เปิดตัวเลข (ที่แตกต่าง) และ 8 ข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เสนอ ครม.รับทราบ เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงการรับจำนำข้าว
ตัวเลขปริมาณการรับจำนำ-เงินที่ใช้-รายได้จากการขาย-ยอดหนี้สะสม ที่มีหลายชุดสร้างความสับสนมาพักใหญ่และยิ่งเป็นประเด็นเมื่อฝ่ายค้านออกมาระบุตัวเลขหนี้ว่าอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท สถาบันจัดอันดับมูดีส์ระบุที่ 2 แสนล้านบาท จนกระทั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) นั่งสรุปตัวเลขร่วมกับ วราเทพ รัตนากร ซึ่งเข้ามาเป็นคนกลางดูข้อมูลที่ไม่ตรงกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ จนล่าสุด มีการแถลงข่าวออกมาเป็นตัวเลขเดียว (ตามตาราง) โดยยังไม่มีการแจ้งตัวเลขของปี 55/56 เนื่องจากโครงการยังไม่สิ้นสุด
ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวเบื้องต้น ( 31 ม.ค.56)
|
|||
รายการ |
คณะอนุฯ ปิดบัญชี |
กระทรวงพาณิชย์ |
|
1. จำนวนข้าวเปลือก จำนวนข้าวสาร |
21.7 ล้านต้น 13.5 ล้านตัน |
21.7 ล้านตัน 13.5 ล้านตัน |
|
|
337,322 ล้านบาท |
337,322 ล้านบาท |
|
|
14,786 ล้านบาท |
14,786 ล้านบาท |
|
|
352,108 ล้านบาท |
352,108 ล้านบาท |
|
|
156,000 ล้านบาท |
252,300 ล้านบาท |
|
|
59,200 ล้านบาท |
49,900 ล้านบาท |
|
|
136,908 ล้านบาท |
49,908 ล้านบาท |
|
ที่มา: นายวราเทพ รัตนากร รวบรวมตามที่ครม.มอบหมาย (ไทยรัฐ) |
|
อย่างไรก็ตาม ในมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้18 มิ.ย.56 มีการรับทราบข้อเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งนอกจากจะมีคำแนะนำที่น่าสนใจแล้ว ยังมีตัวเลขอีกชุดหนึ่ง ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขที่นายวราเทพนำเสนอ แต่เพิ่มเติมมีตัวเลขการรับจำนำและวงเงินค่าใช้จ่ายในปี 2555/2556 ด้วย
ข้อมูลเบื้องต้นของ สศช.
1.ปริมาณข้าวเปลือก (ณ วันที่ 12 มิ.ย.56)
ปี 2554/55 จำนวน 21.68 ล้านตัน
ปี 2555/56 จำนวน 18.79 ล้านตัน
รวมทั้งสิ้น 40.47 ล้านตัน
2.วงเงินที่ใช้ (ณ วันที่ 14 พ.ค.56)
ปี 2554/55 จำนวน 337,246 ล้านบาท
ปี 2555/56 จำนวน 251,462 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 588,708 ล้านบาท
3.การระบายข้าว
ตั้งแต่เริ่มโครงการฯ - มี.ค. 56 ระบายข้าวไปแล้วทั้งสิ้น 76,001 ล้านบาท
จนถึงเดือน ก.ย. 56 คาดว่าจะระบายได้อีกเป็นเงิน 73,082 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 149,083 ล้านบาท
4.ประโยชน์ของโครงการ
ปี 2554/55 รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ประมาณ 1.16 แสนล้านบาท ใน
ปี 2555/56 รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ประมาณ 1.14 แสนล้านบาท
หรือ รายได้เกษตรกรที่เข้าโครงการเพิ่มขึ้น ประมาณ 42,000 บาทต่อคน
ปี 2554/55 โครงการมีส่วนทำให้ GDP เพิ่มร้อยละ 0.69
ปี 2555/56 โครงการมีส่วนทำให้ GDP เพิ่มร้อยละ 0.62
ปี 2555 การใช้จ่ายของครัวเรือนทั้งประเทศขยายตัวร้อยละ 6.7 หากไม่มีโครงการนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.7
5.ผลกระทบของโครงการ
5.1 ผลกระทบต่อฐานะการคลัง
การดำเนินโครงการปี 2555 – 2556 ทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้สะสม ประมาณ 159,687 ล้านบาท สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะต้องผลักภาระการชำระหนี้ไปในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ หากมีการกำหนดกรอบปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกไม่เกิน 15 ล้านตันต่อปี ในการดำเนินงานปี 2557 - 2560 จะทำให้รัฐบาลมีภาระเฉลี่ยปีละ 80,621 ล้านบาท (ประมาณการจากส่วนต่างของราคารับจำนำและแนวโน้มราคาตลาด รวมค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและการเก็บรักษา)
5.2 การกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาตลาดมาก ซึ่งมีผลต่อการขาดทุนในการดำเนินงานสูง และเป็นภาระงบประมาณ รวมทั้งทำให้ราคาส่งออกและต้นทุนการผลิตข้าวสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
5.3 เกษตรกรรายใหญ่และกลางได้ประโยชน์จากโครงการมากกว่าเกษตรกรรายย่อย
5.4 ความสามารถในการระบายข้าวของรัฐมีจำกัด ประกอบกับสต็อกข้าวคงเหลือปลายปีของประเทศผู้ส่งออกข้าวสำคัญมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เป็นข้อจำกัดในการดำเนินงาน
5.5 กระบวนการออกใบรับรองและใบประทวนให้กับเกษตรกรมีความล่าช้า
ภาพรวมของข้าว
ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่ทำรายได้ให้กับประเทศอย่างมาก โดยสัดส่วนมูลค่าการส่งออกข้าวเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 25 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด และมูลค่าเพิ่มสินค้าข้าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตร
นอกจากนั้น ข้าวเป็นสินค้าที่ใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกมากที่สุด คิดเป็นเกือบร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งประเทศ รวมทั้งการปลูกข้าวเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชาวนามากถึงร้อยละ 66 ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งหมด
ประเทศไทยส่งออกข้าวประมาณ 1 ใน 3 ของข้าวที่ส่งออกทั้งหมดในโลก และมีคู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนามและอินเดีย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเฉลี่ยร้อยละ 19 และ 15 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในปี 2555 อินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ เวียดนามและไทยตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากอินเดียเริ่มเปิดตลาดให้มีการส่งออกข้าว หลังจากที่ดงการส่งออกไปหลายปี และเวียดนามที่มีการลดราคาข้าวอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวคุณภาพต่ำเพื่อแข่งขันกับข้าวของไทย ดังจะเห็นได้จากในปี 2556 (ม.ค.-พ.ค.) ปริมาณการส่งออกข้าวไทย 2.232 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออก 1,584 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับปริมาณการส่งออกข้าวของเวียดนาม ประมาณ 2.226 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออก 973 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กล่าวได้ว่า ไทยสามารถส่งออกข้าวได้มูลค่าสูงกว่าเวียดนามในปริมาณส่งออกที่ใกล้เคียงกัน
ข้อเสนอแนะ
1.ควรกำหนดราคารับจำนำให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตและมีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับภาระราคาข้าวในตลาดโลก โดยอาจคำนวณจากต้นทุนการผลิตข้าว บวกค่าขนส่งและกำไรที่เหมาะสมของเกษตรกร
ทั้งนี้ ในระยะแรก ควรพิจารณาจำกัดปริมาณรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกรต่อครัวเรือน โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรรายย่อย และในระยะต่อไป ควรพิจารณากำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลก
2. ควรจำกัดปริมาณและ/หรือพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ โดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรรายย่อยที่ยากจน มีพื้นที่นาน้อยหรือต้องเช่าที่นาจากผู้อื่นและเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม
3.ควรเร่งรัดการออกเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีความรวดเร็ว และพัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรที่มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันให้มากที่สุด สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาตลาดโลก เพื่อลดต้นทุนการเก็บรักษาและการเสื่อมสภาพของข้าวและรายงานผลการระบายสต็อกข้าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
5. ควรวางระบบกำกับและตรวจสอบการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้งกระบวนการ ตลอดจน ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง
6. โครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีความจำเป็นต้องดำเนินการจนถึงปี 2558 ซึ่งประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เข้มแข็งเพียงพอ ทั้งนี้ ในการดำเนินงานควรกำหนดเป้าหมายการขาดทุนของโครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ไม่เกิน 1 แสนล้านบาทต่อปี ในระยะเวลา 3 ปี
7.สนับสนุนให้เกษตรกรพัฒนาคุณภาพข้าว เพื่อยกระดับการส่งออกสินค้าข้าวไปสู่ตลาดบนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ตลอดจนเร่งจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร ให้มีการปลูกข้าวที่สอดคล้องกับศักยภาพแต่ละพื้นที่ รวมทั้งมีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
8. ส่งเสริมกลไกตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้มีความเข้มแข้งและมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับกลไกของตลาดในท้องถิ่น ตลาดกลาง และตลาดส่งออก ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินงานทำประกันภัยพืชผลการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ที่มา: มติคณะรัฐมนตรี 18 มิถุนายน 2556