Skip to main content
sharethis

เลขาฯ ประธานศาลฎีกาเผยผู้หลบหนีระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี ส่วนปัญหาคดีชาวบ้านแนะเอาข้อเท็จจริงเสนอศาล ‘สุนี ไชยรส’ จวกเรื่องสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร กม.ล้าหลังกว่า รธน. เสนอยกกรณีปัญหามาศึกษาร่วม กสม.-คปก.-ศาล

 
เมื่อวันที่ 23 พ.ค.56 คณะอนุกรรมการด้านที่ดินและป่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับองค์การแอคชั่นเอดประเทศไทย ศูนย์ศึกษาและพัฒนานักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เครือข่ายผู้หญิงปกป้องสิทธิที่ดินและเกษตรยั่งยืนเทือกเขาเพชรบูรณ์ และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) จัดเสวนา ‘กฎหมาย อำนาจ (ดุลยพินิจ) ในการมีคำสั่งว่าด้วยการปล่อยตัว สอดคล้องกับแนวคิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร’ ณ ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีเครือข่ายชาวบ้านที่ประสบปัญหาคดีความจากการเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกิน และกรณีต่างๆ เข้าร่วมกว่า 200 คน
 
 
 
ประธาน คปก.ชี้ปัญหาไม่ใช่ตัวกฎหมายแต่เป็นการปฏิบัติที่สร้างความเดือดร้อน
 
ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวปาฐกถา เรื่อง สิทธิมนุษยชนในช่องทางออกของอำนาจในดุลยพินิจสั่งประกันตัวว่า ปัญหาไม่ใช่ตัวกฎหมายแต่เป็นการปฏิบัติที่สร้างความเดือดร้อน และการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่มีปัญหามาตลอด เนื่องมาจากการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายซึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจหลักกฎหมายอย่างถ่องแท้ของผู้ใช้กฎหมาย นั่นคือ ในการพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว แทนที่จะวางหลักเฉพาะเกี่ยวกับความผิดร้ายแรง แต่กลับถือเอาเหตุต่างๆ ในการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐโดยไม่แยกแยะ
 
จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้เกิด ‘นายประกันอาชีพ’ ที่มาขูดรีดประชาชนที่ยากจน นอกจากนั้นในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ให้ ‘บริษัทประกันภัย’ เข้ามาทำมาหากินในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทั้ง 2 สิ่งไม่ได้มาช่วยแต่มาซ้ำเติมปัญหา และทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกตำหนิ เนื่องจากเกิดองค์กรเหลือบในกระบวนการยุติธรรมขึ้น
 
ศ.ดร.คณิต กล่าวด้วยว่า การปล่อยชั่วคราวซึ่งเป็นมาตรการในทางคดีอาญา มีมิติ 2 ประการ คือ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบเรียบร้อย และเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิบุคคลด้วย แต่คนในสังคมมีลักษณะเป็นอำนาจนิยม มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต จึงนำมาซึ่งความไม่ถูกต้อง
 
นอกจากนี้ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีต่างๆ มีมิติ 3 ประการที่เกี่ยวข้อง คือ 1.กฎหมายจะต้องมีความเป็นเสรีนิยม ต้องมองในแง่การคุ้มครองสิทธิ์ 2.มีความเป็นประชาธิปไตย การใช้อำนาจมีการตรวจสอบได้ และ 3.การกระทำเป็นไปเพื่อสังคม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม สังคมจะได้สงบ
 
“มนุษย์เรามีความต้องการ 2 อย่าง ความต้องการประการแรกคือความมั่นคงในชีวิต ที่เราทำงาน ทำมาหากินต่างๆ ก็เพื่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิต แต่แค่นั้นไม่พอ มนุษย์ยังต้องการความเป็นธรรมด้วย ความต้องการความมั่นคงในชีวิตเปรียบเทียบได้ว่าเป็นความต้องการภายนอก ส่วนความต้องการภายในคือความเป็นธรรม ถ้าเรามีสิ่งที่ตรงกับความต้องการภายนอกที่สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่เราไม่ได้รับความเป็นธรรม มันก็ชีช้ำ” ศ.ดร.คณิต กล่าว
 
 
 
ผู้แทนศาลฎีกา แนะเอาข้อเท็จจริงนำเสนอศาล
 
ด้าน นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการประธานศาลฎีกา กล่าวในการเสวนา 'สังเคราะห์ กฎหมายและบทบาทผู้ทำหน้าที่พิจารณา(ผู้พิพากษา) สั่งให้ประกันตัว' ถึงปัญหาคดีความของชาวบ้านว่า การมีตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในชั้นศาลนั้นมีความจำเป็นตามสิทธิพิจารณาคดีต่อหน้า แม้บุคคลที่ต้องคดีความจะยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่อได้รับการประกันตัวแล้ว บุคคลดังกล่าวจะกลับมาศาล ซึ่งการมีคำพูดลอยๆ นั้นยากจะเชื่อถือได้ ดังนั้นสิ่งที่ศาลต้องการคือ รายงานประจำตัวบุคคลของจำเลย เพื่อให้เชื่อได้ว่าหากมีการปล่อยชั่วคราวแล้วจะกลับมาทันการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งตามกฎหมายจะมีสัญญา มีการประกัน
 
อีกทั้งศาลจะดูพฤติการณ์และความร้ายแรงประกอบเพื่อใช้ดุลยพินิจ และดูเรื่องความผูกพันกับพื้นถิ่นที่อยู่ ซึ่งจะทำให้ศาลมั่นใจได้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นไม่หลบหนีไปไหน
 
นายพงษ์เดช กล่าวต่อมาว่า ตามกฎหมายอาจมีการปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไข เช่น ให้มารายงานตัวทุกเดือนหรือเป็นระยะ แต่ปัญหาคือพนักงานที่จะมาทำหน้าที่รับเรื่องตรงนี้มีจำนวนจำกัด ทั้งนี้มียังข้อเสนอให้การหลบหนีมีความผิดตามกฎหมายด้วย
 
 
เผยผู้หลบหนีระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
 
เลขาธิการประธานศาลฎีกาให้ข้อมูลด้วยว่า เมื่อปี 2553 ศาลพิจารณาให้ปล่อยตัวชั่วคราว 92 เปอร์เซ็นต์ของคดีที่มี พบว่ามีผู้หลบหนี 4,000 กว่าคน ทำให้พิจารณาคดีไม่ได้ ต่อมาปี 2554 ศาลพิจารณาให้ปล่อยตัวชั่วคราว 92.88 เปอร์เซ็นต์ มีผู้หลบหนี 4,426 คน และปี 2555 ศาลพิจารณาให้ปล่อยตัวชั่วคราว 92.7 เปอร์เซ็นต์ มีผู้หลบหนีถึง 5,838 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวเลขผู้หลบหนีระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 
“อยากให้มองใน 2 ด้าน ส่วนคู่ความในคดีอยากให้เอาข้อเท็จจริงที่รู้มาให้ศาลที่เป็นตัวกลางรับทราบด้วย” นายพงษ์เดชกล่าว 
 
นายพงษ์เดช กล่าวด้วยว่า การใช้ดุลยพินิจของศาลรับรองโดยรัฐธรรมนูญจะแทรกแซงไม่ได้ และความจริงมีหลายด้านจึงต้องให้ข้อมูลกับศาลเพื่อใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา ส่วนในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายหรือคำสั่งในการที่จะขอให้ชะลอคดีไว้ก่อน อัยการสามารถแถลงให้ศาลทราบ โดยเป็นการทำหน้าที่แทนรัฐบาล ทั้งนี้ แม้ว่าอัยการจะอยู่อีกฝั่งกับจำเลย แต่ก็ต้องคำนึงถึงสิทธิอันเป็นประโยชน์ของจำเลยด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำงานกับทางอัยการ
 
ในส่วนของศาลหากไม่มีคนนำเสนอข้อมูลก็ต้องรีบพิจารณาคดีโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นหากสถิติออกมาพบว่ามีคดีผ่านการพิจารณาน้อยก็จะถูกตั้งคำถามได้ อย่างไรก็ตามไม่อยากให้หมดความหวังต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะศาลพร้อมที่จะรับฟัง และหากอยู่ในอำนาจที่จะปรับได้ก็จะพยายามทำ
 
 
‘สุนี ไชยรส’ เสนอยกกรณีปัญหามาศึกษาร่วม กสม.-คปก.-ศาล
 
นางสุนี ไชยรส รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า ศาลเป็นปลายทางที่เจ็บปวด เพราะมีผลต่อการตัดสินคดีให้คนติดคุกได้ และมีความเห็นว่าควรสกัดกั้นปัญหาตั้งแต่ต้นทางคือนโยบายของรัฐบาล ส่วนในชั้นศาลนั้น คดีอาญาเกี่ยวกับสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน เช่นกรณีคนอยู่กับป่า ไม่เหมือนกับคดีอาญาทั่วไป ในส่วนนี้รัฐธรรมนูญไปไกลในการรับรองสิทธิ์ แต่กฎหมายที่ออกมาก่อนตามไม่ทัน ขณะที่กระบวนการศาลบอกว่าต้องดูข้อเท็จจริง แต่ประชาชนอาจไม่มีความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงเข้าสู่ศาลได้
 
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีการนำมาศึกษาเป็นรายกรณีร่วมกันว่าช่องโหว่อยู่ตรงไหน ทั้งในส่วนคณะกรรมการสิทธิฯ ศาล คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และชาวบ้าน เพราะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแก้คงไม่ได้ นอกจากนั้นอาจจัดเป็นการพูดคุยวงใหญ่ เพื่อผลักดันไปยังรัฐบาล
 
นางสุนี กล่าวด้วยว่า เรื่องสิทธิชุมชนในการจัดการฐานทรัพยากรนั้น ที่ผ่านมามักมีการไกล่เกลี่ยให้ชาวบ้านรับสารภาพเพื่อให้เรื่องจบ แต่ชาวบ้านก็ต้องติดคุก และบางรายโดนคดีโลกร้อนเรียกค่าเสียหายซ้ำอีก ส่วนในเรื่องดุลยพินิจในการประกันตัวนั้น มีคำถามว่าการที่ชาวบ้านอยู่ในชุมชนมีความเชื่อมโยงกับถิ่นฐานที่อยู่ หากนำเสนอต่อศาลจะได้รับการพิจารณาหรือไม่ ซึ่งตรงนี้อาจใช้เป็นแนวทางในการรณรงค์ทั้งกับชาวบ้าน และการทำความเข้าใจต่อศาลได้
 
ส่วนในเรื่องการแก้ปัญหาโดยนโยบายรัฐ ที่ผ่านมามีปัญหามาแล้ว ตัวอย่างเช่น กรณีเขื่อนปากมูลที่มีมติ ครม.มาแล้วถึง 45 ฉบับ หรือกรณีที่รัฐบาลสั่งการให้ชาวบ้านกรณีปัญหาที่ดินอยู่ทำกินไปพลางระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา แต่ตรงนี้ศาลไม่รับฟังเพราะตีความว่าคำสั่งหรือมติ ครม.ดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย ตรงนี้จะมีช่องในทางกฎหมายอย่างไรเพื่ออธิบาย เพราะกรณีปัญหาต่างๆ ของชาวบ้านมีความซับซ้อน
 
“กฎหมายล้าหลังรัฐธรรมนูญ กฎหมายแก้ไม่ทัน ศาลจะยอมรับไหม” รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายตั้งคำถาม
 
อย่างไรก็ตามกระบวนการยุติธรรมไม่ได้มีเพียงศาลอย่างเดียว การแก้ปัญหาจะต้องผลักดันไปยังทั้งศาล อัยการ และตำรวจด้วย
 
 
อนุกรรมการฯ กสม.เสนอ ‘ให้ผู้ต้องหาประกันตัวเองได้’
 
รศ.ประธาน วัฒนวาณิชย์ อนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการอบรมตำรวจทั่วประเทศทั้ง 7 ภาค เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องร้องเรียนของกรรมการสิทธิฯ เรื่องกระบวนการยุติธรรมส่วนใหญ่อยู่ในชั้นตำรวจ อาทิ ซ้อมทรมาน กระบวนการล่าช้า ไม่รับคำร้อง เป็นต้น
 
รศ.ประธาน กล่าวต่อมาถึงการปล่อยตัวชั่วคราวว่า ปัญหาคือเมื่อถูกดำเนินคดีตามความผิดที่มีอัตราโทษสูง การใช้ดุลยพินิจของตำรวจและศาลจะใช้หลักทรัพย์ที่สูง กลายเป็นข้อจำกัดของกฎหมายที่ว่าคนจนไม่ได้ประกัน แต่คนรวยกลับได้ประกัน อย่างไรก็ตามไม่ว่าคนจนหรือคนรวย การประกันตัวไม่ใช่หลักประกันว่าจะมาตามหมายเรียก ซึ่งทุกประเทศรู้ดี ทั้งนี้เรามีหลักปฏิบัติทางอาญาดีขึ้นกว่าอดีต แต่จะดีกว่านี้ถ้าให้ผู้ต้องหาประกันตัวเองได้ เมื่อมีที่อยู่ที่แน่นอนมีเพื่อนมีญาติสนิท ทำงานเป็นหลักแหล่ง และไม่มีประวัติอาชญากรรม
 
สำหรับข้อเสนอในการต่อสู้ รศ.ประธาน กล่าวถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรรมการสิทธิฯ ที่ปัจจุบันสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น และสภาทนายความซึ่งจะมาทำหน้าที่ให้คำปรึกษา จากปัญหาเดิมที่มีคือผู้ตกเป็นผู้ต้องหามักไม่ได้พบทนายความและไม่ได้รับคำปรึกษาในทางคดี
 
ขณะที่ นายนิวัฒน์ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความระบุว่า กฎหมายนั้นมีการละเมิดสิทธิ์อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือการบังคับใช้กฎหมายโดยมองความเป็นมนุษย์ที่ไม่เท่ากัน สิทธิของบุคคลถูกแยกด้วยความแตกต่างในเรื่องพื้นเพ และสถานะบุคคลที่แตกต่างกัน อีกทั้งกฎหมายให้อำนาจดุลยพินิจกับผู้ใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมมากเกินไป
 
“ชาวบ้านไม่ได้ถูกละเมิดโดยผลของกฎหมาย แต่ถูกละเมิดโดยวิธีการปฏิบัติของรัฐ” นายนิวัฒน์ กล่าว
 
ส่วนการเข้าถึงความช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรม นายนิวัฒน์ กล่าวว่า สภาทนายความมีประธานสภาทนายความจังหวัด ซึ่งชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเข้าไปขอคำปรึกษาได้ และขณะนี้สภาทนายความมีสมาชิกที่จะให้ความช่วยเหลือถึงกว่า 10,000 คน ทั่วประเทศ โดยไม่ต้องจ่ายค่าทนายความ
 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net