชาชนที่เลือกพรรคของวิลเดอร์
การเมืองของเนเธอร์แลนด์น่าสนใจตรงที่ว่า ไม่จำเป็นเสมอไปที่พรรคที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล บางครั้งเสียงที่ประชาชนออกมาเลือกนั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมย์ของพวกเขาแม้ว่าพรรคที่เลือกจะได้รับเสียงข้างมาก เพราะการเจรจาต่อรองนั้นเกิดขึ้นและก็เป็นความลับจนหาร่องรอยของผลการเจรจาแทบไม่ได้ก็มี การจัดตั้งรัฐบาลในปี 2010 วุ่นวายมากเพราะพรรคที่ได้รับเลือกตั้งสูงสุดอย่างพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยปฏิเสธที่จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคแรงงานเพราะต้องการจัดตั้งรัฐบาลที่ออกไปทางซ้ายเสรีนิยม แต่ก็ลงตัวตรงที่ราชินีเบอาทริกซ์ขอให้มาร์ค รุทเท (Mark Rutte) หัวหน้าพรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ยอมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคอุทธรณ์ประชาธิปไตยคริสเตียน (Christen-Democratisch Appèl-CDA) ซึ่งเป็นพรรคที่อนุรักษ์นิยมเหมือนกัน แต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคของวิลเดอร์ ทำให้รัฐบาลมีลักษณะเป็นกลาง คือไม่ซ้ายหรือขวาจัด (Willem Sap 2010: 53-56) ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เห็นบทบาทของราชินีที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ว่าเป็นการสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาลและประเทศก็ตาม
แต่ในเดือนเมษายน 2012 มาร์ค รุทเท ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อราชินีเบอาทริกซ์ เนื่องจากไม่สามารถแก้ปัญหาด้านงบประมาณให้เป็นไปตามเกณฑ์ของสหภาพยุโรป [3] แต่ รุทเทก็ได้ชัยชนะอีกครั้งจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2012 คราวนี้พรรคฝ่ายซ้ายหรือเสรีนิยมของนายรุทเทได้คะแนนท่วมท้นถึง 41 ที่นั่ง ตามด้วยพรรคแรงงานที่ได้ 39 ที่นั่ง รวมที่นั่งของทั้งสองพรรคอยู่ที่ 80 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลผสมไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนการเลือกตั้งปี 2010 ส่วนพรรคของวิลเดอร์กลับคะแนนตกเหลือเพียง 15 ที่นั่งจาก 24 ที่นั่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 2010 ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าคนดัตช์ไม่เอานโยบายสุดโต่งที่ต่อต้านมุสลิมและการรวมตัวกันของประเทศยุโรปของนายเกียรท์ นอกจากนี้เห็นว่าคนดัตช์เบื่อหน่ายกับผลการเลือกตั้งที่เอียงไปฝ่ายซ้ายหรือขวาอย่างชัดเจนเพียงฝ่ายเดียว และไม่ต้องการผลการเลือกตั้งที่มีคะแนนสูสีจนทำให้เกิดการต่อรองเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาลเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา [4]
การเฉลิมฉลองวันควีนส์เดย์
ราชินีเบอาทริกซ์กำลังจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของวันควีนส์เดย์ที่ตรงกับวันที่ 30 เมษายนเป็นปีสุดท้าย วันเกิดของราชินีในความหมายนี้ทำให้ความเป็นตัวตนแยกออกจากราชราชสำนัก และวันนี้ผู้คนก็จะใส่เสื้อสีส้มฉลองกันทั่วประเทศ เพราะสีส้มซึ่งเป็นสีประจำราชวงศ์ออรานเยอ-นาเซา (Oranje-Nasau) (oranje แปลว่าส้มในภาษาดัตช์) สีส้มของราชวงศ์เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาชนไปแล้ว (Schnabel 2007: 34) ขณะที่วิเคราะห์ว่าสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์เนเธอร์แลนด์นั้นถือว่าเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ชาติที่แน่นแฟ้นที่สุดในบรรดาประเทศในยุโรป (Blockmans 2007: 131)
วันควีนส์เดย์นั้นเฉลิมฉลองกันมายาวนาน โดยงานศึกษาของ Komter (2007) ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจถึงระยะห่างและความใกล้ชิดของสถาบันกษัตริย์และประชาชนผ่านพิธีกรรม โดยส่วนหนึ่งได้วิเคราะห์การเฉลิมฉลองวันควีนส์เดย์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากอดีตถึงปัจจุบันอย่างน่าสนใจ การฉลองวันควีนส์เดย์นั้นเริ่มมีตั้งแต่สมัยที่ราชินีวิลเฮลมีน่า ในปี 1885 แต่ขณะนั้นยังเป็นประเพณีการเฉลิมของวันเจ้าหญิง (Princess Day) เพื่อให้เกิดการสืบต่อจากการเฉลิมฉลองวันเกิดของกษัตริย์วิลเลมที่ 1 ผู้เป็นพ่อ ซึ่งตอนนั้นประชาชนพยายามจัดกิจกรรมรื่นเริง ทั้งการเดินพาเหรด เล่นเกม แสดงดนตรี และจุดดอกไม้ไฟ เพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ ในขณะนั้น ผู้ที่เป็นกษัตริย์ไม่ได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์หรือส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองนี้ ถือเป็นการเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นโดยประชาชนเพียงฝ่ายเดียว ความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์และประชาชนยังมีไม่มากนัก รูปแบบเริ่มเปลี่ยนไปในสมัยราชินียูลีอานา ที่สมาชิกเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดมารวมตัวกันที่ขั้นบันไดของพระราชวัง Soesdijk และมารับพระราชทานของที่ระลึกจากประชาชน ซึ่งระยะห่างระหว่างสถาบันกับประชาชนอาจมีน้อยลงในสมัยนี้ (Komter.2007: 63-64)
รูปแบบนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในยุคของราชินีเบอาทริกซ์ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่ประชาชนจะเป็นคนไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แต่สมัยราชินีเบอาทริกซ์เป็นลักษณะที่กษัตริย์ไปหาประชาชน โดยราชินีเบอาทริกซ์มีกำหนดการเดินทางไปยังเมืองต่างๆในแคว้นต่างๆทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเลือกเดินทางไปอย่างน้อย 2 เมืองในแต่ละปี โดยประเพณีปฏิบัตินี้เริ่มขึ้นในปี 1981 ประชาชนในเมืองที่ราชินีเสด็จเยือนก็ต้องเตรียมการต้อนรับเพื่อทำให้วันนี้เป็นวันที่รื่นเริงของกษัตริย์ที่สุดด้วย ราชินีร่วมร้องเพลง เต้นรำ หรือทำกิจกรรมอื่นๆร่วมกับประชาชน ขณะที่เจ้าหญิงและเจ้าชายองค์อื่นๆก็ร่วมกิจกรรมด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่น่าประทับใจสำหรับประชาชนคือเจ้าชายเมาริทซ์ (Maurits) ได้ร่วมรีดนมแพะด้วยมือกับชาวบ้าน กลายเป็นว่าประชาชนไม่ได้ถวายอะไรกับกษัตริย์เพียงอย่างเดียว แต่กษัตริย์กลับต้องเป็นผู้ให้คืนด้วย เป็นลักษณะการให้ต่างตอบแทน (reciprocal relationship) ทำให้เกิดความผูกพันและสร้างเงื่อนไขข้อตกลงขึ้น (ibid.)
นี่คือการวิเคราะห์ของนักวิชาการที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเฉลิมฉลองวันควีนส์เดย์ที่เปลี่ยนไป และซ่อนนัยยะของความห่างและใกล้ชิดของสถาบันกษัตริย์และประชาชนเอาไว้ ส่วนตัวผู้เขียนเองนั้นขอเล่าประสบการณ์สั้นๆที่ได้มีโอกาสร่วมฉลองวันดังกล่าวปี 2012 ที่อัมสเตอร์ดัมซึ่งเป็นเมืองที่ผู้เขียนอยู่ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเห็นการเฉลิมฉลองวันเกิดของกษัตริย์ที่ได้เห็นบรรยากาศบ้าบอ (crazy) ของคนดัตช์มากที่สุด เพราะไม่มีพิธีเกี่ยวกับราชวังมากมายนัก คนดัตช์เองก็เหมือนทำกิจกรรมสนุกสนานกลางแจ้ง กิน เล่น เต้น ร้องเพลง ดื่มแอลกอฮอล์และเมากันอย่างคึกคัก แต่ที่เห็นชัดคือทุกคนจะพร้อมใจกันใส่เสื้อสีส้มกันเต็มเมือง พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งอย่างวิกผม แว่นตา หรือของบรรดามีที่พร้อมจะทำให้เกิดความบ้าบอมากกว่าจะเคร่งขรึมสำรวม อย่างไรก็ตาม มีบ้างบางคนที่ปฏิเสธจะใส่เสื้อสีส้มเพื่อแสดงอัตลักษณ์ดัชต์ เพื่อนของผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาบอกกับผู้เขียนถึงเหตุผลที่ไม่ใส่เสื้อสีส้มในโอกาสนี้ว่า “เพราะสีส้มเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งฉันไม่ต้องการที่จะแสดงตรงนี้เชื่อมโยงตนเองเข้ากับสถาบัน”
บรรยากาศเฉลิมฉลองวันควีนส์เดย์ในคลองอัมสเตอร์ดัมปี 2012 (ภาพโดย: บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล)
อีกบรรยากาศที่น่าสนใจคือ แม้จะเป็นวันเกิดของราชินี แต่ประชาชนก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์หรือล้อเลียนราชินีได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรตราบใดที่ไม่เข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาท เช่น ตัวอย่างโปสเตอร์ที่ล้อเลียนราชินีด้วยการทำเป็นโฆษณาการแสดงเรื่อง “God Save the Queen” ดังภาพข้างล่าง
ภาพโดย: บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
ส่วนอีกภาพเป็นบรรยากาศล้อเลียนราชินีเบอาทริกซ์ โดยคนในรูปที่ยืนหลังป้ายคัทเอาต์ที่เขียนชื่อของราชินีไว้ ข้างหลังเป็นรูปวาดของราชินีเหมือนนั่งชมเกมนี้อยู่ ส่วนที่พื้นตรงบริเวณพรมแดงเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทยได้ว่า “เชิญเข้ามาชมกษัตริย์รอยสัก” ผู้ชายในภาพชวนคนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนนเล่นเกมด้วยการให้ปาไข่ให้โดนส่วนใบหน้าของเขา จะเห็นว่าในภาพเขาโดนไข่ปาใส่หน้าอย่างจัง และที่พื้นก็เต็มไปด้วยเปลือกไข่และคราบไข่ที่แตกแล้วเต็มไปหมด จะเห็นว่าคนสร้างเกมนี้ให้เป็นความสนุกสนาน ซึ่งคนดัตช์สามารถทำได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ผิดกฎหมายใดๆเลย และคนที่เข้าร่วมก็ร่วมเล่นเกมอย่างครึกครื้นได้อย่างไม่มีปัญหาเช่นกัน
สถาบันที่แตะต้อง-วิพากษ์วิจารณ์ได้
ดังที่กล่าวไปในตอนที่แล้วว่า การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์นั้นทำได้ภายใต้กฎหมายที่กำหนดไว้ เนเธอร์แลนด์ไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีเพียงกฎหมายหมิ่นประมาทที่ใช้กับคนที่ทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2003 ที่มีคนสองคนหมิ่นประมาทเจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ และเจ้าหญิงแม็กซิมา และอีกคนหนึ่งทำพลการด้วยการเอาสีไปทารถม้าที่ใช้ในงานเฉลิมฉลองอภิเษกสมรสของทั้งสองพระองค์ ทั้งสองกรณีนั้นผู้กระทำผิดต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 250 ยูโร และอีกกรณีในปี 2007 ศาลอัมสเตอร์ดัมได้ตัดสินให้ชายคนหนึ่งผิดด้วยข้อหาหมิ่นประมาทราชินีและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยการจ่ายค่าปรับจำนวน 400 ยูโร และถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ความผิดในข้อหาหมิ่นประมาทนั้นระบุไว้ในกฎหมายอาญาตั้งแต่ปี 1881 โดยมีโทษสูงสุดในข้อหาหมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์คือจำคุก 5 ปี ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้บนพื้นฐานของเสรีภาพของการแสดงออก (Free speech) ที่เห็นว่าโทษนี้มากเกินไปเมื่อเทียบกับโทษสูงสุด 2 ปี ที่เป็นการหมิ่นประมาทระหว่างประชาชนเอง
แล้ววิพากษ์วิจารณ์อะไรได้บ้าง เรื่องหนึ่งคือการใช้เงินงบประมาณของราชินีและสมาชิกบางพระองค์ ในรัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์และพระราชบัญญัติการเงินของราชวัง (Royal House Finance Act) ระบุว่างบประมาณส่วนนี้จ่ายโดยตรงต่อราชินีเบอาทริกซ์ เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ และพระชายา เจ้าหญิงแมกซิมา ขณะที่เชื้อพระวงศ์องค์อื่นๆไม่ได้รับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ส่วนที่เกี่ยวกับพนักงานของราชวัง 2.ส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ และ 3.ส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ของทั้งสามพระองค์ โดยที่ทั้งสามไม่ต้องเสียภาษีจากรายได้ในส่วนนี้ ตารางข้างล่างแสดงค่าใช้จ่ายประเมินค่าของทั้งสามพระองค์ในปี 2008
ผู้รับ | ค่าใช้จ่ายส่วนที่1 (พันยูโร) |
ค่าใช้จ่ายส่วนที่2 (พันยูโร) |
ค่าใช้จ่ายส่วนที่3 (พันยูโร) |
รวม (พันยูโร) |
ราชินีเบอาทริกซ์ | 1,590 | 1,819 | 792 | 4,201 |
เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ | 310 | 463 | 235 | 1,008 |
เจ้าหญิงแม็กซิมา | 310 | 348 | 235 | 893 |
(แปลจาก Willem Sap 2010:16)
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 อดีตนายกรัฐมนตรีคลัง เกอริท ซาล์ม (Gerrit Zalm) ได้นำเสนอรายงานว่ากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ใช้จ่ายเป็นจำนวนถึง 39 ล้านยูโรต่อปี โดยได้ตีความไว้แล้วว่ากษัตริย์ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ที่เป็นรัฐประชาธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม เพราะฉะนั้นต้องราชินีเบอาทริกซ์ต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้
นอกจากนี้ ในแวดวงของวิชาการก็น่าสนใจ เพราะมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่สนใจศึกษาบทบาทของสถาบันกษัตริย์เนเธอร์แลนด์ ในปี 2005 มีการจัดประชุมวิชาการอย่างเป็นทางการ 2 วัน ที่เมืองโกรนิงเกอ (Groningen) เกี่ยวกับประเด็นนี้หัวข้อ “ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของเนเธอร์แลนด์ท่ามกลางยุโรปในความเปลี่ยนแปลง” (The Dutch constitutional monarchy in a changing Europe) ในวาระโอกาสที่ราชินีเบอาทริกซ์ครองราชย์ครบรอบ 25 ปี ซึ่งหนึ่งในนักวิชาการกลุ่มนี้อย่าง Van Den Berg (2007:69) ก็ยอมรับในบทความของเขาว่าหากเป็น 25 ปีก่อน การจัดประชุมวิชาการเช่นนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ในปี 1966 มีการจัดงานประชุมลักษณะนี้ที่เมืองไนเมเกอ (Nijmegen) และมีการบรรยายเรื่องนี้ในอัมสเตอร์ดัมปี 2000 แต่เนื้อหาไม่เข้มข้นเป็นทางการเหมือนในปี 2005 รวมถึงมีวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับสถาบันกษํตริย์ในยุโรปในศตวรรษที่ 19 ของ Jaap van Osta ซึ่งต่อมาเขาเป็นบรรณาธิการประจำฉบับของวารสาร Maatstaf ที่รวบรวมเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ และวารสารฉบับพิเศษอีกเล่มคือ Amsteram Sociologisch Tijdschrift ในปี 1989 ซึ่งเขาเห็นว่าความสนใจในการพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์นั้นมาจากนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์และกฎหมายในช่วงปี 1980 แต่ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่ปลอดโปร่งเท่าช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ความสนใจใคร่รู้ของนักวิชาการที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้บรรยากาศวิชาการเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยหลักที่สำคัญคือบทบาทหน้าที่ของราชินีเบอาทริกซ์ในนามของสถาบันกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ นั่นคือการที่ราชินีเองก็ทันสมัยพอที่จะยอมให้เป็นหัวข้อในการศึกษาทางวิชาการ (ibid 2007:71)
นอกจากจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ในขอบขายที่ไม่ใช่การหมิ่นประมาท ประชาชนยังล้อเลียนสถาบันกษัตริย์ได้เช่นกัน มีหนังสือเล่มหนึ่งสร้างความตกใจกับผู้เขียนไม่น้อยเมื่อเห็นหน้าปกครั้งแรกที่ร้านหนังสือ หนังสือเล่มนี้ชื่อ “เบอาทริกซ์...70 ปีเล่าเรื่องด้วยภาพ” (Zeventig Jaar in Beeld) เขียนเป็นภาษาดัตช์ รวบรวมโดย Carl Nix เป็นเรื่องราวเกี่ยวประวัติของราชินีเบอาทริกซ์ที่จัดทำขึ้นในโอกาสที่มีพระชนมายุครบ 70 ปี โดยรวบรวมภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ภาพวาด ภาพบนสแตมป์ ภาพล้อเลียน หรือการ์ตูนล้อการเมือง เริ่มตั้งแต่หน้าปกหนังสือที่เป็นรูปวาดของ Paul van der Steen ซึ่งทำขึ้นในโอกาสที่ราชินีครบรอบ 70 ปี และเมื่อเปิดไปในเล่ม ก็ทำให้รู้ว่าราชินีเป็นหนึ่งในบุคคลที่สามารถวาดภาพล้อเลียน เสียดสี หรือทำให้ตลกขบขันได้ บางรูปวาดหน้าราชินีเหมือนลิงไม่ผิดเพี้ยน เมื่อเห็นอย่างนั้น ผู้เขียนเลยซื้อกลับมาเป็นที่ระลึกหนึ่งเล่ม และด้วยราคาที่ลดถึง 70% แม้ว่าจะเป็นภาษาดัตช์ก็ตาม
หน้าปกหนังสือ “เบอาทริกซ์...70 ปีเล่าเรื่องด้วยภาพ”
ภาพวาดล้อเลียนราชินีที่เป็นลิง
การ์ตูนล้อการเมืองด้วยคำบรรยายว่า “เบอาทริกซ์...หัวหน้าจ่าฝูง” (Beatrix als boegbeeld)
หรือล่าสุด หลังจากที่ราชินีเบอาทริกซ์ประกาศสละราชสมบัติแล้ว และเมื่อใกล้จะถึงวันที่ 30 เมษายนซึ่งจะเป็นวันที่จะมีพิธีแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่อย่างเป็นทางการ คณะละครคณะหนึ่งได้จัดการแสดงละครเวทีเรื่อง เรื่อง “เบอาทริกซ์และนายกรัฐมนตรีทั้ง 5” (Beatrix en de Premiers) ที่ศูนย์วัฒนธรรมและการแสดงแห่งหนึ่งในเมืองอัมสเตอร์ดัม เพื่อให้เข้ากับบรรยาการการสละราชสมบัติของราชินีเบทริกซ์ ผู้เขียนบทละครจึงสร้างเรื่องราวของราชินีว่าเบอาทริกซ์ กับนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 คนที่ทำงานในช่วงที่ราชินีครองราชย์ [5]
ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดทำให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์นั้นเป็นสถาบันที่วิพากษ์วิจารณ์และแตะต้องได้อย่างแท้จริง
สถาบันกษัตริย์ดัตช์ในยุคสมัยใหม่
ในบทความของ Shenbel (2007:29) ได้นำผลสำรวจในปี 2004 ของสำนักงานวางแผนทางสังคมและวัฒนธรรมของเนเธอร์แลนด์ (Social and Cultural Planning Office) ที่ทำการสำรวจความเห็นของคนดัตช์ โดยถามว่าคิดว่าวัฒนธรรมหรือประเพณีอะไรของคนดัตช์ที่น่าจะหายไปในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการถามถึงความคาดหวังมากว่าความปรารถนาหรือความกังวลหรือเกรงกลัว โดย 29% ตอบว่าพระราชวัง แม้ว่าจะเป็นจำนวนที่ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์ ขณะที่ 50% ของผู้ตอบสำรวจต้องการให้กองทัพไม่มีอยู่ และอีก 36%เสนอว่าต้องการให้ศีลธรรม (Morals) หรือจารีต (Customs) บางอย่างจางหายไป และอีก 28% คือความเป็นดัตช์ (Being Dutch) ซึ่ง Shenbel มองว่าแทบจะเป็นไม่ได้เลยที่จะเป็นเหตุบังเอิญที่คนรวมเอาราชวังก็เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นดัตช์ด้วย และที่มีสัดส่วนไม่น้อยคือ 23% เห็นว่าเนเธอร์แลนด์ในฐานะที่เป็นรัฐอิสระ (Independent state) เพราะการเกิดขึ้นของสหภาพยุโรปที่ทำให้เนเธอร์แลนด์ต้องเป็นไปตามกฎกติกาขององค์กรระดับภูมิภาค และปรากฏการณ์โลกาภิวัฒน์ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ ที่เห็นว่าภาษาดัชต์จะหายไป คิดเป็น 8% และอีก 4% คือการปฏิบัติแบบดัตช์ (Dutch treats)
นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความเห็นของคนดัตช์จำนวน 1,000 คน โดยสถาบันมอริซ เดอ ฮอนด์ (Maurice de Hond) (อ้างใน Willem Sap 2010:31) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2008 ว่าต้องการให้เนเธอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐหรือไม่ ปรากฏว่า
2008 | 2007 | 2006 | |
เนเธอร์แลนด์ควรดำรงสถาบันกษัตริย์ | 70% | 71% | 76% |
เนเธอร์แลนด์ควรเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ | 25% | 23% | 20% |
ไม่แน่ใจ/ไม่ตอบ | 5% | 6% | 4% |
จากผลสำรวจที่พบว่าจำนวน 5% ที่เพิ่มขึ้นที่ต้องการให้เนเธอร์แลนด์เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐนั้น มีการวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งมาจากความนิยมของเกียท วิลเดอร์ การเมืองเพื่อเสรีภาพ (Partij voor de Vrijheid – PVV) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเขาต้องการให้ราชินีเบทริกซ์ถอนตัวจากรัฐบาล วิลเดอร์เป็นผู้ที่มีแนวคิดขวาสุดขั้ว ในแง่ที่มีความเป็นชาตินิยมสูง ต่อต้านการรวมตัวของประเทศยุโรป และความเป็นอิสลาม (Ibid.) ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนมองว่าทัศนคติของคนอนุรักษ์นิยมแบบเขากลับไม่ต้องการให้กษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะสถาบันกษัตริย์ไม่ใช่สิ่งที่ดั้งเดิมของเนเธอร์แลนด์
แม้ว่าผลสำรวจที่เสนอว่าความต้องการให้สถาบันกษัตริย์อยู่นั้นลดลง ถึงกระนั้น ราชินีเบอาทริกซ์และเชื้อพระวงศ์ปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมในหมู่คนดัตช์พอสมควร Van Den Berg (2007: 70) วิเคราะห์ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะราชวงศ์รู้ตัวว่าต้องปรับตัวและพยายามใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ราชินีเบอาทริกซ์รู้ว่ากลุ่มคนที่จะไม่พอใจกับสถาบันกษัตริย์มากที่สุดคือกลุ่มชนชั้นกลางและปัญญาชนต่างๆ ดังนั้นราชินีและเจ้าชายเคราส์ สวามีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่พยายามที่มีบทบาทและสร้างผลงานเอาใจกลุ่มปัญญาชนและชนชั้นกลางที่ชื่นชอบศิลปะด้วยการปรากฏตัวที่พระราชวังที่อัมสเตอร์ดัมในโอกาสสำคัญ หากประทับที่กรุงเฮกหรือเดน ฮาก (Den Haag) และสร้างพื้นที่อัมสเตอร์ให้เป็นเมืองหลวงของประชาชน แล้วใช้กรุงเฮกเป็นศูนย์กลางราชการและวังของเจ้า นอกจากนี้ก็ให้การสนับสนุนศิลปะแขนงต่างๆ เช่นจัดคอนเสิร์ตที่กรุงเฮก สนับสนุนศิลปะการเต้น และอนุญาตให้ศิลปินเป็นผู้ตัดสินใจและเลือกแบบการปรับปรุงตกแต่งประสาทนอร์ดอายเด (Noordeinde Palace) ซึ่งเป็นพระราชวังสำหรับทรงงานของราชินีเบอาทริกซ์ตั้งแต่ปี 1984 [6]
หรือล่าสุดที่เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ ให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์บีบีซีว่า เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วประชาชนยังสามารถเรียกเขาด้วยชื่อดั้งเดิมคือวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์มากกว่ากษัตริย์วิลเลิมที่ 4 เพราะเหมือนกับตัวเขากลายเป็นตัวเลข นอกจากนี้ ยังย้ำถึงบทบาทของกษัตริย์ที่จะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และทำตามหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ [7]
ขณะเดียวกัน คนดัตช์รู้สึกได้ว่า สถาบันกษัตริย์ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป เป็นแค่ดาราดังที่ไม่ต่างอะไรกับดาราฮอลลีวู้ด อย่างที่ผู้เขียนสังเกตที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ (Madame Tussauds) ที่อัมสเตอร์ดัมก็มีหุ่นของราชินีทุกพระองค์ให้คนเข้าไปถ่ายรูปได้ โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หรือตัวอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าเกี่ยวกับการเสด็จเยือนไปเยี่ยมประชาชนในวันควีนส์เดย์ของราชินีเบอาทริกซ์
Von Der Dunk (2007: 95) เสนอว่า ลักษณะที่กษัตริย์อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนนั้นเรียกว่า “สมัยใหม่” ซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญมาก ตรงกันข้าม หากสมาชิกราชวงศ์ยังเพลิดเพลินกับการมีอภิสิทธิ์ที่เป็นประเพณีดั้งเดิมกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเส้นแบ่งระหว่างชนชั้นขุนนางและชนชั้นกลางนั้นพร่าเลือนมากขึ้น ทุกวันนี้มีเพียงคนรุ่นเก่า อนุรักษ์นิยมและเป็นคริสเตียนเท่านั้นที่ยังยินดีกับสถาบันกษัตริย์ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์และอัตลักษณ์ของชาต หรือเป็นสถาบันที่ขาดไม่ได้เพื่อปกป้องการแตกแยกทางสังคม ถึงกระนั้น สถาบันกษัตริย์ดัตช์ปัจจุบันก็ทำให้เห็นว่าความเป็นกษัตริย์กับคนธรรมดานั้นไม่แตกต่างกัน สถานะของกษัตริย์หากขยับเข้าใกล้กับความเหนือปกติเกินธรรมดาเมื่อไร สิ่งที่ตามมาคือการขาดความโปร่งใส โดยเฉพาะกษัตริย์ของเนเธอร์แลนด์ที่มีสถานะเป็นประมุขของรัฐ ก็ยิ่งจะทำให้เสถียรภาพของกษัตริย์กับความหมายของการเป็นรัฐชาติลดน้อยลง
หุ่นขี้ผึ้งของราชินีและราชวงศ์บางพระองค์ของเนเธอร์แลนด์ที่พิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซ่ ในกรุงอัมสเตอร์ดัม (ภาพบน) ราชีนีเบอาทริกซ์ และ (ภาพล่าง) เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์และแม็กซิมา ชายา (ภาพโภย: บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล)
Von Der Dunk (2007: 91) วิเคราะห์ว่า รูปแบบของสถาบันกษัตริย์แบบรัฐสภา (Parliamentary Monarchy) น่าจะเป็นหลักสำคัญในการค้ำจุนสถาบันกษัตริย์ของเนเธอร์แลนด์ หากยึดแนวคิดนี้ การมีสถาบันกษัตริย์ในรูปแบบสมมติเทพกลายเป็นเรื่องแปลก ไม่สมเหตุสมผลหรือมีมโนธรรมมากนักสำหรับยุคสมัยปัจจุบันที่สังคมพ้นจากการครอบงำของศาสนา (Secularized society) อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ต้องมีการประท้วงหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งสถาบันกษัตริย์ก็ต้องไม่ใช้อำนาจทางการเมืองในระบบรัฐสภาด้วยเช่นกัน เขาเสนออีกว่า คนส่วนใหญ่ในจำนวนประชากรทั้งหมดที่พบในกลุ่มคนที่มีการศึกษาน้อย เป็นผู้มีใจเข้มแข็งมากในยุคความเป็นสมัยใหม่และการเมืองในชีวิตประจำวัน ซึ่งพวกเขาเป็นพวกที่ยึดติดกับปูชนียบุคคลตัวอย่างที่เป็นพ่อหรือแม่ที่มีความเหนือธรรมดา
ตัวอย่างสดๆร้อนๆ ก่อนมีพิธีขึ้นครองราชย์ของเจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ มีประชาชนจำนวนประมาณ 40,000 คนออกมาประท้วงกับ “เพลงกษัตริย์” (King's Song) หรือ Koningslied ในภาษาดัตช์ซึ่งประพันธ์โดย จอห์น อิวแบงค์ (John Ewbank) ที่จะใช้ประกอบพิธีการขึ้นครองราชย์ในวันที่ 30 เมษายนนี้ โดยคนดัตช์เหล่านี้ได้ร่วมกันลงชื่ออุทธรณ์ไม่ให้มีการใช้เพลงดังกล่าวในการประกอบพิธี เนื่องจากรับไม่ได้กับเนื้อหาเกินจริงที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะท่อนแร็พที่มีเนื้อหาว่า ให้ชูนิ้วสามนิ้วรูป W ในอากาศแสดงสัญลักษณ์ถึงวิลเลิม (Willem-Alexander) “ฉันจะปลุกเธอให้ตื่นจากนิทรา ปกป้องเธอจากภัยพายุ บอกให้ฉันรู้ว่าถึงใฝ่ฝันถึงสิ่งใด...” ซึ่งหนึ่งในผู้ประท้วงและลงชื่อต่อต้านคือซิลเวีย วิทเทอมัน (Sylvia Witteman) กล่าวว่าในการยื่นเรื่องอุทธรณ์นี้ ขอสละความเป็น “คนดัตช์ที่ถูกกระทำ” (Dutch subject) โดยที่ผู้ประพันธ์เพลงตัดสินใจก็ตัดสินใจทันที่จะถอนเพลงนี้ไม่ให้ใช้ในการประกอบพิธี ทั้งที่เป็นเพลงที่ปล่อยออกมาแล้วและติดอันดับในชาร์ทในเนเธอร์แลนด์ก็ตาม [8] ตรงนี้ทำให้เห็นว่าสังคมดัตช์ค่อนข้างเคารพและปฏิบัติอย่างใจกว้างในความแตกต่างทางความคิดของคนที่ไม่เห็นด้วยในสังคม แม้ว่าจะเป็นจำนวนที่ไม่มากนักก็ตาม
ขณะที่นักวิเคราห์อย่าง William Z. Shetter (อ้างใน Willem Sap 2010:26) กล่าวว่า “คนดัตช์ไม่ใช่คนมีใจนิยมเจ้า (ต่างจากกรณีของอังกฤษ) หากเป็นพวกที่ชื่นชมสาธารณรัฐ แต่เนื่องจากสถาบันกษัตริย์ดัตช์เชื่อมโยงกับราชวงศ์ออเรนเยอ-นาซอที่มีบทบาทขในประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดสถาบันมหากษัตริย์ขึ้น ซึ่งอาจจะมีความคลางแคลงเพียงเล็กน้อยสำหรับพวกเขาเท่านั้นหากวันหนึ่งราชวงศ์นี้เกิดสูญพันธุ์ขึ้นมา รัฐบาลแบบสาธารณรัฐคงจะขึ้นมาครองอำนาจทันที”
เชิญอรรถ
- ภาพจาก http://www.guardian.co.uk/uk/2013/feb/01/ruling-monarch-job-for-life สืบค้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2556
- http://www.holland.com/global/tourism/article/investiture-or-coronation.htm สืบค้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2556
- http://www.dutchnews.nl/news/archives/2012/04/political_crisis_elections_loo.php สืบค้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2556
- http://www.dutchnews.nl/news/archives/2012/09/the_election_massive_win_for_v.php สืบค้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2556
- http://www.debalie.nl/artikel.jsp?articleid=476272) สืบค้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2556
- http://en.wikipedia.org/wiki/Noordeinde_Palace สืบค้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2556
- ดูรายละเอียดคำแปลการสัมภาษณ์ได้ในบล็อก “วิสามัญสำนึก” ของเกษียร เตชะพีระ ที่ http://blogazine.in.th/blogs/kasian/post/4106 สืบค้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2556
- ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.guardian.co.uk/music/2013/apr/22/dutch-revolt-against-song-new-king สืบค้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556
อ้างอิงและแหล่งข้อมูล
- Blockmans, WP. 2007. “The Added Value”. in D.J. Elzinga (ed.) The Dutch Constitutional
- Monarchy in a Changing Europe (pp.129-134). The Netherlands: Kluwer Legal Publishers.
- Instituut voor Publiek en Politiek.2005. The Dutch Political System in a Nutshell. Amsterdam
- Instituut voor Publiek en Politiek
- Komter, A.E.2007. “The Paradox of Modern Monarchy: Distance and Proximity” in D.J. Elzinga
- (ed.) The Dutch Constitutional Monarchy in a Changing Europe (pp.61-68). The Netherlands: Kluwer Legal Publishers.
- Schnabel, P. “Modern Monarchism; From ‘Vivat Orange’ to ‘Long live the Queen’” in D.J. Elzinga
- (ed.) The Dutch Constitutional Monarchy in a Changing Europe (pp.25-36).The Netherlands: Kluwer Legal Publishers.
- Tjeenk Willink, H.D..2007. “Some observation about the Netherlands and the Monarchy”, in D.J.
- Elzinga (ed.) The Dutch Constitutional Monarchy in a Changing Europe (pp.3-6).The Netherlands: Kluwer Legal Publishers.
- Van Den Berg, J.TH.J.2007. “Saevis Tranquilla in Undis, Queen in Times of Populism” in D.J.
- Elzinga (ed.) The Dutch Constitutional Monarchy in a Changing Europe (pp.69-80).The Netherlands: Kluwer Legal Publishers.
- Von Der Dunk, H.W.2007. “The Dutch Monarchy in Europe” ”, in D.J. Elzinga (ed.) The Dutch
- Constitutional Monarchy in a Changing Europe (pp.81-96).The Netherlands: Kluwer Legal Publishers.
- Willem Sap, Jan .2010.The Queen, the Populists and the Others: New Dutch Politics explained
- to Foreigners. Amsterdam: VU University Press
อ้างอิงอิเลกทรอนิกส์
- http://www.dutchnews.nl/news/archives/2013/01/the_queens_abdication_speech_i.php
- http://en.wikipedia.org/wiki/Koninginnedag
- http://www.guardian.co.uk/world/2013/jan/28/queen-beatrix-netherlands-abdicates
- Beatrix Wilhelmina Armgard
- Gerrit Zalm
- Kingdom of the Netherlands
- Tjeenk Willink
- กฎหมาย
- การครองราชสมบัติ
- การปกครองแบบประชาธิปไตยมันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
- การวิพากษ์วิจารณ์
- การสละราชสมบัติ
- บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
- ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
- สถาบันกษัตริย์
- เกอริท ซาล์ม
- เบอาทริกซ์ วิลเฮลมิน่า อาร์มฆาร์ท
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)